บุคคลในประวัติศาสตร์ความรอด บทเรียนที่ 4
อิสอัค : เชื่อฟังบิดามารดาในทุกสิ่ง
จุดประสงค์
เมื่อจบบทเรียนแล้ว ผู้เรียนสามารถ
1. เรียนรู้ชีวิตของอิสอัค
2. ตระหนักถึงความสำคัญของการเคารพเชื่อฟังบิดามารดา
3. เคารพเชื่อฟังบิดามารดาในทุกสิ่งตามแบบอย่างของอิสอัค เพื่อจะได้รับสิ่งดี ๆ เข้ามาในชีวิต
กิจกรรม "เรียงได้ให้เลย"
อุปกรณ์ 1. ประโยคพระคัมภีร์ตัดเป็นคำ ๆ ใส่ซองเป็นชุด ตามจำนวนกลุ่มผู้เรียนหรืออาจแบ่งตามที่ผู้สอนต้องการแยกคำแต่ทำให้ครบประโยค พร้อมโค้ดพระคัมภีร์
2. พระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ ตามจำนวนผู้เรียน
ดำเนินการ
1. แบ่งผู้เรียนออกเป็นกลุ่ม กลุ่มละ 3-4 คน
2. แจกพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ให้ผู้เรียนคนละ 1 เล่ม เปิดจดหมายของนักบุญเปาโลถึงชาวเอเฟซัส บทที่ 6 ข้อที่ 1
3. ให้ผู้เรียนอ่านข้อความพระคัมภีร์ตอนนี้พร้อม ๆ กัน จากนั้นให้แต่ละกลุ่มพยายามจดจำข้อความตอนนี้ให้ได้มากที่สุด ให้เวลาประมาณ 2-3 นาที เมื่อหมดเวลาให้ผู้เรียนปิดพระคัมภีร์
4. ผู้สอนอธิบายให้ผู้เรียนฟังว่า แต่ละกลุ่มจะได้รับซองข้อความพระคัมภีร์ที่เตรียมไว้ให้ เป็นข้อความที่ผู้เรียนได้อ่านและจดจำไปแล้วเมื่อสักครู่ แต่ข้อความนั้นถูกตัดออกเป็นคำ ๆ ซึ่งแต่ละกลุ่มจะต้องนำคำเหล่านั้นมาเรียงประโยคให้ถูกต้อง และเมื่อได้รับซองแล้วอย่าเพิ่งเปิดจนกว่าผู้สอนจะให้สัญญาณเริ่ม
5. เมื่อผู้สอนให้สัญญาณเริ่ม ให้แต่ละกลุ่มช่วยกันนำคำที่อยู่ในซองมาเรียงเป็นประโยคข้อความพระคัมภีร์ให้ถูกต้อง กลุ่มใดเรียงประโยคเสร็จก่อนให้ปรบมือ 5 ครั้ง และพูดดัง ๆ ว่า เย้
6. ผู้สอนตรวจสอบประโยคของแต่ละกลุ่ม เริ่มจากกลุ่มที่เสร็จก่อน เตรียมรางวัลไว้ให้เล็กน้อย
7. ผู้สอนเฉลย โดยให้ผู้เรียนแต่ละกลุ่มอ่านประโยคที่เรียงอย่างถูกต้องพร้อมกัน
วิเคราะห์ ผู้สอนสนทนากับผู้เรียน
1. เคยได้ยินข้อความพระคัมภีร์ตอนนี้บ้างหรือไม่ (เคย, ไม่เคย)
2. เมื่อต้องอ่านและจดจำยากหรือง่าย (ยากเพราะไม่เคยได้ยินหรือเห็นมาก่อน, ง่ายเพราะเคยได้ยินมาบ้างเลยคุ้น ๆ, ประโยคยาวจำไม่ได้, ประโยคมันคล้องจองกันเลยไม่ยาก ฯลฯ)
3. ข้อความตอนนี้มาจากหนังสือเล่มใดในพระคัมภีร์ (บทจดหมายของนักบุญเปาโลถึงชาวเอเฟซัส)
4. ในข้อความพระคัมภีร์บอกกับเราว่าอย่างไร (บุตรมีหน้าที่ต้องเชื่อฟังบิดามารดา เพราะเป็นการกระทำที่ถูกต้อง)
5. การเชื่อฟังพ่อแม่มีข้อดีอย่างไร (เป็นการแสดงความกตัญญูต่อท่าน, มีความรอบคอบมากขึ้นในการเลือกหรือตัดสินใจ, ได้มีโอกาสเรียนหนังสือ หรือได้ทำกิจกรรมที่ส่งเสริมหรือพัฒนาการเติบโตของเรา ฯลฯ)
สรุป หน้าที่สำคัญของการเป็นบุตรคือการเชื่อฟังพ่อแม่ ผู้ที่รัก หวังดีและห่วงใยเราอย่างที่สุด ซึ่งพระวาจาพระเจ้าก็ยังตอกย้ำอย่างชัดเจนถึงหน้าที่ในการเป็นลูกของเราแต่ละคน เพราะการเชื่อฟังพ่อแม่เป็นสิ่งดีที่ควรทำและเป็นการกระทำที่ถูกต้อง
คำสอน
1. ประโยคจากข้อความพระคัมภีร์ที่ได้ทำกิจกรรมไป เป็นข้อความจากพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ แม้เวลาจะผ่านมาสองพันกว่าปีแล้ว พระคัมภีร์ก็ยังเป็นปัจจุบันและทันสมัยเสมอ ซึ่งประโยคที่เราทำกิจกรรมไปนั้นเน้นในเรื่องการเชื่อฟังบิดามารดา เพราะเป็นการกระทำที่ถูกต้อง แม้ในสังคมปัจจุบัน ที่บางคนบางกลุ่มให้ความคิดเห็นว่าความกตัญญูไม่ใช่หน้าที่ ไม่ควรบังคับ ไม่ใช่หน้าที่ของลูกที่ต้องแสดงความกตัญญู หรือไม่จำเป็นต้องเชื่อฟัง แต่หากทบทวนดี ๆ การให้ความเคารพ การแสดงออกถึงความรัก ความใส่ใจกันของคนในครอบครัวเป็นเรื่องที่ดีที่อยู่ในวัฒนธรรมสังคมไทยมาเนิ่นนาน การที่ลูกให้ความเคารพเชื่อฟังบิดามารดา เพราะท่านเป็นเหมือนพระในบ้าน ที่คอยชี้แนะ อบรม สั่งสอนสิ่งดี ๆ ให้พรเรา ไม่ว่าจะเรื่องการเรียน การวางแผนชีวิตและอาชีพการงาน ซึ่งอาจเคยได้ยินคำสอนที่ว่า “กตัญญูต่อบุพการีจะนำสิ่งดี ๆ และความเจริญรุ่งเรืองมาสู่ชีวิต”เพราะผลจากความกตัญญูจะนำความชื่นชมยินดี ความสุขและความสำเร็จมาสู่ผู้ที่ดำเนินชีวิตเช่นนั้น
2. ในพันธสัญญาเดิมมีการพูดถึงลูกที่เชื่อฟังพ่อแม่และปฏิบัติตามอย่างไม่มีเงื่อนไข เขาคือ “อิสอัค” นั่นเองพระเจ้าประทาน “อิสอัค” ให้อับราฮัมและซาราห์เมื่อเขาชรามากแล้ว จึงนำความชื่นชมยินดีมาสู่ทั้งสองเป็นอย่างมาก วันเวลาผ่านไป พระเจ้าทรงทดลองใจอับราฮัมโดยให้ถวายอิสอัคเป็นเครื่องเผาบูชาแด่พระองค์ อับราฮัมเชื่อฟังและทำตามที่พระเจ้าต้องการทุกประการ พระเจ้าทรงเห็นความเชื่ออย่างสุดใจของเขา จึงประทานแกะเพศผู้ตัวหนึ่ง ให้เผาถวายบูชาแทนอิสอัคบุตรชาย (เทียบ ปฐก. 22:1-19)แม้พระคัมภีร์ไม่ได้บอกว่าอิสอัครู้สึกอย่างไร แต่สิ่งที่รับรู้และสัมผัสได้คืออิสอัคเชื่อฟังและทำตามที่อับราฮัมสั่งทุกประการ ตั้งแต่การแบกฟืนเดินขึ้นไปบนภูเขา ซึ่งหนักและเหนื่อยมาก หรือแม้แต่การยอมถูกจับมัดวางไว้บนฟืนเพื่อถวายเป็นเครื่องบูชาแด่พระเจ้าจนเกือบจะถูกฆ่าก็ตาม
3. ในหนังสือปฐมกาล บทที่ 24 ข้อที่ 1 ถึง 61ยังบอกกับเราถึงเรื่องราวที่อับราฮัมต้องการหาภรรยาให้อิสอัค เพราะเขาชรามากแล้ว จึงสั่งให้คนรับใช้ที่อาวุโสที่สุดในบ้าน เดินทางไปยังบ้านเกิดของท่าน ไปยังบ้านญาติพี่น้องของท่าน เพราะคนที่อิสอัคจะแต่งงานด้วย ต้องเป็นคนในเชื้อสายของท่าน ตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสัญญาว่าจะประทานแผ่นดินนี้ให้แก่ลูกหลานของท่าน
ผู้รับใช้จึงออกเดินทางพร้อมของกำนัลมากมาย ไปยังเมืองที่นาโฮร์ น้องชายของท่านอาศัยอยู่ในแคว้นเมโสโปเตเมีย องค์พระผู้เป็นเจ้านำทางคนรับใช้ของอับราฮัมให้ได้พบกับเรเบคาห์ซึ่งกำลังแบกไหน้ำมาถึงที่นั่น นางเป็นบุตรสาวของเบธูเอล เบธูเอลเป็นบุตรชายของมิลคาห์ ภรรยาของนาโฮร์น้องชายของอับราฮัม เรเบคาห์มีรูปร่างหน้าตางดงามมาก เป็นสาวพรหมจารี ยังไม่เคยมีความสัมพันธ์กับชายใด คนรับใช้ของอับราฮัมได้ร่วมกินอาหารกับครอบครัวของเรเบคาห์ เขาเล่าเรื่องราวที่อับราฮัมต้องการหาภรรยาให้อิสอัคบุตรชาย ต้องมาจากญาติเท่านั้น เขาจึงออกเดินทางมาที่เมืองนี้และขอให้พระเจ้าทรงนำเขามาในทางที่ถูกต้อง จนมาพบกับเรเบคาห์เมื่อลาบัน(พี่ชาย)และมารดาถามเรเบคาห์ว่า “จะไปกับชายผู้นี้หรือ” นางตอบว่า “ไปค่ะ” ลาบันจึงอนุญาตให้เรเบคาห์พร้อมกับแม่นมของเธอ ออกเดินทางไปกับผู้รับใช้ของอับราฮัมเมื่อผู้รับใช้กลับมาเขาเล่าให้อิสอัครู้ทุกสิ่งที่ได้ทำ อิสอัคจึงพาเรเบคาห์เข้าไปในกระโจมที่เคยเป็นของซาราห์ เขาแต่งงานกับเรเบคาห์ เมื่อเขามีอายุ 40 ปี ต่อมาเรเบคาห์ให้กำเนิดบุตรแฝด คนแรกชื่อเอซาว คนที่สองชื่อยาโคบ อิสอัคมีอายุ 60 ปี เมื่อบุตรทั้งสองเกิดมา (เทียบ ปฐก.24:62-67; 25:20-26)
4. อิสอัคเป็นแบบอย่างแก่เราในเรื่องการเชื่อฟังและทำตามที่อับราฮัมจัดเตรียมให้ทุกประการ เพราะเชื่อมั่นว่า บิดาจะให้สิ่งที่ดีที่สุดแก่เขา พระเจ้าทรงอวยพรอิสอัคและครอบครัวของเขา ให้มีลูกหลานสืบเชื้อสายตามพระสัญญา ในคำสอนพระศาสนจักรคาทอลิกตอกย้ำถึงบทบาทหน้าที่ของการเป็นลูก ที่ต้องเคารพและให้เกียรติบิดามารดาของตน ต้องเชื่อฟังเพราะท่านเป็นผู้ให้ชีวิตแก่เรา (เทียบ CCC 2214-2220, 2251) ซึ่งตรงกับหนังสือบุตรสิราที่ว่า “จงนับถือบิดาอย่างสุดใจ จงอย่าลืมว่ามารดาให้กำเนิดท่านด้วยความเจ็บปวด จงระลึกว่าท่านทั้งสองเป็นผู้ให้กำเนิด จะมีสิ่งใดมาตอบแทนบุญคุณนี้ได้” (บสร. 7:27-28)
5. การเชื่อฟังและปฏิบัติตามเป็นการแสดงออกถึงความเคารพรักต่อบิดามารดาในฐานะที่เราเป็นลูก ที่ไม่ใช่มีเพียงแค่คำพูด แต่เป็นสิ่งที่มองเห็นด้วยตาสัมผัสได้ด้วยใจ และให้เราจะได้อ่านพระวาจาพระเจ้าประจำวัน เพื่อจะได้ทราบว่าพระเจ้าทรงประสงค์สิ่งใด และสอนแนวทางในการดำเนินชีวิตคริสตชนที่ดีแก่เราอย่างไรที่สำคัญ หมั่นสวดภาวนาให้กับบิดามารดาในทุกวัน ไม่ว่าท่านจะยังมีชีวิตอยู่หรือเสียชีวิตไปแล้ว
ปฏิบัติ
ก. ข้อควรจำ
1. อิสอัคเชื่อฟังและทำตามที่อับราฮัมสั่งทุกประการ ตั้งแต่แบกฟืนเดินขึ้นไปบนภูเขา หรือแม้แต่การยอมถูกจับมัดวางไว้บนฟืนเพื่อถวายเป็นเครื่องบูชาแด่พระเจ้า
2. อิสอัคแต่งงานกับเรเบคาห์เมื่อเขามีอายุ 40 ปี
3. เรเบคาห์ตั้งครรภ์ให้กำเนิดบุตรแฝด คนแรกชื่อเอซาว คนที่สองชื่อยาโคบ เมื่อบุตรทั้งสองคนเกิดมาอิสอัคมีอายุ 60 ปี
4. จงนับถือบิดาอย่างสุดใจ จงอย่าลืมว่ามารดาให้กำเนิดท่านด้วยความเจ็บปวด จงระลึกว่าท่านทั้งสองเป็นผู้ให้กำเนิด จะมีสิ่งใดมาตอบแทนบุญคุณนี้ได้ (บสร. 7:27-28)
5. การเชื่อฟังและปฏิบัติตามเป็นการแสดงออกถึงความเคารพรักต่อบิดามารดาในฐานะที่เราเป็นลูก
6. ให้เราจะได้อ่านพระวาจาพระเจ้าประจำวัน เพื่อจะได้ทราบว่าพระเจ้าทรงประสงค์สิ่งใด และสอนแนวทางในการดำเนินชีวิตคริสตชนที่ดีแก่เราอย่างไร
ข. กิจกรรม กุญแจแห่งการเชื่อฟัง
อุปกรณ์ 1. แบบของกุญแจคนละ 4 ดอก ::: Download ::: ถ่ายเอกสารตามจำนวนผู้เรียนตามแบบ หรือถ้าให้ผู้เรียนวาดเอง ผู้สอนเตรียมกระดาษแข็งสำหรับวาดแบบมาด้วย
2. เชือกป่าน, ไหมญี่ปุ่นหรือลวดญี่ปุ่น
3. ที่เจาะรูกระดาษ
4. กรรไกร ปากกา สีไม้หรือสีเมจิก สำหรับระบาย
ดำเนินการ
1. แจกแบบกุญแจให้ผู้เรียนคนละ 4 ดอก เด็กเล็ก ให้ผู้สอนเตรียมกุญแจที่ตัดสำเร็จแล้วแจกให้ เด็กโต ผู้สอนแจกแบบกุญแจให้ผู้เรียนตัดตามรอยเอง
2. ผู้สอนอธิบายย้ำถึงสิ่งที่เด็กควรจะทำในการเชื่อฟัง 4 ประการจากบทเรียนที่เรียนไปคือ
(1.) เชื่อฟังทันที (2.) เชื่อฟังทั้งหมด
(3.) เชื่อฟังด้วยใจยินดี (4.) เชื่อฟังโดยไม่บ่น
3. ให้ผู้เรียนเขียนข้อความทั้ง 4 นี้ ลงบนลูกกุญแจกระดาษ และระบายสีตกแต่งให้สวยงาม
4. เจาะรูลูกกุญแจแต่ละดอก แล้วร้อยเชือกป่าน ไหมญี่ปุ่นหรือลวดญี่ปุ่น ให้เป็นพวงกุญแจแห่งการเชื่อฟัง
***ผู้สอนอาจเจาะกระดาษเตรียมไว้ก่อนก็ได้ เพื่อเป็นการประหยัดเวลาในชั้นเรียน
5. นำชิ้นงานกลับไปที่บ้าน วางไว้ในที่เห็นชัด ๆ บนโต๊ะเรียนหรือบนหัวนอนเพื่อเตือนใจให้เชื่อฟังเสมอ
ค. การบ้าน
1. อ่านใบความรู้เรื่องอิสอัค เพิ่มเติม
2. ผู้เรียนกลับไปเล่าเรื่องราวของอิสอัคให้คนในครอบครัวฟัง โดยเฉพาะตอนที่ผู้เรียนประทับใจ
3. ให้ผู้เรียนมีความตั้งใจที่จะเชื่อฟังพ่อแม่ตามที่เขียนบนลูกกุญแจทั้ง 4 ดอก
***นำผลงาน “กุญแจแห่งการเชื่อฟัง” ไปให้คนในครอบครัวดู
::: Download บทเรียนที่ 4 ::
อิสอัค
(ปฐมกาล บทที่ 21-24)
พระเจ้าทรงเมตตานางซาราห์ ทรงทำตามที่สัญญาไว้กับอับราฮัมว่าจะให้นางซาราห์มีบุตรคนหนึ่งซาราห์ได้คลอดบุตรชายคนหนึ่ง อับราฮัมจึงตั้งชื่อบุตรนั้นว่า “อิสอัค” ทั้งสองต่างมีความสุขกับการเกิดมาของเด็กน้อยคนนี้มาก
เมื่อเวลาผ่านไป พระเจ้าทรงทดลองใจอับราฮัม ด้วยการให้เขาพาอิสอัคไปถวายเป็นเครื่องบูชาแด่พระเจ้า อับราฮัมให้อิสอัคแบกฟืนสำหรับใช้เผาบูชา ส่วนตนถือไฟและมีด แล้วทั้งสองคนเดินทางไปด้วยกัน อิสอัคพูดกับอับราฮัมบิดาของตนว่า “พ่อครับ” อับราฮัมถามว่า “อะไรหรือลูก” อิสอัคพูดต่อไปว่า “ดูซิ ที่นี่มีไฟและฟืน แต่ลูกแกะที่จะใช้เผาบูชาอยู่ที่ไหน” อับราฮัมตอบว่า “ลูกเอ๋ย พระเจ้าจะทรงจัดหาลูกแกะสำหรับเผาบูชาให้เอง” แล้วทั้งสองคนก็เดินทางต่อไป เมื่อทั้งสองคนมาถึงสถานที่ซึ่งพระเจ้าทรงบอกให้รู้แล้ว อับราฮัมก่อแท่นบูชาขึ้น จัดเรียงฟืนไว้บนนั้น แล้วมัดอิสอัคนำมาวางไว้บนฟืนบนแท่นบูชา อับราฮัมยื่นมือออกไป เงื้อมีดจะฆ่าบุตร แต่ทูตของพระเจ้าร้องเรียกจากสวรรค์ว่า “อับราฮัมเอ๋ยอับราฮัม” อับราฮัมตอบว่า “ข้าพเจ้าอยู่นี่” ทูตสวรรค์กล่าวว่า “อย่าลงมือฆ่าเด็กหรือทำร้ายเขาเลย บัดนี้เรารู้แล้วว่า ท่านยำเกรงพระเจ้าและมิได้หวงบุตรคนเดียวของท่านไว้ไม่ถวายแก่เรา” อับราฮัมเงยหน้าขึ้นก็แลเห็นแกะเพศผู้ตัวหนึ่ง เขาของมันติดอยู่ในพุ่มไม้ อับราฮัมจึงไปจับมันมาฆ่าเผาถวายบูชาแทนบุตรชายอับราฮัมเรียกสถานที่นั้นว่า “พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้”แม้กระทั่งทุกวันนี้ คนทั้งหลายก็ยังพูดกันว่า “บนภูเขาพระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้”
เมื่ออับราฮัมชรามากแล้ว ต้องการหาภรรยาให้อิสอัค จึงเรียกผู้รับใช้ที่อาวุโสที่สุดในบ้าน ซึ่งเป็นผู้ดูแลทรัพย์สินทั้งหมดของเขา ให้กลับไปยังบ้านเกิดของอับราฮัม และเลือกภรรยาจากญาติของเขา ผู้รับใช้คนนั้นจึงออกเดินทางพร้อมอูฐสิบตัวบรรทุกของกำนัลทุกชนิดของนาย ไปยังเมืองที่นาโฮร์อาศัยอยู่ในแคว้นเมโสโปเตเมีย เมื่อถึงบ่อน้ำนอกเมือง เขาอธิษฐานว่า “ข้าแต่พระเจ้า พระเจ้าของอับราฮัมนายของข้าพเจ้า โปรดให้ข้าพเจ้าประสบความสำเร็จในวันนี้ และโปรดแสดงความรักมั่นคงต่ออับราฮัมนายของข้าพเจ้าด้วยเถิด” ข้าพเจ้าจะยืนอยู่ข้างบ่อน้ำ เมื่อบรรดาหญิงชาวเมืองออกมาตักน้ำ ข้าพเจ้าจะพูดกับหญิงคนหนึ่งว่า “ขอให้ข้าพเจ้าดื่มน้ำในไหน้ำของท่านบ้างเถิด”ถ้าหญิงนั้นตอบ “เชิญซิคะ ดิฉันจะตักน้ำให้อูฐของท่านด้วย” หญิงคนนั้นแหละ จะเป็นหญิงที่พระองค์ทรงเลือกไว้ให้อิสอัค ผู้รับใช้ของพระองค์ และดังนี้ข้าพเจ้าก็จะรู้ว่าพระองค์ทรงแสดงความรักมั่นคงต่อนายของข้าพเจ้า” เขาอธิษฐานยังไม่ทันจบ เรเบคาห์ก็แบกไหน้ำมาถึงที่นั่น นางเป็นบุตรสาวของเบธูเอลเบธูเอลเป็นบุตรชายของมิลคาห์ ภรรยาของนาโฮร์น้องชายของอับราฮัม เรเบคาห์มีรูปร่างหน้าตางดงามมากเป็นสาวพรหมจารี ยังไม่เคยมีความสัมพันธ์กับชายใด ผู้รับใช้จึงพูดกับนางเหมือนกับที่เขาอธิษฐานต่อพระเจ้าและนางก็ได้ให้น้ำดื่มกับเขา และยังกลับไปตักน้ำจากบ่อมาให้อูฐทุกตัวได้ดื่มด้วย ผู้รับใช้คนนั้นกราบลงนมัสการพระเจ้าที่ทรงประทานตามที่เขาวอนขอ
เรเบคาห์จึงกลับไปที่บ้านของมารดาและเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง เรเบคาห์มีพี่ชายคนหนึ่งชื่อลาบันเขาจึงวิ่งออกไปหาผู้รับใช้คนนั้นและเชิญให้ไปยังบ้านของตน ผู้รับใช้คนนั้นจึงได้เล่าเรื่องราวที่อับราฮัมต้องการหาภรรยาให้อิสอัคบุตรชายและต้องมาจากญาติเท่านั้น เขาจึงออกเดินทางมาที่เมืองนี้และขอให้พระเจ้าทรงนำเขามาในทางที่ถูกต้อง ลาบันและเบธูเอลตอบว่า “เรื่องนี้มาจากพระเจ้า เราไม่อาจตัดสินอะไรได้ เรเบคาห์ก็อยู่ที่นี่ต่อหน้าท่านแล้ว จงพานางไปเถิด และให้นางเป็นภรรยาของบุตรชายของนาย
ของท่าน ดังที่พระเจ้าตรัสไว้” เมื่อผู้รับใช้ของอับราฮัมได้ยินดังนี้ ก็กราบลงที่พื้นดินนมัสการพระเจ้า เมื่อพี่ชายและมารดาถามเรเบคาห์ว่า “เธอจะไปกับชายผู้นี้หรือ” นางตอบว่า “ไปค่ะ” ลาบันจึงอนุญาตให้เรเบคาห์น้องสาวพร้อมกับแม่นมของเธอ ออกเดินทางไปกับผู้รับใช้ของอับราฮัม ญาติพี่น้องของเรเบคาห์อวยพรนาง ให้มีลูกหลานมากมายและมีชัยชนะเหนือศัตรู เรเบคาห์และหญิงรับใช้ทั้งหลายเตรียมตัวออกเดินทางขึ้นบนหลังอูฐ ผู้รับใช้ของอับราฮัมก็พานางออกเดินทางขณะนั้น อิสอัคกลับจากบ่อน้ำลาไคโรอี เขาอาศัยอยู่ในดินแดนเนเกบ เย็นวันหนึ่ง อิสอัคออกไปเดินเล่นในทุ่งนา เขาเงยหน้าขึ้นเห็นอูฐหลายตัวกำลังเดินตรงมา เรเบคาห์เงยหน้าขึ้นเห็นอิสอัค จึงลงจากหลังอูฐและถามผู้รับใช้ว่า “ชายที่กำลังเดินอยู่ในทุ่งนาตรงมาหาเราเป็นใครคะ” ผู้รับใช้ตอบว่า “เขาคือนายของข้าพเจ้า” เธอจึงเอาผ้าคลุมหน้าไว้ ผู้รับใช้เล่าให้อิสอัครู้ทุกสิ่งที่เขาได้ทำ อิสอัคจึงพาเรเบคาห์เข้าไปในกระโจมที่เคยเป็นของนางซาราห์มารดาของตน เขาแต่งงานกับเรเบคาห์และรักนางมาก อิสอัคจึงได้รับการปลอบใจหลังจากมารดาเสียชีวิต
อิสอัคแต่งงานเมื่อเขามีอายุสี่สิบปี หลังจากนั้นเรเบคาห์ภรรยาของเขาตั้งครรภ์ให้กำเนิดบุตรแฝด คนแรกชื่อเอซาว คนที่สองชื่อยาโคบ อิสอัคมีอายุหกสิบปีเมื่อบุตรทั้งสองคนเกิดมา (เทียบ ปฐก. 25:20-26)