บุคคลในประวัติศาสตร์ความรอด บทเรียนที่ 9
เดโบราห์: ผู้วินิจฉัยหญิงของพระเจ้า
จุดประสงค์
เมื่อจบบทเรียนแล้ว ผู้เรียนสามารถ
1. รู้จักประวัติของเดโบราห์ ผู้วินิจฉัยหญิงของพระเจ้า
2. ตระหนักว่าเราทุกคนสามารถเป็นผู้นำได้
3. กล้าที่จะนำผู้อื่นในการทำความดี
กิจกรรม “สตรีในใจ”
ดำเนินการ 1. ให้ผู้เรียนคิดถึงผู้นำที่เป็นสตรีี ที่ผู้เรียนรู้จักคนละ 1 คน
2. ให้ผู้เรียนแบ่งปันให้ทุกคนฟังว่าสตรีที่ตนเลือกนั้น เป็นใครและเป็นผู้นำในด้านใด
วิเคราะห์ ผู้สอนสนทนากับผู้เรียน
จากที่ได้ฟังเพื่อน ๆ แบ่งปัน มีผู้นำสตรีคนใดบ้าง ที่ผู้เรียนฟังแล้วรู้สึกประทับใจเป็นพิเศษ เพราะอะไรและเป็นแบบอย่างในเรื่องใด (ให้ผู้เรียนได้แบ่งปัน หรือขออาสาสมัคร)
สรุป เมื่อพูดถึงสตรี อาจถูกมองว่าเป็นเพศที่บอบบาง อ่อนแอและต้องได้รับการปกป้องดูแลจากผู้ชาย ในสมัยก่อนผู้ที่เป็นสตรีไม่ต้องออกไปทำงานนอกบ้าน เพราะต้องดูแลความเรียบร้อยภายในบ้านและยังต้องดูแลอบรมสั่งสอนบุตรของตน และบางครั้งก็ถูกจำกัดสิทธิหลายประการ เช่น สิทธิการเข้าร่วมพิธีกรรมทางศาสนา สิทธิทางการศึกษา และสิทธิเสรีภาพทางความคิด เป็นต้น แต่ในปัจจุบันสตรีมีบทบาทและได้รับการยอมรับทางสังคมมากขึ้น มีกฎหมายรับรองสิทธิและความเสมอภาคของสตรี ได้รับโอกาสในการเป็นผู้นำประเทศ ชุมชนและองค์กรต่าง ๆ มากขึ้น และในแวดวงคาทอลิก ปัจจบุันสตรีก็มีบทบาทมากขึ้น ได้รับการยอมรับให้เป็นประธานสภาวัด ประธานองค์กรคาทอลิกต่าง ๆ เป็นต้น
คำสอน
1. ปรากฏการณ์การแพร่ระบาดของโรค Covid-19 ส่งผลให้ประชาชนติดเชื้อโรคและเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก เป็นภาวะวิกฤตทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ไปทั่วโลกแต่มีข้อมูลที่น่าสนใจระบุว่า ประเทศที่มีผู้นำเป็นสตรี เช่น เยอรมนี นิวซีแลนด์ ไต้หวัน นอร์เวย์ เดนมาร์กไอซ์แลนด์ มีมาตรการรับมือ ป้องกัน แก้ปัญหา เยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดได้ดี และมีประสิทธิผลดีกว่าประเทศที่มีผู้นำเป็นชาย ซึ่งข้อมูลจากการสัมภาษณ์เชิงลึกพบว่า ทักษะที่ส่งผลให้ผู้นำสตรีทำหน้าที่นี้ได้ดีกว่าคือ สร้างความผูกพันและการมีส่วนร่วม ซึ่งมาจากความละเอียดรอบคอบในการทำงาน เอาใจเขามาใส่ใจเรา การสื่อสารที่จริงใจ ทำให้สามารถกำหนดกลยุทธ์ในการแก้ปัญหาได้ตรงประเด็น ส่งผลให้เกิดความน่าเชื่อถือและไว้วางใจในตัวผู้นำ ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในการร่วมมือกันของผู้คน ในประวัติศาสตร์ชาติอิสราเอลก็มีผู้หญิงคนหนึ่ง ที่ทำหน้าที่เป็นผู้นำเช่นนี้ด้วย นั่นก็คือ “เดโบราห์” นั่นเอง
2. โยชูวาถึงแก่กรรมเมื่ออายุได้หนึ่งร้อยสิบปี คนรุ่นใหม่เริ่มไม่รู้จักพระเจ้าและกิจการที่ทรงกระทำเพื่อชาวอิสราเอล พวกเขากลับไปทำสิ่งเลวร้ายโดยละทิ้งพระเจ้าของบรรพบุรุษ ที่นำเขาออกจากแผ่นดินอียิปต์ แล้วติดตามบรรดาเทพเจ้าของชนชาติที่อยู่โดยรอบ พระเจ้าทรงพิโรธชาวอิสราเอลอย่างมาก จึงทรงมอบเขาไว้ในมือของผู้รุกรานซึ่งเข้ามาปล้น เขาต้านทานศัตรูไม่ได้ ทุกครั้งที่ชาวอิสราเอลออกไปทำสงคราม พระเจ้าทรงบันดาลให้เขาพ่ายแพ้ พระเจ้าจึงประทานผู้วินิจฉัยให้เขา และทรงช่วยชาวอิสราเอลให้พ้นจากเงื้อมมือของศัตรู เพราะทรงเมตตาสงสาร เสียงคร่ำครวญของเขาเป็นทุกข์เพราะถูกกดขี่ แต่เมื่อผู้วินิจฉัยถึงแก่กรรมแล้ว เขาก็กลับไปประพฤติชั่วร้ายยิ่งกว่าชนรุ่นก่อนเสียอีก พระเจ้าจึงตั้ง “นางเดโบราห์” ขึ้นเป็นผู้วินิจฉัย เพื่อช่วยพวกเขาให้พ้นจากการถูกข่มเหง นางเป็นภรรยาของลัปปิโดท เป็นประกาศกหญิง เป็นผู้วินิจฉัยอิสราเอลนางจะนั่งใต้ต้นปาล์มและคอยตัดสินคดีความให้ชาวอิสราเอล วันหนึ่ง นางส่งคนไปเรียกบาราคและบอกเขาว่า “พระเจ้าทรงบัญชาให้ท่านไปพาคนมาที่ภูเขาทาโบร์ นำชนเผ่านัฟทาลีและเศบูลุนหนึ่งหมื่นคนไปด้วย เราจะนำสิเสรา แม่ทัพของกษัตริย์ยาบินพร้อมกับรถศึกและกำลังพลของเขา มารบกับท่านที่ห้วยคีโชน เราจะมอบเขาไว้ในมือของท่าน”
บาราคกล่าวแก่นางว่า “ข้าพเจ้าจะไป ถ้าท่านจะไปกับข้าพเจ้า แต่ถ้าท่านไม่ไป ข้าพเจ้าก็จะไม่ไปด้วย” นางตอบ “ตกลง ข้าพเจ้าจะไปกับท่าน แต่ท่านจะไม่ได้รับเกียรติในการออกรบครั้งนี้ เพราะพระเจ้าจะทรงมอบสิเสราไว้ในมือของหญิงคนหนึ่ง” นางเดโบราห์ไปกับเขาด้วย สิเสราทราบข่าวว่าบาราคขึ้นไปบนภูเขาทาโบร์ จึงระดมรถศึกเหล็กทั้งเก้าร้อยคัน พร้อมกับกำลังพลทั้งหมดที่มี ออกจากเมืองฮาโรเชทโกยิมไปถึงห้วยคีโชน นางเดโบราห์กล่าวแก่บาราคว่า “ไปเถิด วันนี้พระเจ้าจะทรงมอบสิเสราไว้ในมือของท่าน พระเจ้าทรงดำเนินนำหน้าท่านอยู่มิใช่หรือ” เมื่อบาราคยกทัพมา พระเจ้าทรงบันดาลให้สิเสราพร้อมกับรถศึกและกำลังพลทั้งหมดของเขาแตกกระเจิง สิเสราลงจากรถศึกวิ่งหนีไป บาราคไล่ตามรถศึกและกองทัพไปจนถึงเมืองฮาโรเชทโกยิม กองทัพของสิเสราถูกฆ่าตายด้วยคมดาบ ไม่มีผู้ใดรอดชีวิตแม้แต่คนเดียว
สิเสราวิ่งหนีไปยังกระโจมของนางยาเอลภรรยาของเฮเบอร์ชาวเคไนต์ นางยาเอลต้อนรับสิเสราเข้าไปข้างในกระโจม เอาผ้าห่มมาคลุมเขาไว้ เขาพูดกับนางว่า “ขอน้ำให้ข้าพเจ้าดื่มสักหน่อยเถิด ข้าพเจ้ากระหายน้ำ”นางก็เปิดถุงหนังใส่นมให้เขาดื่มและเอาผ้าห่มคลุมเขาไว้อีก สิเสราบอกกับนางว่า จงไปยืนเฝ้าอยู่หน้ากระโจม ถ้ามีใครมาถามว่า “มีใครอยู่ที่นี่บ้างไหม” จงตอบว่า “ไม่มี” ขณะที่สิเสรานอนหลับสนิทเพราะเหนื่อยมาก นางเอาหลักผูกกระโจมตอกทะลุขมับของเขาตรึงติดกับพื้นดิน สิเสราก็สิ้นใจ
เมื่อบาราคมาตามหาสิเสรา นางยาเอลก็ออกมาต้อนรับ พาเขาไปหาคนที่ตามหา บาราคเข้าไปก็เห็นสิเสรานอนสิ้นใจอยู่ จึงนึกถึงสิ่งที่เดโบราห์ได้เคยกล่าวไว้กับเขาว่า “ท่านจะไม่ได้รับเกียรติในการออกรบครั้งนี้ เพราะพระเจ้าจะทรงมอบสิเสราไว้ในมือของหญิงคนหนึ่ง” วันนั้น พระเจ้าทรงปราบยาบินกษัตริย์ของชาวคานาอันต่อหน้าชาวอิสราเอล และแผ่นดินก็สงบสุขเป็นเวลาสี่สิบปี
3. นางเดโบราห์เป็นผู้นำที่ดี เธอมีความสนิทสัมพันธ์กับพระเจ้า เธอเป็นทั้งผู้เผยพระวจนะและผู้วินิจฉัยที่พร้อมรับใช้พระเจ้าและรับใช้ประชากรของพระองค์ แม้ว่าจะได้รับเกียรติเป็นที่นับถือ แต่นางเดโบราห์ก็ยังมอบเกียรติแก่ผู้อื่นด้วย เช่นการยกย่องนางยาเอล เพราะนางยาเอลมีส่วนทำให้สงครามชนะ และเราได้เห็นบทบาทของนางเดโบราห์ในหลาย ๆ ด้านในด้านการรับใช้ชาติ นางเดโบราห์เป็นสตรีที่มีความกล้าหาญ นางยินดีที่จะไปออกรบ เพราะแม้แต่บาราคผู้เป็นบุรุษยังเกิดความกลัว ในด้านสังคม เธอเป็นทั้งผู้วินิจฉัยและเป็นผู้ให้คำปรึกษา คอยช่วยชำระความต่าง ๆ ให้แก่ประชาชนที่มาขอความช่วยเหลือ ในด้านครอบครัว เธอเป็นภรรยาที่ดีของสามี สามีของเธอจึงยอมให้นางเดโบราห์รับบทบาทการเป็นผู้นำทางสังคมอย่างเสรี
4. พระเจ้าทรงเลือกคนของพระองค์ เพื่อทำให้แผนการในการช่วยชาวอิสราเอลสำเร็จไป ซึ่งบุคคลที่พระองค์เลือกอาจจะเป็นบุคคลที่พวกเราคาดไม่ถึง เช่น ทรงใช้นางเดโบราห์ซึ่งเป็นผู้หญิง และบาราคผู้ซึ่งไม่ค่อยมีความกล้าหาญ นางยาเอลผู้หญิงที่ไม่มีใครรู้จัก ให้ไปช่วยให้อิสราเอลพ้นจากการถูกข่มเหง พวกเขายอมเสี่ยงชีวิตของตน เพื่อทำให้การช่วยให้รอดของพระเจ้าสำเร็จไป
5. แบบอย่างของนางเดโบราห์สอนเราว่า หากเรามีโอกาสที่จะต้องเป็นผู้นำ หรือต้องทำบางสิ่งบางอย่างที่อาจจะเป็นเรื่องที่ยาก แต่เป็นเรื่องที่ดีและควรทำ ให้เราวอนขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า ขอพระองค์ประทานความกล้าหาญและพละกำลังให้เราสามารถทำสิ่งที่ดีและถูกต้องนั้นให้สำเร็จ และเมื่อเราจะต้องสละความสะดวกสบาย สละเวลา หรือสละบางสิ่งบางอย่างเพื่อช่วยเหลือรับใช้เพื่อนพี่น้อง ก็ขอให้เราทำด้วยความรักและความจริงใจ
ก. ข้อควรจำ
1. พระเจ้าประทานผู้วินิจฉัยให้ชาวอิสราเอลเพื่อช่วยเหลือพวกเขาให้พ้นจากเงื้อมมือของศัตรู เพราะพระเจ้าทรงพระเมตตาสงสารเสียงคร่ำครวญของเขาที่มีความทุกข์เพราะถูกกดขี่ แต่เมื่อผู้วินิจฉัยถึงแก่กรรมแล้ว เขาก็กลับไปประพฤติชั่วร้ายยิ่งกว่าชนรุ่นก่อนเสียอีก
2. พระเจ้าตั้งนางเดโบราห์ขึ้นเป็นผู้วินิจฉัย เพื่อช่วยพวกเขาให้พ้นจากการถูกข่มเหง นางเป็นภรรยาของลัปปิโดท เป็นประกาศกหญิง เป็นผู้วินิจฉัยชาวอิสราเอลด้วย
3. นางเดโบราห์เป็นผู้นำที่ดี มีความสนิทสัมพันธ์กับพระเจ้า เธอเป็นทั้งผู้เผยพระวจนะและผู้วินิจฉัยที่พร้อมรับใช้พระเจ้าและรับใช้ประชากรของพระองค์
4. พระเจ้าทรงเลือกคนของพระองค์ เพื่อทำให้แผนการในการช่วยชาวอิสราเอลสำเร็จไป
5. แบบอย่างของนางเดโบราห์สอนเราว่า หากเรามีโอกาสที่จะต้องเป็นผู้นำ หรือต้องทำบางสิ่งบางอย่างที่อาจจะเป็นเรื่องที่ยาก แต่เป็นเรื่องที่ดีและควรทำ ให้เราวอนขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า ขอพระองค์ประทานความกล้าหาญและพละกำลังให้เราสามารถทำสิ่งที่ดีและถูกต้องนั้นให้สำเร็จ
ข. กิจกรรม อันไหนที่เรียกว่า “กล้าหาญ”
ผู้สอนเขียนประโยคการกระทำที่แตกต่างกันในแต่ละข้อลงในกระดาษ ทั้งประโยคที่แสดงความกล้าหาญและประโยคที่คิดว่ากล้าหาญ ตามที่ให้ไว้ในตาราง หน้า 75 ในแต่ละหัวข้อจะได้สองแผ่น รวมทั้งหมด 16 แผ่น หรือผู้สอนอาจเขียนลงบนบอร์ด/กระดาน หรือกระดาษแผ่นใหญ่เพื่อให้ผู้เรียนทั้งห้องดูไปพร้อมกันก็ได้
ดำเนินการ
1. ผู้สอนวางวงกลมไว้ 2 วง หน้าห้องหรือบริเวณที่ทุกคนเห็นได้ สมมติให้เป็นเกาะ โดยแกะแรกตั้งชื่อว่า “กล้าหาญ” วงที่สองตั้งชื่อว่า “คิดว่ากล้าหาญ”
2. ผู้สอนอธิบายแก่ผู้เรียนว่า ทุกคนจะได้รับประโยคคนละ 1 ประโยค เมื่อได้รับแล้วให้คิดดูว่าประโยคที่ได้รับนั้นเป็นการกระทำที่ “กล้าหาญ” หรือ “คิดว่ากล้าหาญ”
3. ผู้สอนเรียกผู้เรียนออกมาทีละ 2 คน ยืนด้านหน้าเกาะทั้งสองที่วาดเป็นวงกลมไว้ แจกกระดาษข้อความซึ่งมีทั้งประโยคที่กล้าหาญและคิดว่ากล้าหาญ ให้ผู้เรียนอ่านประโยคที่ได้รับให้ทุกคนในห้องได้ยิน ที่ละคน
4. เมื่ออ่านจบ ผู้สอนให้สัญญาณ ให้ผู้เรียนกระโดดเลือกเกาะที่ตรงกับข้อความที่ได้รับ เช่น คนที่ได้ข้อความ“ตีเพื่อนเมื่อถูกเพื่อนล้อ” ต้องกระโดดไปบนเกาะ “คิดว่ากล้าหาญ” และคนที่ได้ข้อความ “เดินเลี่ยงออกมาจากการทะเลาะวิวาท” กระโดดไปบนเกาะ “กล้าหาญ” ทำสิ่งที่ฉลาดถึงแม้เพื่อนจะคิดว่าเขาขี้ขลาด เป็นต้น
5. ในแต่ละข้อให้ผู้เรียนบอกเหตุผลว่าทำไมประโยคที่ได้คือความ “กล้าหาญ” และ “คิดว่ากล้าหาญ”
6. ให้ทำขั้นตอนในข้อที่ 3-5 ไปจนครบทั้ง 8 ข้อ
สรุป ให้กำลังใจและส่งเสริมให้ผู้เรียนดำเนินชีวิตในการเป็นผู้กล้าหาญ ทำในสิ่งที่ถูกต้องในเหตุการณ์ต่าง ๆในชีิวิตประจำวันของตน และเป็นผู้นำผู้อื่นให้ทำความดีเสมอเพื่อสามารถนำบทเรียนไปฏิบัติได้จริง
ค. การบ้าน
1. อ่านใบความรู้เรื่องเดโบราห์ เพิ่มเติม
::: Download บทเรียนที่ 9 ::
เดโบราห์
เดโบราห์: ผู้วินิจฉัยหญิงของพระเจ้า
(ผู้วินิจฉัย 2:8-19; 3:9-11; 4:1-24; 5:31)
หลังจากที่โยชูวาถึงแก่กรรมเมื่ออายุได้หนึ่งร้อยสิบปี เมื่อชนรุ่นเดียวกับโยชูวาสิ้นชีวิตหมดแล้วก็มีชนรุ่นใหม่เกิดขึ้น ซึ่งไม่รู้จักพระเจ้าและกิจการที่ทรงกระทำเพื่อชาวอิสราเอล
ชาวอิสราเอลกลับทำสิ่งเลวร้ายเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ละทิ้งพระเจ้าของบรรพบุรุษที่ทรงนำเขาออกจากแผ่นดินอียิปต์ แล้วติดตามบรรดาเทพเจ้าอื่นของชนชาติที่อยู่โดยรอบ พระเจ้าทรงพระพิโรธชาวอิสราเอลอย่างยิ่ง ทรงมอบเขาไว้ในมือของผู้รุกรานซึ่งเข้ามาปล้น เขาต้านทานศัตรูไม่ได้อีกต่อไป ทุกครั้งที่ชาวอิสราเอลออกไปทำสงคราม พระเจ้าทรงบันดาลให้เขาพ่ายแพ้ เมื่อพระเจ้าประทานผู้วินิจฉัยให้เขา พระองค์สถิตกับผู้วินิจฉัยผู้นั้น และทรงช่วยชาวอิสราเอลให้พ้นจากเงื้อมมือของศัตรูตราบเท่าที่ผู้วินิจฉัยผู้นั้นมีชีวิตอยู่ เพราะพระเจ้าทรงพระเมตตาสงสารเสียงคร่ำครวญของเขาที่มีความทุกข์เพราะถูกกดขี่ แต่เมื่อผู้วินิจฉัยถึงแก่กรรมแล้ว เขาก็กลับไปประพฤติชั่วร้ายยิ่งกว่าชนรุ่นก่อน ๆ เสียอีก เขาติดตามเทพเจ้าอื่น ไปรับใช้และกราบไหว้เทพเจ้าเหล่านั้น ไม่ยอมเลิกกระทำเลวร้าย และดื้อดึงไม่ยอมเปลี่ยนความประพฤติของตน ผู้วินิจฉัยที่พระเจ้าประทานเพื่อช่วยเหลือพวกเขาเมื่อพวกเขาร้องขอไม่ว่าจะเป็นโอทนีเอล เอฮูด
หลังจากเอฮูดสิ้นชีวิตแล้ว ชาวอิสราเอลทำสิ่งเลวร้ายเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า พระองค์จึงทรงมอบเขาไว้ในมือของยาบินกษัตริย์ของชาวคานาอัน ซึ่งครองราชย์อยู่ที่เมืองฮาโซร์ แม่ทัพของพระองค์ชื่อสิเสรา อยู่ที่เมืองฮาโรเชท โกยิม ชาวอิสราเอลร้องขอพระเจ้าเพราะกษัตริย์ยาบินทรงมีรถศึกเหล็กเก้าร้อยคัน และกดขี่ชาวอิสราเอลอย่างเหี้ยมโหดเป็นเวลายี่สิบปี พระเจ้าจึงตั้งนางเดโบราห์ขึ้นเป็นผู้วินิจฉัยชาวอิสราเอลในสมัยนั้น เพื่อจะช่วยพวกเขาให้พ้นจากการถูกข่มเหง
นางเดโบราห์ภรรยาของลัปปิโดทประกาศกหญิง เป็นผู้วินิจฉัยอิสราเอลในสมัยนั้น นางมักจะนั่งใต้ต้นปาล์ม ซึ่งอยู่ระหว่างเมืองรามาห์กับเมืองเบธเอล ในแถบภูเขาเอฟราอิม ต้นปาล์มนั้นจึงได้ชื่อว่า “ต้นปาล์มของนางเดโบราห์” ชาวอิสราเอลจะไปที่นั่น ให้นางตัดสินคดี วันหนึ่งนางส่งคนไปเรียกบาราค บุตรของอาบีโนอัมจากเมืองเคเดชในดินแดนนัฟทาลี บอกว่าพระเจ้าแห่งอิสราเอลทรงบัญชาแก่ท่านดังนี้ “จงไปพาคนมาที่ภูเขาทาโบร์ นำชนเผ่านัฟทาลีและเศบูลุนหนึ่งหมื่นคนไปด้วย เราจะนำสิเสรา แม่ทัพของกษัตริย์ยาบินพร้อมกับรถศึกและกำลังพลของเขา มารบกับท่านที่ห้วยคีโชน เราจะมอบเขาไว้ในมือของท่าน” บาราคกล่าวแก่นางว่า “ข้าพเจ้าจะไป ถ้าท่านจะไปกับข้าพเจ้า แต่ถ้าท่านไม่ไป ข้าพเจ้าก็จะไม่ไปด้วย” นางตอบ “ตกลง ข้าพเจ้าจะไปกับท่าน แต่ท่านจะไม่ได้รับเกียรติในการออกรบครั้งนี้ เพราะพระเจ้าจะทรงมอบสิเสรา ไว้ในมือของหญิงคนหนึ่ง” แล้วนางเดโบราห์ก็ลุกขึ้นไปกับบาราคถึงเมืองเคเดช
บาราคเรียกชนเผ่าเศบูลุนและนัฟทาลีมาชุมนุมที่เมืองเคเดช มีกำลังพลหนึ่งหมื่นคนตามเขาไปนางเดโบราห์ก็ไปกับเขาด้วย สิเสราทราบข่าวว่า บาราคบุตรของอาบีโนอัมขึ้นไปบนภูเขาทาโบร์ สิเสราจึงระดมรถศึกเหล็กทั้งเก้าร้อยคันของเขาพร้อมกับกำลังพลทั้งหมดที่เขามี ออกจากเมืองฮาโรเชทโกยิมไปถึงห้วยคีโชน นางเดโบราห์กล่าวแก่บาราคว่า “ไปเถิด วันนี้พระเจ้าจะทรงมอบสิเสราไว้ในมือของท่านพระเจ้าทรงดำเนินนำหน้าท่านอยู่มิใช่หรือ” บาราคก็ลงมาจากภูเขาทาโบร์พร้อมกับกำลังพลหนึ่งหมื่นคนที่ตามมา เมื่อบาราคยกทัพมา พระเจ้าทรงบันดาลให้สิเสราพร้อมกับรถศึกและกำลังพลทั้งหมดของเขาแตกกระเจิง สิเสราลงจากรถศึกวิ่งหนีไป บาราคไล่ตามรถศึกและกองทัพไปจนถึงเมืองฮาโรเชทโกยิม กองทัพของสิเสราถูกฆ่าตายสิ้นด้วยคมดาบ ไม่มีผู้ใดรอดชีวิตอยู่เลยแม้แต่คนเดียว
สิเสราวิ่งหนีไปยังกระโจมของนางยาเอลภรรยาของเฮเบอร์ชาวเคไนต์ เนื่องจากยาบินกษัตริย์แห่งเมืองฮาโซร์ และครอบครัวของเฮเบอร์ชาวเคไนต์มีไมตรีต่อกัน นางยาเอลออกมาต้อนรับสิเสรากล่าวว่า “เชิญเจ้านายเข้ามาเถิด เข้ามาข้างในเถิด อย่ากลัวเลย” สิเสราก็เข้าไปข้างในกระโจม นางยาเอลจึงเอาผ้าห่มมาคลุมเขาไว้ เขาพูดกับนางว่า “ขอน้ำให้ข้าพเจ้าดื่มสักหน่อยเถิด ข้าพเจ้ากระหายน้ำ” นางก็เปิดถุงหนังใส่นมให้เขาดื่ม และเอาผ้าห่มคลุมเขาไว้อีก สิเสราบอกกับนางว่า “จงไปยืนเฝ้าอยู่หน้ากระโจมถ้ามีใครถามว่า ‘มีใครอยู่ที่นี่บ้างไหม’ จงตอบว่า ‘ไม่มี’ นางยาเอลภรรยาของเฮเบอร์ฉวยหลักผูกกระโจมถือตะลุมพุกย่องเข้ามา ขณะที่สิเสรานอนหลับสนิทเพราะเหนื่อยมาก นางเอาหลักผูกกระโจมตอกทะลุขมับของเขาตรึงติดกับพื้นดินสิเสราก็สิ้นใจ เมื่อบาราคมาตามหาสิเสรา นางยาเอลก็ออกมาต้อนรับเขา กล่าวว่า “เชิญเข้ามาข้างในเถิด ข้าพเจ้าจะให้ท่านดูคนที่ท่านตามหา” บาราคก็เข้าไปกับนาง เขาเห็นสิเสรานอนสิ้นใจอยู่กับพื้น มีหลักผูกกระโจมตอกตรึงทะลุขมับ
บาราคก็นึกถึงสิ่งที่เดโบราห์ได้เคยกล่าวไว้กับเขาว่า “...ท่านจะไม่ได้รับเกียรติในการออกรบครั้งนี้เพราะพระเจ้าจะทรงมอบสิเสราไว้ในมือของหญิงคนหนึ่ง” วันนั้น พระเจ้าทรงปราบยาบินกษัตริย์ของชาวคานาอันต่อหน้าชาวอิสราเอล ชาวอิสราเอลมีกำลังเข้มแข็ง บีบคั้นยาบินกษัตริย์ของชาวคานาอันหนักยิ่ง ๆ ขึ้น จนทำลายล้างยาบินกษัตริย์ของชาวคานาอันได้สำเร็จ และแผ่นดินก็สงบสุขเป็นเวลาสี่สิบปี