บุคคลในประวัติศาสตร์ความรอด บทเรียนที่ 10
แซมสัน: บุรุษผู้ทรงพลัง
จุดประสงค์
เมื่อจบบทเรียนแล้ว ผู้เรียนสามารถ
1. รู้จักชีวิตของแซมสัน บุรุษผู้ทรงพลัง
2. ตระหนักว่าเราแต่ละคนมีพละกำลังเพื่อทำความดีและมีความอ่อนแอที่อาจนำไปสู่ความผิดพลาดได้
3. วอนขอโอกาสจากพระเจ้าเมื่อเราผิดพลาดและใช้โอกาสนั้นอย่างดี
กิจกรรม “ใครคือยอดขุมพลังของเรา”
อุปกรณ์ 1. หนังสือจำนวน 30-50 เล่ม
2. สายสะพายกระดาษ เขียนว่า “ยอดขุมพลังของห้องเรา”
3. ขนมหรือรางวัลอื่น ๆ
ดำเนินการ 1. ให้ผู้เรียนแต่ละคนออกมายกหนังสือที่ครูเตรียมไว้ทีละคน และบันทึกว่าแต่ละคนสามารถยกได้จำนวนกี่เล่ม หากมีผู้เรียนจำนวนมาก อาจให้ช่วยกันคัดเลือกบุคคลที่เหมาะสมเป็นตัวแทนออกมาแข่งขันกัน
2. ใครยกหนังสือได้จำนวนมากที่สุด ถือว่าเป็น “ยอดขุมพลังของห้องเรา” โดยให้ผู้สอนสวมสายสะพายและมอบรางวัลให้
วิเคราะห์ ผู้สอนสนทนากับผู้เรียน
1. ถามผู้ชนะว่าทำไมถึงมีพละกำลังมากมาย (แข็งแรง, ฝึกฝนมาตั้งแต่เด็ก, ยกของบ่อย ฯลฯ)
2. พละกำลังที่ได้มาจากไหน (ทานอาหาร, ออกกำลังกาย, ฝึกกล้ามเนื้อ, พระเจ้าประทานให้ ฯลฯ)
3. ถามผู้เรียนแต่ละคนว่าถ้าตัวเรามีพละกำลังมหาศาล เราจะใช้พลังนั้นเพื่อทำอะไรบ้าง (ให้ผู้เรียนแบ่งปัน)
สรุป มนุษย์ที่มีพลังพิเศษนั้นไม่ได้มีแต่ในภาพยนตร์เท่านั้น บนโลกนี้มีมนุษย์ที่มีพลังพิเศษในด้านต่าง ๆ มากมายเช่น รัตธากริชนัน เวรู เขาได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่มีฟันแข็งแรงที่สุดในโลก สามารถสร้างสถิติลากสิ่งของที่หนักที่สุดแม้กระทั่งรถไฟได้ หลิว โทว หลิน ชายชราผู้ที่เกิดมาพร้อมกับพลังแม่เหล็กในตัว เขาสามารถใช้ร่างกายดึงดูดวัตถุที่เป็นโลหะให้ติดตัวเขาไว้ได้ แม้กระทั่งรถบัส เควิน ริชาร์ดสัน สามารถสื่อสารกับสิงโต เสือชีตาห์ และสัตว์ประเภทแมวใหญ่อื่น ๆ ได้ ทิม คริดแลนด์ ชายผู้ไม่มีความรู้สึกเจ็บปวดใด ๆ ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกก็ไม่สามารถหาคำตอบเรื่องภูมิคุ้มกันความเจ็บปวดของเขาได้อย่างชัดเจน ความสามารถนี้ทำให้เขากลายเป็นหนึ่งในคณะละครสัตว์ ที่สามารถนำเหล็กแหลมเสียบตัวเองได้โดยไม่รู้สึกอะไร การมีพลังพิเศษนั้นเป็นสิ่งที่ดีและจะดีมากที่สุดหากใช้พละกำลังที่มีในการช่วยเหลือผู้อื่นและในการทำประโยชน์ให้กับชุมชนและประเทศชาติ
คำสอน
1. เมื่อพูดถึงตัวละครที่สร้างขึ้นจากค่าย Marvel คงจะไม่มีใครไม่รู้จัก “ยักษ์เขียวจอมพลัง หรือ The Hulk” เป็นตัวละครที่ใครหลายคนชื่นชอบ แต่ก็มีบางคนที่หวาดกลัวและยำเกรงในพลังที่เขามี The Hulk มีเรื่องราวมาจาก ดร.โรเบิร์ต เดวิด บรูซ แบนเนอร์ซึ่งเคยเป็นนักนิวเคลียร์ฟิสิกส์ ผู้ทำการทดลองสร้างระเบิดรังสีแกมม่าให้กับกระทรวงกลาโหมของสหรัฐ ก่อนจะกลายร่างเป็น Hulk (ฮัลค์) ยักษ์ใหญ่สีเขียว เขาได้เข้าไปช่วยเด็กหนุ่มที่กำลังโดนระเบิดรังสีแกมม่าอย่างไม่คิดชีวิต ทำให้เขาโดนระเบิดนั้นเอง เมื่อเขากลายร่างเป็นฮัลค์ นิสัยของเขาก็เปลี่ยนไป เขากลายเป็นยักษ์เขียวขี้โมโหและฉุนเฉียวง่าย จนทำให้คนอื่น ๆ หวาดกลัว เขาพยายามหลายต่อหลายครั้งที่จะรักษาตัวเองแต่ก็ไม่สำเร็จ เพราะสภาพจิตใจของเขาอ่อนแอเกินไป จนไม่สามารถเเยกความเป็นฮัลค์ออกจากตัวเขาได้ หลังจากที่แม่ของเขาตายเพราะถูกผู้เป็นพ่อฆ่า เมื่อเขาไม่สามารถรักษาตัวเองให้หายได้ทำให้เขาคลุ้มคลั่ง และทุกครั้งที่เขาคลุ้มคลั่ง เขาก็ยิ่งมีพละกำลังมากขึ้น เขาสามารถทนทานกับความเจ็บปวดได้เป็นอย่างดี และยังสามารถฟื้นฟูสภาพร่างกายที่บาดเจ็บให้หายได้อย่างรวดเร็ว ฮัลค์พยายามแยกตัวออกจากคนอื่นเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายจากความผิดปกติของเขา แต่ก็หนีไม่พ้น ฮัลค์ถูกกองทัพของนายพลเทเดอุส “ธันเดอร์โบลท์” จับตัวไป เพราะต้องการพลังจากตัวเขา ทำให้ฮัลค์ยิ่งคลุ้มคลั่งเพิ่มขึ้นไปอีก จนกลายเป็นตัวอันตรายในสายตาของใครหลาย ๆ คน แต่ฮัลค์ก็เป็นฮีโร่คนหนึ่งที่พยายามปกป้องคนอื่น ไม่ให้ได้รับอันตรายจากตัวของเขาเช่นกัน
2. ในพระคัมภีร์มีชายคนหนึ่ง มีพละกำลังมากเป็นพิเศษ เขาเป็นบุคคลที่พระเจ้าเลือกไว้ตั้งแต่ก่อนที่เขาจะเกิดมา ชายคนนั้น คือ แซมสัน พระเจ้าทรงเลือกเขาให้ช่วยชาวอิสราเอลให้พ้นจากเงื้อมมือของชาวฟีลิสเตียแม้เขาจะมีร่างกายที่แข็งแรง มีพละกำลังมากมาย แต่เขาก็มีความอ่อนแอทางจิตใจ ทำให้เราได้เห็นว่าพระเจ้าทรงใช้คนที่มีความบกพร่อง อ่อนแอเพื่อให้เขามีส่วนร่วมในการช่วยให้รอดของพระองค์ เมื่อชาวอิสราเอลทำสิ่งเลวร้ายเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าอีก พระเจ้าจึงทรงมอบเขาไว้ในมือของชาวฟีลิสเตียเป็นเวลาสี่สิบปี ในเวลานั้นทูตสวรรค์ของพระเจ้ามาหาภรรยาของมาโนอาห์ บอกแก่เธอว่า “ท่านเป็นหมันไม่มีบุตร แต่บัดนี้ท่านจะตั้งครรภ์และคลอดบุตรชาย จงระวังอย่าดื่มสุราเมรัยใด ๆ อย่ากินอาหารที่มีมลทิน อย่าให้ใบมีดมาโกนศีรษะของเขา เพราะเด็กคนนี้จะเป็นนาศีร์ถวายแด่พระเจ้าตั้งแต่ยังอยู่ในครรภ์ของมารดา เขาจะช่วยชาวอิสราเอลให้พ้นจากเงื้อมมือของชาวฟีลิสเตีย” หลังจากนั้นก็เป็นไปตามคำของทูตสวรรค์ หญิงคนนั้นก็คลอดบุตรชายและตั้งชื่อให้ว่าแซมสัน เด็กน้อยเจริญวัยขึ้น พระเจ้าทรงอวยพรเขา
เมื่อแซมสันเติบโตเป็นหนุ่ม เขาเห็นหญิงชาวฟีลิสเตียคนหนึ่งและชอบเธอ จึงไปบอกบิดามารดาให้ไปขอเธอมาเป็นภรรยาของเขา บิดาและมารดาของเขาตอบว่า“หญิงสาวในหมู่ญาติพี่น้องของลูก หรือในหมู่ชนชาติของเรานั้นไม่มีแล้วหรือ ทำไมลูกจึงต้องไปหาภรรยาจากชาวฟีลิสเตียซึ่งไม่ได้เข้าสุหนัต” เหตุการณ์นี้ทำให้บิดามารดาของเขาเสียใจ เพราะพวกเขาไม่รู้ว่าพระเจ้าทรงจัดการให้เป็นเช่นนี้ เพื่อทรงหาโอกาสจะสู้รบกับชาวฟีลิสเตีย แซมสันไปแต่งงานกับเธอ แต่ไม่ได้นำภรรยามาอยู่บ้านของตน แต่จะไปเยี่ยมเยียนนางเป็นครั้งคราว ในฤดูเก็บเกี่ยวข้าวสาลีแซมสันไปหาภรรยา แต่บิดาของหญิงนั้นบอกเขาว่า ได้ยกภรรยาให้เพื่อนของแซมสันไปแล้ว จึงทำให้แซมสันไม่พอใจออกไปจับสุนัขจิ้งจอกสามร้อยตัว ผูกหางติดกันเป็นคู่ ๆ เอาไต้ผูกติดไว้ด้วย แล้วจุดไต้ ปล่อยสุนัขจิ้งจอกให้วิ่งเข้าไปในนาข้าวสาลี สวนองุ่นและสวนมะกอกเทศของชาวฟีลิสเตีย เมื่อชาวฟีลิสเตียรู้ว่าแซมสันลูกเขยของชาวทิมนาห์เป็นคนเผา พวกเขาจึงพากันเอาไฟคลอกภรรยาและบิดาของเธอ ทำให้แซมสันโกรธมาก และบอกว่า“ข้าพเจ้าขอสาบานว่าจะไม่ยอมหยุด จนกว่าจะได้แก้แค้นท่านอย่างสาสม” แล้วแซมสันจึงเข้าทำร้ายและฆ่าคนเหล่านั้นหลายคนอย่างโหดร้าย แล้วไปอยู่ในถ้ำที่หน้าผาเมืองเอธาม
ต่อมา แซมสันไปหลงรักหญิงคนหนึ่งชื่อ “เดลิลาห์”บรรดาหัวหน้าชาวฟีลิสเตียให้เธอลวงถามเขาว่า กำลังมหาศาลของเขามาจากไหน และพวกเราจะเอาชนะเขาได้อย่างไร โดยบอกว่าแต่ละคนจะให้เงินหนักหนึ่งพันหนึ่งร้อยบาทแก่นาง เดลิลาห์จึงพยายามล้วงความลับจากแซมสันหลายครั้ง แต่แซมสันก็ไม่เคยบอกความจริงให้นางรู้ จนที่สุดเขาเปิดใจบอกเธอว่า “ใบมีดไม่เคยโกนศีรษะข้าพเจ้าเลย เพราะข้าพเจ้าเป็นนาศีร์ถวายแด่พระเจ้าตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา ถ้าข้าพเจ้าถูกโกนผมพละกำลังของข้าพเจ้าจะถอยไปจากข้าพเจ้า และข้าพเจ้าจะอ่อนแอเหมือนกับคนอื่น” นางจึงส่งคนไปบอกหัวหน้าชาวฟีลิสเตียนางเดลิลาห์กล่อมแซมสันให้นอนหลับบนตักของเธอ เรียกชายคนหนึ่งมาโกนผมเจ็ดปอยจากศีรษะของเขา พละกำลังของเขาก็ถอยลง เธอเริ่มควบคุมเขาได้ ชาวฟีลิสเตียจับกุมเขา ควักนัยน์ตาเขาออก นำเขาไปที่เมืองกาซา เอาโซ่ทองสัมฤทธิ์สองเส้นล่ามเขาไว้ให้เขาโม่แป้งอยู่ในคุก
วันหนึ่ง ชาวฟีลิสเตียเลี้ยงฉลองกันอย่างยิ่งใหญ่ที่จับแซมสันได้ เขานำตัวแซมสันออกจากคุก มาเล่นตลกต่อหน้าผู้ที่ชุมนุมกันอยู่ สั่งให้ยืนระหว่างเสาสองต้น ที่นั่นมีชาวฟีลิสเตียชายหญิงประมาณสามพันคนดูอยู่แซมสันร้องทูลพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้าของข้าพเจ้า โปรดทรงระลึกถึงข้าพเจ้าด้วยเถิด โปรดประทานพละกำลังให้ข้าพเจ้าอีกเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ข้าพเจ้าจะได้ออกแรงเพียงครั้งเดียวแก้แค้นชาวฟีลิสเตีย ทีี่ควักตาทั้งสองข้างของข้าพเจ้า” แล้วแซมสัน ยื่นมือไปแตะเสากลาง
สองต้นที่ค้ำอาคารไว้มือละต้น แล้วออกกำลังดันทั้งด้านขวาและด้านซ้าย พลางตะโกนว่า “ขอให้ข้าพเจ้าตายพร้อมกับชาวฟีลิสเตียถิด” เขาออกแรงดันสุดกำลังอาคารก็พังลงมาทับบรรดาหัวหน้าและประชาชนทุกคนที่อยู่ที่นั่น เขาฆ่าคนเมื่อเขาตาย มากกว่าที่เขาฆ่าเมื่อยังมีชีวิต พี่น้องและครอบครัวของเขามารับศพเขา นำกลับไปฝังไว้ในหลุมฝังศพของมาโนอาห์ แซมสันเป็นผู้วินิจฉัยปกครองชาวอิสราเอลนานยี่สิบปี
3. แซมสันอยู่ในแผนการของพระเจ้า เขาเป็นคนที่พระเจ้าเลือกไว้สำหรับพระองค์ตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ พระเจ้าเลือกเขาเพื่อถวายตัวแด่พระเจ้า แต่แซมสันเลือกที่ออกนอกลู่นอกทาง ไม่รักษาคำสอนของพ่อและแม่ ทำให้เกิดเหตุร้ายตามมามากมาย หากเรามองเพียงความอ่อนแอและข้อผิดพลาดของเขา เราก็จะไม่เห็นช่วงชีวิตที่เขามีความเชื่อและวางใจในพระเจ้า ซึ่งเขาเองได้เป็นผู้วินิจฉัยปกครองชาวอิสราเอลนานถึงยี่สิบปี ดังนั้น เราไม่ควรตัดสินใครโดยดูแต่ชีวิตของเขาในด้านที่ผิดพลาดเพียงด้านเดียว เพราะพระเจ้าทรงเลือกเขาให้อยู่ในแผนการช่วยชาวอิสราเอลให้รอดพ้นจากชาวฟีลิสเตียให้สำเร็จไป
4. บทเรียนจากชีวิตของแซมสันสอนเราว่า ต้องดำเนินชีวิตตามความเชื่อ พระเจ้าทรงให้อิสรภาพแก่เราแต่ละคนในการคิด ตัดสินใจทำสิ่งต่าง ๆ ได้ด้วยน้ำใจอิสระ ดังนั้น เราต้องเลือกทำในสิ่งที่ถูกต้องเท่านั้น หากเราเลือกทำในสิ่งที่ไม่ดีหรือไม่ถูกต้อง ชีวิตของเราก็อาจจะพบกับปัญหามากมายตามมา ซึ่งมาจากผลของการกระทำของเราก็ได้ แม้ว่าแซมสันจะทำผิดพลาดไป แต่สุดท้ายเขาก็วอนขอโอกาสจากพระเจ้าและใช้โอกาสนั้นเพื่อทำภารกิจที่พระเจ้ามอบหมายให้จนสำเร็จ
5. พระเจ้าประทานพละกำลังและความสามารถที่แตกต่างกันให้แก่เรา เพื่อให้เราใช้พระพรและความสามารถที่พระเจ้ามอบให้นั้นช่วยเหลือกันและกัน และทำให้พระประสงค์ของพระเจ้าสำเร็จไป
ก. ข้อควรจำ
1. ในพระคัมภีร์มีชายคนหนึ่ง มีพละกำลังมากเป็นพิเศษ เขาเป็นบุคคลที่พระเจ้าเลือกไว้ตั้งแต่ก่อนที่เขาจะเกิดชายคนนั้นคือ แซมสัน
2. พระเจ้าทรงเลือกเขาให้ช่วยชาวอิสราเอลให้พ้นจากเงื้อมมือของชาวฟีลิสเตีย แม้เขาจะมีร่างกายที่แข็งแรงมีพละกำลังมากมาย แต่เขาก็มีความอ่อนแอทางจิตใจและได้ทำผิดพลาดไป
3. เมื่อแซมสันเลือกที่จะออกนอกลู่นอกทางไม่รักษาคำสอนของพ่อและแม่ ทำให้เกิดเหตุร้ายตามมามากมาย
4. หากว่าเรามองเพียงความอ่อนแอและข้อผิดพลาดของแซมสัน เราจะไม่เห็นช่วงชีวิตที่เขามีความเชื่อและวางใจในพระเจ้า ซึ่งเขาเองได้เป็นผู้วินิจฉัยปกครองชาวอิสราเอลนานถึงยี่สิบปี
5. เราต้องดำเนินชีวิตตามความเชื่อ และเลือกทำสิ่งที่ถูกต้องเท่านั้น หากเราทำผิดพลาดไป ให้เราขอโอกาสจากพระเจ้า และใช้โอกาสนั้นแก้ไขตนเองและทำสิ่งที่ถูกต้อง
6. พระเจ้าประทานพละกำลังและความสามารถที่แตกต่างกันแก่เรา เพื่อให้เราใช้พระพรและความสามารถที่มีเพื่อช่วยเหลือกันและกัน
ข. กิจกรรม “ยอดมนุษย์ในดวงใจพระเจ้า”
อุปกรณ์ ใบงาน “ฉันเป็นยอดมนุษย์ของพระเจ้า”
ดำเนินการ ให้ผู้เรียนคิดว่า ฉันตองการพลังความสามารถพิเศษอะไรจากพระเจ้า เพื่อที่จะทำให้ฉันเป็น “ยอดมนุษย์ในดวงใจพระเจ้า” จากนั้นวาดภาพของตนเองที่เป็นยอดมนุษย์คนนั้น พร้อมกับเขียนบรรยายว่า “ฉันเป็นยอดมนุษย์ในดวงใจพระเจ้า” อย่างไร
ค. การบ้าน
1. อ่านใบความรู้เรื่องแซมสัน เพิ่มเติม
::: Download บทเรียนที่ 10 ::
แซมสัน
แซมสัน: บุรุษผู้ทรงพลัง
(ผู้วินิจฉัย 13:1-7, 24-25; 14:1-8; 15:1-8; 16:4-31)
ชาวอิสราเอลทำสิ่งเลวร้ายเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าอีก และพระเจ้าทรงมอบเขาไว้ในมือของชาวฟีลิสเตียเป็นเวลาสี่สิบปี
มีชายคนหนึ่งชื่อมาโนอาห์ เป็นคนเผ่าดานชาวเมืองโศราห์ ภรรยาของเขาเป็นหมันไม่มีบุตร ทูตสวรรค์ปรากฏแก่หญิงผู้นี้กล่าวว่า “ท่านเป็นหมันไม่มีบุตร แต่บัดนี้ท่านจะตั้งครรภ์และคลอดบุตรชาย จงระวังอย่าดื่มสุราเมรัยใด ๆ อย่ากินอาหารที่มีมลทิน เพราะท่านจะตั้งครรภ์และคลอดบุตรชายอย่าให้ใบมีดมาโกนศีรษะของเขา เพราะเด็กคนนี้จะเป็นนาศีร์ถวายแด่พระเจ้า ตั้งแต่ยังอยู่ในครรภ์ของมารดา เขาจะเริ่มช่วยชาวอิสราเอลให้พ้นจากเงื้อมมือของชาวฟีลิสเตีย”
หญิงคนนั้นก็ไปบอกสามีว่า “คนของพระเจ้ามาหาดิฉัน เขามีใบหน้าเหมือนทูตสวรรค์ของพระเจ้าน่าเกรงขามมาก ดิฉันไม่ได้ถามเขาว่ามาจากไหน ทั้งเขาก็ไม่ได้บอกนามของเขาให้ดิฉันทราบ แต่เขาบอกดิฉันว่า ‘ท่านจะตั้งครรภ์และคลอดบุตรชาย อย่าดื่มสุราเมรัยใด ๆ และอย่ากินอาหารที่มีมลทิน เพราะเด็กจะเป็นนาศีร์ถวายแด่พระเจ้าตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดาจนถึงวันตาย’” หญิงคนนั้นคลอดบุตรชายและตั้งชื่อให้ว่า “แซมสัน” เด็กน้อยเจริญวัยขึ้น พระเจ้าทรงอวยพรเขา พระจิตของพระเจ้าทรงเริ่มดลใจเขาที่มาหะเนดานซึ่งอยู่ระหว่างเมืองโศราห์กับเมืองเอชทาโอล
วันหนึ่งแซมสันลงไปที่เมืองทิมนาห์ ที่เมืองนี้เขาเห็นหญิงชาวฟีลิสเตียคนหนึ่ง เมื่อเขากลับบ้าน เขาบอกบิดามารดาว่า “ที่เมืองทิมนาห์ ลูกเห็นหญิงชาวฟีลิสเตียคนหนึ่ง จงไปสู่ขอเธอมาเป็นภรรยาของลูกเถิด” บิดาและมารดาของเขาตอบว่า “หญิงสาวในหมู่ญาติพี่น้องของลูก หรือในหมู่ชนชาติของเรานั้นไม่มีแล้วหรือ ทำไมลูกจึงต้องไปหาภรรยาจากชาวฟีลิสเตีย ซึ่งไม่ได้เข้าสุหนัต” แต่แซมสันบอกบิดาว่า “ขอคุณพ่อไปสู่ขอเธอให้ลูกเถิด ลูกชอบเธอ” บิดามารดาของเขาไม่รู้ว่าพระเจ้าทรงจัดการเช่นนี้ เพื่อทรงหาโอกาสจะสู้รบกับชาวฟีลิสเตีย ในเวลานั้นชาวฟีลิสเตียมีกำลังมากกว่าชาวอิสราเอล
แซมสันไปที่เมืองทิมนาห์ และเมื่อมาถึงไร่องุ่นของเมืองทิมนาห์ เขาได้ยินเสียงสิงโตหนุ่มตัวหนึ่งคำรามกระโจนเข้าใส่เขา พระจิตของพระเจ้าทรงบันดาลให้เขามีพลัง เขาจึงจับสิงโตตัวนั้นฉีกเป็นสองท่อนด้วยมือเปล่า ราวกับเป็นลูกแพะ แต่เขาไม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้บิดาหรือมารดารู้ เขาไปคุยกับหญิงนั้นและชอบเธอหลังจากนั้นไม่นานแซมสันกลับไปแต่งงานกับเธอ แต่ไม่ได้นำภรรยามาอยู่ที่บ้านของตน
ต่อมาไม่นานในฤดูเก็บเกี่ยวข้าวสาลี แซมสันไปหาภรรยา เขาเอาลูกแพะไปฝากเธอด้วย เขาบอกบิดาของเธอว่า “ขอให้ข้าพเจ้าเข้าไปในห้องของภรรยาของข้าพเจ้าเถิด” แต่บิดาของหญิงนั้นบอกเขาว่า ได้ยกภรรยาให้เพื่อนของแซมสันไปแล้ว จึงทำให้แซมสันไม่พอใจ ออกไปจับสุนัขจิ้งจอกสามร้อยตัวผูกหางติดกันเป็นคู่ ๆ เอาไต้ผูกติดไว้ด้วย แล้วจุดไต้ขึ้น ปล่อยสุนัขจิ้งจอกให้วิ่งเข้าไปในนาข้าวสาลีของชาวฟีลิสเตีย เผาฟ่อนข้าวที่เกี่ยวแล้ว ต้นข้าวที่ยังไม่ได้เกี่ยว รวมทั้งสวนองุ่นและสวนมะกอกเทศอีกด้วย และเมื่อชาวฟีลิสเตียรู้สาเหตุ พวกเขาจึงพากันไปเอาไฟคลอกเธอและบิดาของเธอ แซมสันบอกคนเหล่านั้นว่า “ในเมื่อท่านทั้งหลายทำเช่นนี้ ข้าพเจ้าขอสาบานว่าจะไม่ยอมหยุด จนกว่าจะได้แก้แค้นท่านอย่างสาสม” แซมสันจึงเข้าทำร้ายและฆ่าคนเหล่านั้นหลายคนอย่างโหดร้าย แล้วลงไปอยู่ในถ้ำที่หน้าผาเมืองเอธาม ต่อมา แซมสันหลงรักหญิงคนหนึ่งในหุบเขาโสเรก ชื่อ “เดลิลาห์” บรรดาหัวหน้าชาวฟีลิสเตียมาพบเธอพูดว่า “จงลวงถามเขาดูซิว่า กำลังมหาศาลของเขามาจากไหน และพวกเราจะเอาชนะเขาได้อย่างไร จึงจะมัดเขาไว้และควบคุมเขาได้ เราแต่ละคนจะให้เงินหนักหนึ่งพันหนึ่งร้อยบาทแก่ท่าน”นางเดลิลาห์จึงถามแซมสันหลายครั้ง เพื่อล้วงความลับจากเขา แต่แซมสันก็ไม่เคยบอกความจริงให้นางรู้
ในที่สุด เขาก็เปิดใจบอกเธอว่า “ใบมีดไม่เคยโกนศีรษะของข้าพเจ้าเลย เพราะข้าพเจ้าเป็นนาศีร์ถวายแด่พระเจ้าตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา ถ้าข้าพเจ้าถูกโกนผม พละกำลังของข้าพเจ้าจะถอยไปจากข้าพเจ้าและข้าพเจ้าจะอ่อนแอเหมือนกับคนอื่น” นางเดลิลาห์จึงส่งคนไปบอกหัวหน้าชาวฟีลิสเตีย นางเดลิลาห์กล่อมแซมสันให้นอนหลับบนตักของเธอ แล้วเรียกชายคนหนึ่งเข้ามาโกนผมเจ็ดปอยจากศีรษะของเขาพละกำลังของเขาก็ถอยลง เธอก็เริ่มควบคุมเขาได้ ชาวฟีลิสเตียจับกุมเขา ควักนัยน์ตาของเขาออกแล้วนำเขาลงไปที่เมืองกาซา เอาโซ่ทองสัมฤทธิ์สองเส้นล่ามเขาไว้ ให้เขาโม่แป้งอยู่ในคุก
วันหนึ่งชาวฟีลิสเตียเลี้ยงฉลองกันอย่างยิ่งใหญ่ที่จับแซมสันได้ เขานำตัวแซมสันออกจากคุก มาเล่นตลกต่อหน้าผู้ที่ชุมนุมกันอยู่ สั่งให้ยืนระหว่างเสาสองต้น ที่นั่นมีชาวฟีลิสเตียชายหญิงประมาณสามพันคนดูอยู่ แซมสันทูลพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้าของข้าพเจ้าโปรดทรงระลึกถึงข้าพเจ้าด้วยเถิด โปรดประทานพละกำลังให้ข้าพเจ้าอีกเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ข้าพเจ้าจะได้ออกแรงเพียงครั้งเดียว แก้แค้นชาวฟีลิสเตียที่ได้ควักตาทั้งสองข้างของข้าพเจ้า” แซมสันยื่นมือไปแตะเสากลางสองต้นที่ค้ำอาคารไว้ มือละต้น ออกแรงดันทั้งด้านขวาและด้านซ้าย พลางตะโกนว่า “ขอให้ข้าพเจ้าตายพร้อมกับชาวฟีลิสเตียเถิด” เขาออกแรงดันสุดกำลัง อาคารก็พังลงมาทับบรรดาหัวหน้าและประชาชนทุกคนที่อยู่ที่นั่น เขาฆ่าคนเมื่อเขาตายมากกว่าที่เขาฆ่าเมื่อยังมีชีวิต บรรดาญาติพี่น้องลงมารับศพเขา นำกลับไปฝังไว้ระหว่างเมืองโศราห์และเอชทาโอลในหลุมฝังศพของมาโนอาห์ผู้บิดา แซมสันเป็นผู้วินิจฉัยปกครองชาวอิสราเอลนานยี่สิบปี