บุคคลในประวัติศาสตร์ความรอด บทเรียนที่ 3
อับราฮัม : บิดาแห่งความเชื่อและการเริ่มต้นพันธสัญญา
จุดประสงค์
เมื่อจบบทเรียนแล้ว ผู้เรียนสามารถ
1. เรียนรู้จักชีวิตของอับราฮัมบิดาแห่งความเชื่อและการเริ่มต้นประวัติศาสตร์ความรอด
2. ชื่นชมในความเชื่อที่อับราฮัมมีต่อพระเจ้า
3. ปฏิบัติตามแบบอย่างของอับราฮัมในการมีความเชื่อที่มั่นคงและเข้มแข็ง
ปฏิบัติ "ให้ภาพเล่าเรื่อง"
อุปกรณ์ ภาพประกอบการเล่าเรื่อง หรือดาวน์โหลดจากอินเตอร์เน็ตในภาพที่คล้ายคลึงกัน
วิธีการ ผู้สอนนำภาพให้ผู้เรียนดู และถามคำถามจากภาพดังนี้ ให้ผู้เรียนช่วยกันตอบ
A เห็นอะไร B รู้สึกอย่างไร C ชอบ/ไม่ชอบอะไร D อยากเป็นอะไร
สรุป ในภาพที่เราดูนี้เป็นภาพของผู้คนที่กำลังเดินทาง เรารู้เพราะพวกเขามีกระเป๋าเดินทาง มีสัมภาระต่าง ๆ ติดตัว มีสิ่งที่ช่วยในการประทังชีวิต สีหน้าและแววตาของคนในภาพบ่งบอกถึงความกังวลและไม่มีความสุข เพราะต้องออกจากบ้านที่อยู่มาเป็นเวลานาน ซึ่งเราไม่อาจทราบสาเหตุแน่ชัดของการเคลื่อนย้ายนี้ได้ อาจเป็นเพราะด้วยสงครามหรือการสูญเสียที่ดินทำมาหากิน แต่ที่แน่ ๆ ทุกการย้ายถิ่นฐานบ้านเกิด จะเต็มไปด้วยความยากลำบาก ความกังวล ความไม่มั่นใจเพราะต้องไปเริ่มต้นในที่ใหม่ ในบทเรียนนี้เราจะมาเรียนรู้จักชายที่ชื่อ “อับราฮัม” ซึ่งพระเจ้าทรงเรียกท่านให้ออกจากบ้านเกิดของตน ไปยังแผ่นดินที่พระเจ้าทรงชี้บอกกับท่าน ท่านถือเป็น “บิดาแห่งความเชื่อ” เพราะท่านเชื่อฟังและทำตามที่พระเจ้าตรัสทุกอย่าง
คำสอน
1. วันที่ 18 ธันวาคม ของทุกปี เป็นวันผู้อพยพย้ายถิ่นฐานสากล (International Migrants Day) ถูกกำหนดโดยองค์การสหประชาชาติ ซึ่งคาดการณ์ไว้ว่าในศตวรรษที่ 21จะเป็นศตวรรษแห่งการย้ายถิ่นข้ามชาติ ปรากฏการณ์นี้ก่อให้เกิดผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงสังคม การเมืองเศรษฐกิจ และวัฒนธรรมโลกอย่างมหาศาลองค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน (Internatiotional Organization for Migration: IOM) ซึ่งเป็นหน่วยงานหนึ่งภายใต้องค์การสหประชาชาติ (United Nations:UN) ให้คำจำกัดความว่า ผู้ย้ายถิ่นฐาน หมายถึง บุคคลที่ย้ายออกจากสถานที่ที่ตัวเองใช้ชีวิตอยู่เป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็นการย้ายในประเทศหรือออกนอกประเทศ การย้ายชั่วคราวหรือถาวรก็ตาม โดยมี 2 ปัจจัยหลัก ๆ คือ1) วิกฤตการณ์ด้านมนุษยธรรมทั่วโลก อย่างเช่นภัยสงคราม การเมือง และความรุนแรง 2) ความต้องการแรงงาน แต่ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม หลัก ๆ คือการออกจากบ้านเกิดของตน ออกจากที่ที่คุ้นเคย มีการเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลต่อชีวิตของผู้คน แต่ที่น่าเศร้าหากการอพยพย้ายถิ่นเกิดจากภาวะสงคราม เพราะนำมาซึ่งความสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก ทรัพย์สินเงินทองและบ้านเรือน คิดดูเถิดว่าคนเหล่านั้นจะทุกข์กายทุกข์ใจมากเพียงใดแต่สำหรับชายที่ชื่อ “อับราฮัม” การย้ายถิ่นฐานของเขามีเหตุผลที่สำคัญเพียงเหตุผลเดียวคือ “เชื่อฟังพระเจ้า”
2. ในปฐมกาล บทที่ 12 ข้อ 1-9 บันทึกเรื่องราวที่พระเจ้าทรงเรียกอับรามไว้ว่า “จงออกจากแผ่นดินของท่านจากญาติพี่น้อง จากบ้านของบิดา ไปยังแผ่นดินที่เราจะชี้ให้ท่าน เราจะทำให้ท่านเป็นชนชาติใหญ่ จะอวยพรท่านจะทำให้ท่านมีชื่อเสียงเลื่องลือ ท่านจะนำพระพรมาให้ผู้อื่น เราจะอวยพรผู้ที่อวยพรท่าน เราจะสาปแช่งผู้ที่สาปแช่งท่าน บรรดาเผ่าพันธุ์ทั้งสิ้นทั่วแผ่นดินจะได้รับพรเพราะท่าน” อับรามจึงออกเดินทางตามที่พระเจ้าตรัสเมื่ออับรามออกจากเมืองฮารานนั้นเขามีอายุเจ็ดสิบห้าปี เขาพาซารายภรรยาของตน โลทบุตรของน้องชายและทรัพย์สมบัติทั้งหมด พร้อมทั้งฝูงสัตว์ออกเดินทางไปยังแผ่นดินคานาอัน พระเจ้าบอกอับรามว่าแผ่นดินนี้เราจะยกให้ลูกหลานของเขา อับรามสร้างแท่นบูชาถวายแด่พระเจ้าที่นั่น
3. การเดินทางของอับรามและครอบครัวไม่ได้ราบรื่นนัก เขาไปอาศัยที่อียิปต์ช่วงหนึ่ง เพราะเกิดขาดแคลนอาหารในแผ่นดินอย่างรุนแรงหลังจากช่วงเวลาแห่งความแห้งแล้งผ่านพ้นไป อับรามเดินทางกลับไปยังดินแดนเนเกบและย้ายกระโจมเดินทางไปเรื่อย ๆ อับรามมีอายุเก้าสิบเก้าปีเมื่ออธิษฐานต่อพระเจ้าเรื่องการมีบุตร พระเจ้าทรงสำแดงพระองค์และทำพันธสัญญากับเขา ว่าเขาจะเป็นบิดาของชนชาติใหญ่พระเจ้าทรงเรียกชื่อของท่านใหม่ว่า “อับราฮัม” ส่วนนางซารายพระเจ้าทรงเรียกชื่อใหม่ว่า “ซาราห์” ความเชื่อของอับราฮัม พระเจ้านับว่าเป็นความชอบธรรมแก่ท่าน ทรงกระทำตามที่ได้ทรงสัญญาไว้ นางซาราห์ตั้งครรภ์และให้กำเนิดบุตรชายแก่อับราฮัม ตามเวลาที่พระเจ้ากำหนดไว้ เขาตั้งชื่อบุตรที่นางซาราห์คลอดว่า “อิสอัค”
4. พระเจ้าทรงทดสอบความเชื่อของอับราฮัม โดยขอให้เขาถวายบุตรชายคนเดียวที่พระเจ้าทรงมอบให้ เป็นเครื่องบูชาแด่พระองค์สำหรับอับราฮัมในฐานะบิดา คิดดูว่าจะเศร้าใจขนาดไหน เขารอคอยบุตรชายคนนี้มาเนิ่นนาน เมื่อพระเจ้าประทานให้แล้ว พระองค์ยังจะขอคืนอีก แต่อับราฮัมก็พร้อมมอบ “อิสอัค” บุตรชายอันเป็นที่รักแด่พระเจ้า เป็นเครื่องบูชาบนสถานที่ที่พระเจ้าบอกแก่เขาเมื่อพระเจ้าเห็นความเชื่อของอับราฮัม จึงได้มอบแกะเพศผู้ตัวหนึ่งแก่เขาเพื่อเป็นเครื่องบูชาแทนบุตรชาย และตรัสกับอับราฮัมว่า “เพราะท่านได้ทำดังนี้ คือมิได้หวงบุตรชายคนเดียวของท่านไว้เราสาบานต่อเราเองว่า เราอวยพรให้ท่านอย่างมาก จะให้ลูกหลานของท่านทวีจำนวนมากเท่ากับดวงดาวบนท้องฟ้าและเม็ดทรายตามชายทะเล ลูกหลานของท่านจะได้เมืองของศัตรูเป็นกรรมสิทธิ์ ชนทุกชาติบนแผ่นดินจะได้รับพระพรเพราะลูกหลานของท่าน ทั้งนี้ เพราะท่านเชื่อฟังคำสั่งของเรา” (เทียบ ปฐก. 22:1-19)
5. หลายครั้งเราก็อาจถูกเรียกร้องจากสถานการณ์จากบุคคลรอบข้าง ให้ต้องทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่อยู่นอกเหนือแผนการที่เราคิดและตั้งใจไว้ แม้อาจะไม่เข้าใจ ไม่อยากทำ แต่เมื่อต้องทำอย่างปฏิเสธไม่ได้ ก็แน่นอนว่าอาจจะไม่ได้ราบรื่น และต้องพบเจอความยากลำบากหรือความกังวลใจ แต่ถ้าเราเปิดใจก็จะได้รับสิ่งที่ดีกลับคืนมามากกว่าที่คิดและตั้งใจไว้เสียอีก อย่างน้อยก็ได้ลงมือทำ ได้มีประสบการณ์ ส่วนผลดีที่ได้รับก็ถือเป็นกำไรของชีวิตแต่ขั้นสูงกว่านั้นคือการฟังเสียงของพระเจ้าและปฏิบัติตาม แม้อาจจะยังไม่เข้าใจ ไม่แน่ใจหรือรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ยากลำบาก ให้เราวอนขอความเชื่อที่เข้มแข็งมั่นคงจากพระเจ้าในทุกวัน อย่างเช่นชีวิตของอับราฮัมที่เชื่อฟังและไว้วางใจว่าพระเจ้าอยู่กับเขาและเดินไปพร้อมกับเขาเสมอ ในทุกสถานการณ์ของชีวิต
ปฏิบัติ
ก. ข้อควรจำ
1. พระเจ้าทรงเรียกอับรามให้ออกจากแผ่นดินของเขา จากญาติพี่น้อง จากบ้านของบิดา ไปยังแผ่นดินที่พระเจ้าจะชี้ให้เขา
2. พระเจ้าทรงสำแดงพระองค์และทำพันธสัญญากับเขา ว่าเขาจะเป็นบิดาของชนชาติใหญ่
3. นางซาราห์ตั้งครรภ์และให้กำเนิดบุตรชายแก่อับราฮัมตามเวลาที่พระเจ้ากำหนดไว้ เขาตั้งชื่อบุตรที่คลอดนั้นว่า “อิสอัค”
4. อับราฮัมเชื่อพระเจ้า ความเชื่อนั้นพระเจ้าทรงนับว่าเป็นความชอบธรรมแก่ท่าน
5. ให้เราวอนขอความเชื่อที่เข้มแข็งมั่นคงจากพระเจ้าในทุกวัน อย่างเช่นชีวิตของอับราฮัม ที่เชื่อฟังและไว้วางใจว่าพระเจ้าอยู่กับเขาและเดินไปพร้อมกับเขาเสมอในทุกสถานการณ์ของชีวิต
ข. กิจกรรม จัดห้องเรียนใหม่กันเถอะ
1. ให้ผู้เรียนช่วยกันจัดห้องเรียนใหม่ โดยผู้สอนเป็นผู้กำหนดตำแหน่งของการวางสิ่งของต่าง ๆ
2. ผู้สอนอาจเรียกผู้เรียนบางคนมายกโต๊ะ ยกเก้าอี้ ยกหนังสือ ยกสมุด ฯลฯ จากอีกที่หนึ่งไปวางไว้อีกที่หนึ่ง
3. ผู้สอนทำทีท่าว่าไม่ค่อยพอใจตำแหน่งที่วางของ และให้มีการยกของย้ายไปตำแหน่งใหม่ โดยอาจเรียกคนเดิม หรือให้ช่วยกัน
4. ให้ผู้สอนทำเช่นเดิม 4-5 รอบหรือมากกว่านั้น และคอยสังเกตอาการของผู้เรียน เช่น อาจมีบางคนบ่นหรือเปรย ๆ เมื่อไม่ได้ตำแหน่งที่วางอย่างถูกต้อง ต้องยกแล้วยกอีก ย้ายแล้วย้ายอีก เหนื่อย ไม่ไหวแล้ว
5. ที่สุด ผู้สอนให้ผู้เรียนช่วยกันจัดห้องเรียนให้เหมือนเดิม หรือตามที่เห็นสมควรหากต้องการปรับเปลี่ยนห้องเรียน
ผู้สอนสนทนากับผู้เรียน
1. รู้สึกอย่างไรเมื่อได้ยินคำสั่งว่าจะปรับห้องเรียนใหม่ (ตื่นเต้น, ดีใจ, ไม่อยากทำ, ขี้เกียจ, มันก็ดีอยู่แล้ว ฯลฯ)
2. รู้สึกอย่างไรเมื่อต้องช่วยกันยกเก้าอี้ ยกโต๊ะ ยกของอื่น ๆ (สนุกดี, ไม่อยากทำ, ขี้เกียจ, หนัก, เหนื่อย อย่างไรก็ได้, เฉย ๆ ฯลฯ)
3. รู้สึกอย่างไรต่อคำสั่งของผู้สอน ที่ให้จัดแล้วจัดอีก ยกของจากที่เดิมย้ายไปที่ใหม่ แล้วก็ย้ายกลับมาอยู่ที่เดิม (สนุกดี, ไม่อยากทำ, ขี้เกียจ, หนัก, เหนื่อย, หงุดหงิด, อย่างไรก็ได้, เฉย ๆ ฯลฯ)
สรุปจากกิจกรรม เมื่อเราย้ายของเล็ก ๆ น้อย ๆ ในห้องเรียน ตามคำสั่งของผู้สอนที่ให้ย้ายแล้วย้ายอีก ให้ยกไปวางตรงนั้น เดี๋ยวย้ายไปวางตรงนี้ กลับไปกลับมาหลายครั้ง อาจทำให้เรารู้สึกน่าเบื่อ เหนื่อย ไม่อยากทำไม่ชอบ ไม่เข้าใจ เราลองนึกดูว่าคนที่ต้องอพยพย้ายถิ่นฐานจากบ้านเกิดของตน หรือต้องออกเดินทางไกลเขาจะรู้สึกเศร้าเสียใจขนาดไหน และต้องเหนื่อยมากเพียงไร จากชีวิตของอับราฮัมที่เราได้เรียนรู้ไป เขามีความเชื่อที่เข้มแข็งและเชื่อฟังพระเจ้าทุกประการ แม้บางอย่างจะไม่เข้าใจ แม้จะต้องมีความยากลำบาก แต่สิ่งที่เขาได้รับกลับมาคือ พระเจ้าทรงอวยพรเขาและครอบครัวของเขาอย่างมาก
ค. การบ้าน
1. อ่านใบความรู้เรื่องอับราฮัม เพิ่มเติม
2. ให้ผู้เรียนกลับไปเล่าเรื่องราวการเชื่อฟังพระเจ้าแบบไร้เงื่อนไขของอับราฮัมให้ทุกคนในครอบครัวฟัง ซึ่งพระเจ้าทรงอวยพรเขา และครอบครัวของเขาด้วย
3. ให้ผู้เรียนเชิญชวนทุกคนในครอบครัวภาวนาร่วมกัน ขอให้พระเจ้าประทานความเชื่อที่เข้มแข็งแก่ทุกคน และภาวนาสำหรับผู้ที่ละทิ้งความเชื่อ ขอโปรดให้เขากลับใจมาหาพระองค์ในเร็ววัน
::: Download บทเรียนที่ 3 ::
อับราฮัม
(ปฐมกาล บทที่ 12-18, 21-22)
พระเจ้าตรัสแก่อับรามว่า “จงออกจากแผ่นดินของท่าน จากญาติพี่น้อง จากบ้านของบิดา ไปยังแผ่นดินที่เราจะชี้ให้ท่าน เราจะทำให้ท่านเป็นชนชาติใหญ่ จะอวยพรท่าน จะทำให้ท่านมีชื่อเสียงเลื่องลือ ท่านจะนำพระพรมาให้ผู้อื่น เราจะอวยพรผู้ที่อวยพรท่าน เราจะสาปแช่งผู้ที่สาปแช่งท่าน บรรดาเผ่าพันธุ์ทั้งสิ้นทั่วแผ่นดินจะได้รับพรเพราะท่าน” อับรามจึงออกเดินทางตามที่พระเจ้าตรัส เมื่ออับรามออกจากเมืองฮารานนั้นเขามีอายุเจ็ดสิบห้าปี เขาพานางซารายภรรยาของตนกับโลทบุตรของน้องชาย และทรัพย์สมบัติทั้งหมดพร้อมทั้งฝูงสัตว์ ออกเดินทางไปยังแผ่นดินคานาอัน พระเจ้าบอกอับรามว่าดินแดนนี้เราจะยกให้ลูกหลานของเขา อับรามสร้างแท่นบูชาถวายแด่พระเจ้าที่นั่น
อับรามและครอบครัวได้ไปอาศัยอยู่ที่อียิปต์ช่วงหนึ่ง เพราะความขาดแคลนอาหารในแผ่นดินรุนแรงมาก หลังจากนั้น อับรามนำข้าวของทั้งหมดที่มีเดินทางออกจากอียิปต์กลับไปยังดินแดนเนเกบพร้อมกับภรรยา โลทไปกับเขาด้วย อับรามมีฝูงแพะแกะเงินทองมากขึ้น และย้ายกระโจมเดินทางไปเรื่อย ๆจากดินแดนเนเกบถึงเบธเอล โลทซึ่งไปกับอับรามมีฝูงแกะ โค และกระโจมของตนด้วย และที่ดินแถบนั้นไม่กว้างขวางพอที่จะให้เขาทั้งสองคนอยู่ร่วมกันได้ คนเลี้ยงสัตว์ของอับรามและของโลทเริ่มทะเลาะวิวาทกันเพราะต่างคนต่างมีฝูงสัตว์และทรัพย์สมบัติมากมาย อับรามจึงแยกทางกับโลท โดยโลทเลือกบริเวณลุ่มแม่น้ำจอร์แดนทั้งหมดไว้เป็นของตน ส่วนอับรามอาศัยในแผ่นดินคานาอัน เมื่อโลทแยกไปแล้ว พระเจ้าตรัสกับอับรามว่า “จงเงยหน้าขึ้นจากที่ที่ท่านอยู่ มองไปทางทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศตะวันออกและทิศตะวันตกแผ่นดินทั้งหมดที่ท่านเห็นนี้ เราจะมอบให้ท่านและให้ลูกหลานของท่านตลอดไป เราจะทำให้ลูกหลานของท่านมีจำนวนมากมายนับไม่ถ้วน เหมือนฝุ่นผงของแผ่นดิน ผู้ใดนับฝุ่นผงของแผ่นดินได้ก็จะนับจำนวนลูกหลานของท่านได้เช่นเดียวกัน ท่านจงลุกขึ้นเดินทางไปให้ทั่วแผ่นดินนี้ ทั้งด้านยาวและด้านกว้างเถิดเพราะว่าเราจะมอบให้ท่าน”
เมื่ออับรามอยู่ในแผ่นดินคานาอันได้สิบปี นางซารายยกนางฮาการ์ทาสหญิงชาวอียิปต์ของตนให้เป็นภรรยาของอับรามสามี อับรามได้ร่วมหลับนอนกับนางฮาการ์ ต่อมานางก็ตั้งครรภ์ให้กำเนิดบุตรชายอับรามตั้งชื่อบุตรที่นางฮาการ์คลอดนั้นว่า “อิชมาเอล” อับรามมีอายุแปดสิบหกปีเมื่อนางฮาการ์คลอดบุตรชายให้เขา เมื่ออับรามอายุเก้าสิบเก้าปี พระเจ้าทรงสำแดงพระองค์แก่เขา ตรัสว่า “เราจะทำพันธสัญญากับท่าน จะให้ท่านมีลูกหลานจำนวนมากยิ่ง ๆ ขึ้น ท่านจะเป็นบิดาของชนชาติจำนวนมาก ชื่อของท่านจะไม่ใช่อับรามอีกแล้ว ท่านจะมีชื่อใหม่ว่า “อับราฮัม” กษัตริย์หลายพระองค์จะเกิดจากท่าน เราจะรักษาพันธสัญญาของเราไว้กับท่านและกับลูกหลานของท่านที่จะตามมา เราจะให้แผ่นดินที่ท่านอาศัยอยู่อย่างคนแปลกหน้าถิ่นนี้ คือแผ่นดินคานาอันทั้งหมดแก่ท่าน และแก่ลูกหลานที่จะตามมาภายหลังท่านเป็นกรรมสิทธิ์ตลอดไป และเราจะเป็นพระเจ้าของเขาทั้งหลาย” ส่วนนางซารายพระเจ้าทรงเรียกชื่อใหม่ว่า“ซาราห์” พระเจ้าทรงอวยพรนางและจะให้นางมีบุตรแก่อับราฮัม นางจะเป็นมารดาของชนชาติทั้งหลาย กษัตริย์หลายชาติจะมาจากนาง” พระเจ้าตรัสว่า “พงศ์พันธุ์ของเจ้าจะมากเช่นนั้น” อับราฮัมเชื่อพระเจ้า ความเชื่อนั้นพระเจ้าทรงนับว่าเป็นความชอบธรรมแก่ท่าน
พระเจ้าโปรดนางซาราห์ดังที่ตรัสไว้ ทรงกระทำตามที่ได้ทรงสัญญาไว้ นางซาราห์ตั้งครรภ์และให้กำเนิดบุตรชายแก่อับราฮัมเมื่อเขาชราแล้ว ตามเวลาที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้ อับราฮัมตั้งชื่อบุตรที่นางซาราห์คลอดนั้นว่า “อิสอัค” ต่อมา พระเจ้าทรงลองใจอับราฮัม ตรัสเรียกเขาว่า “อับราฮัมเอ๋ย” อับราฮัมทูลตอบว่า “ข้าพเจ้าอยู่นี่” พระเจ้าตรัสว่า “จงพาอิสอัค บุตรคนเดียวที่ท่านรักไปยังดินแดนโมริยาห์ แล้วถวายเขาเป็นเครื่องเผาบูชาบนภูเขาที่เราจะบอกให้ท่านรู้”
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น อับราฮัมใส่อานบนหลังลา พาผู้รับใช้สองคนและอิสอัคบุตรชายไปด้วย เขาผ่าฟืนสำหรับใช้เผาบูชา แล้วออกเดินทางไปยังสถานที่ที่พระเจ้าทรงบอกให้รู้ ในวันที่สาม อับราฮัมเงยหน้าแลเห็นที่นั้นแต่ไกล อับราฮัมจึงพูดกับผู้รับใช้ว่า “จงอยู่ที่นี่เฝ้าลาไว้ด้วย ส่วนเรากับลูกจะไปนมัสการพระเจ้าที่โน่นแล้วจะกลับมา” อับราฮัมให้อิสอัคแบกฟืนสำหรับใช้เผาบูชา ส่วนตนถือไฟและมีด แล้วทั้งสองคนเดินทางไปด้วยกัน อิสอัคพูดกับอับราฮัมบิดาของตนว่า “พ่อครับ” อับราฮัมถามว่า “อะไรหรือลูก” อิสอัคพูดต่อไปว่า “ดูซิที่นี่มีไฟและฟืน แต่ลูกแกะที่จะใช้เผาบูชาอยู่ที่ไหน” อับราฮัมตอบว่า “ลูกเอ๋ย พระเจ้าจะทรงจัดหาลูกแกะสำหรับเผาบูชาให้เอง” แล้วเขาก็เดินทางต่อไป เมื่อทั้งสองคนมาถึงสถานที่ซึ่งพระเจ้าทรงบอกให้รู้แล้ว อับราฮัมก่อแท่นบูชาขึ้น จัดเรียงฟืนไว้บนนั้น แล้วมัดอิสอัคนำมาวางไว้บนกองฟืนบนแท่นบูชา อับราฮัมยื่นมือออกไป เงื้อมีดจะฆ่าบุตร แต่ทูตของพระเจ้าร้องเรียกจากสวรรค์ว่า “อับราฮัมเอ๋ย อับราฮัม” อับราฮัมตอบว่า “ข้าพเจ้าอยู่นี่” ทูตสวรรค์กล่าวว่า “อย่าลงมือฆ่าเด็กหรือทำร้ายเขาเลย บัดนี้เรารู้แล้วว่าท่านยำเกรงพระเจ้า และมิได้หวงบุตรคนเดียวของท่านไว้ไม่ถวายแก่เรา” อับราฮัมเงยหน้าขึ้น แลเห็นแกะเพศผู้ตัวหนึ่ง เขาของมันติดอยู่ในพุ่มไม้ อับราฮัมจึงไปจับมาฆ่าเผาถวายบูชาแทนบุตรชาย อับราฮัมเรียกสถานที่นั้นว่า “พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้” ทูตของพระเจ้าจากสวรรค์เรียกอับราฮัมเป็นครั้งที่สองว่า “พระเจ้าตรัส เพราะท่านได้ทำดังนี้คือ มิได้หวงบุตรชายคนเดียวของท่านไว้ เราสาบานต่อเราเองว่าเราอวยพรให้ท่านอย่างมาก จะให้ลูกหลานของท่านทวีจำนวนมากเท่ากับดวงดาวบนท้องฟ้า และเม็ดทรายตามชายทะเล ลูกหลานของท่านจะได้เมืองของศัตรูเป็นกรรมสิทธิ์ ชนทุกชาติบนแผ่นดินจะได้รับพระพรเพราะลูกหลานของท่าน ทั้งนี้ เพราะท่านเชื่อฟังคำสั่งของเรา”