บุคคลในประวัติศาสตร์ความรอด บทเรียนที่ 5
ยาโคบ : รักษาคำพูดและพูดความจริงต่อกัน
จุดประสงค์
เมื่อจบบทเรียนแล้ว ผู้เรียนสามารถ
1. เรียนรู้ชีวิตของเอซาวและยาโคบ
2. ตระหนักถึงผลของการโกหกหลอกลวง จะก่อให้เกิดความวุ่นวาย การเกลียดชัง และไม่มีสันติสุข
3. เป็นคนรักษาคำพูดและเราควรพูดความจริงต่อกัน
กิจกรรม เกม “1 โกหก 2 ความจริง”
อุปกรณ์ 1. กระดาษที่ใช้แล้วหน้าเดียว ขนาด A5
2. ดินสอหรือปากกา ตามจำนวนผู้เรียน
ดำเนินการ
1. ผู้สอนแจกกระดาษให้ผู้เรียนคนละ 1 แผ่น และให้เขียนเรื่องจริงเกี่ยวกับตนเอง 2 เรื่องเพื่อให้เพื่อน ๆได้รู้จักมากขึ้น และเขียนเรื่องที่ไม่เป็นความจริง 1 เรื่องลงในกระดาษที่แจกให้ ให้เวลาเขียน 2-3 นาที เช่นเด็กชายทรู เป็นพี่ชายคนโต มีน้องชายสองคน อาจเขียนว่า... 1 เป็นลูกคนแรก – จริง 2 ไม่มีพี่น้อง – โกหก 3 มีน้องชาย – จริง ผู้สอนย้ำให้ผู้เรียนเขียนเรื่องที่สุภาพ ไม่เขียนเรื่องที่ล่อแหลมหรือไม่เหมาะสมที่จะเปิดเผย และอย่าให้เพื่อนเห็นสิ่งที่เขียน
2. เมื่อหมดเวลา ให้ผู้เรียนคว่ำกระดาษไว้ หากผู้เรียนมีจำนวนไม่มาก ให้ทุกคนมีโอกาสบอกสิ่งที่ตนเขียนและให้เพื่อน ๆ ทาย แต่หากมีจำนวนมากหรือเวลาไม่พอ ขออาสาสมัครหรือผู้สอนอาจเรียกบางคนมาถามตามที่เห็นสมควร
3. ผู้สอนเป็นคนแรกที่เริ่มถามผู้เรียนที่ออกมาหน้าชั้นเรียนจากสิ่งที่เขียนไว้ แล้วให้ผู้เรียนคนอื่นที่นั่งฟังอยู่ผลัดกันถามและทายว่าข้อใดเป็นความจริงและข้อใดเป็นเรื่องโกหก และให้เฉลยสิ่งที่ถูกต้องด้วย
สรุป จากกิจกรรม เรื่องใดที่เกี่ยวกับเพื่อนที่เรารู้จักและรู้เรื่องราวของเขา เราก็สามารถตอบได้เลย บางเรื่องก็ไม่แน่ใจเพราะไม่รู้ความจริง ฉะนั้น การพูดความจริงจึงเป็นสิ่งที่ควรกระทำต่อกัน โดยเฉพาะกับเพื่อนหรือคนที่เราสนิท คนที่เรารัก เพราะคนพูดก็จะสบายใจ ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องคอยปกปิดหรือหาข้อแก้ตัวใด ๆ แต่เมื่อใดที่พูดโกหก พูดไม่จริง คนพูดก็กังวลว่าจะมีใครรู้เรื่องที่ทำโกหกไปหรือไม่ ร้ายแรงกว่านั้นถ้าเรื่องที่พูดโกหกพาดพิงไปถึงบุคคลอื่นซึ่งไม่เป็นความจริง และทำให้คนอื่นเสื่อมเสียหรือเสียหายได้
คำสอน
1. หลายคนคงจะพอรู้จักกับ April Fool’s Day หรือวันโกหกคือวันที่ 1 เมษายน ซึ่งมักจะนิยมใช้วันนี้ในการแกล้งโกหกกันอย่างสนุกสนานโดยไม่มีการถือโทษโกรธกัน แต่บางคนก็อาจจะสงสัยว่าในเมื่อมีวันพูดโกหกแล้ว จะมีวันพูดความจริงบ้างไหม คำตอบคือ มีวันพูดความจริงหรือ Tell the Truth Day ซึ่งตรงกับวันที่ 7 กรกฎาคมของทุกปี วันนี้มีขึ้นเพื่อให้แสดงความซื่อสัตย์จริงใจต่อกัน และปฏิเสธการโกหกต่อกันเริ่มมีการพูดถึงวันนี้ขึ้นมาครั้งแรก เมื่อปี ค.ศ. 2015 (พ.ศ.2558) สำหรับวันพูดความจริงนี้ เป็นวันที่ต้องพูดความจริงหรือห้ามโกหกกันตลอดทั้งวัน และสำหรับครอบครัวไหนที่มีบุตรหลาน ก็จะมีการรณรงค์ให้สอนพวกเขาว่า การพูดโกหกเป็นเรื่องที่ไม่ดี พร้อมทั้งบอกพวกเขาให้ทราบถึงประโยชน์ของการพูดความจริง หรือหลายคนที่เคยมีความลับหรือโกหกปิดบังอะไรกับคนรัก เพื่อน หรือคนในครอบครัว ก็อาจใช้วันพิเศษนี้เป็นโอกาสดีในการสารภาพความจริงให้ทราบด้วย ลองจินตนาการกันดูว่า หากมีวันไหนที่ผู้คนพร้อมใจกันพูดความจริง ไม่โกหกใส่กัน วันนั้นโลกคงน่าอยู่ขึ้นเยอะเลย แม้จะเป็นเพียงแค่ 1 วันก็ยังดี (อ้างอิงจาก: พิพิธภัณฑ์เด็กกรุงเทพมหานคร แห่งที่ 1-จตุจักร)
2. เมื่อพูดถึงการพูดความจริงหรือการโกหกหลอกลวง ทำให้นึกถึงเรื่องราวของ 2 คนนี้ในพระคัมภีร์ นั่นคือเอซาวและยาโคบ บุตรแฝดของอิสอัคและเรเบคาห์ คนแรกออกมามีผิวแดง มีขนปกคลุมทั่วตัว ชื่อว่าเอซาวหลังจากนั้น น้องชายของเขาก็ออกมา มือของเขาจับส้นเท้าของเอซาวไว้แน่น จึงได้ชื่อว่ายาโคบ เอซาวเป็นนายพรานที่ชำนาญ ใช้ชีวิตอยู่ในท้องทุ่ง ส่วนยาโคบเป็นคนสงบเสงี่ยมชอบอยู่ในกระโจม อิสอัครักเอซาวมากกว่ายาโคบเพราะชอบกินเนื้อสัตว์ที่เอซาวล่ามาให้ แต่เรเบคาห์รักยาโคบมากกว่า ตามธรรมเนียมชาวยิว บุตรชายหัวปีทุกคนเป็นคนของพระเจ้า และได้รับมรดกของบิดาเป็นสองเท่าของพี่น้องซึ่งเอซาวได้รับสิทธินั้น แต่วันหนึ่งเมื่อเอซาวกลับจากท้องทุ่งด้วยความหิวจัดจึงพูดกับยาโคบที่กำลังปรุงอาหารว่า “ขอแกงสีแดงนั้นกินบ้างซิ ฉันหิวจะตายอยู่แล้ว” ยาโคบตอบว่า“จงขายสิทธิการเป็นบุตรคนแรกให้ฉันก่อนซิ” เอซาวตอบว่า“เอาไปเลย ฉันหิวจะตายอยู่แล้ว สิทธินั้นจะมีประโยชน์อะไร”ยาโคบพูดว่า “จงสาบานมาก่อนซิ” เอซาวจึงสาบาน แล้วขายสิทธิการเป็นบุตรคนแรกของตนแก่ยาโคบ ยาโคบจึงให้ขนมปังและแกงถั่วแก่เอซาว เอซาวกินและดื่มแล้วก็ลุกออกไป ไม่สนใจสิทธิการเป็นบุตรคนแรกของตนเลย (ดู ปฐก. 25:24-34)
3. เมื่ออิสอัคชรามากตามองไม่เห็น เขาเรียกเอซาวเข้ามา แล้วบอกให้เอซาวไปล่าสัตว์ เพื่อมาทำอาหารให้กินแล้วเขาจะอวยพรเอซาว ขณะนั้นเรเบคาห์ได้ยินสิ่งที่อิสอัคคุยกับเอซาว จึงมาหายาโคบและบอกให้ยาโคบทำตามคำสั่งของนาง คือให้เลือกลูกแพะอ้วนพีมาทำอาหารอร่อยอย่างที่อิสอัคชอบ เพื่อนำไปให้บิดาและจะได้รับการอวยพร ยาโคบจึงไปจับลูกแพะมาให้มารดาทำอาหารอย่างที่อิสอัคชอบ นำเสื้อตัวดีที่สุดของเอซาวมาให้ยาโคบสวม เอาหนังแพะมาคลุมแขนและคอส่วนที่เกลี้ยงของเขา แล้วจึงส่งอาหารอร่อยกับขนมปังให้ยาโคบนำไปให้อิสอัคผู้เป็นบิดา ยาโคบบอกว่าเขาคือเอซาว ทำอาหารตามที่พ่อสั่ง เพื่อพ่อจะอวยพรเขา อิสอัคได้ยินเสียงเป็นยาโคบ แต่เมื่อคลำที่แขนมีขนดกเหมือนแขนเอซาว เพราะเสื้อคลุมและหนังแพะที่เรเบคาห์นำมาสวมใส่ให้ อิสอัคจึงกินอาหารที่ยาโคบนำมาให้ ดื่มเหล้าองุ่นที่ยาโคบรินให้ แล้วอิสอัคพูดกับยาโคบว่า “ลูกเอ๋ย จงเข้ามาใกล้และจูบพ่อเถิด” พออิสอัคได้กลิ่นเสื้อผ้าของเอซาวที่ยาโคบสวมใส่ก็อวยพรยาโคบเพราะคิดว่าเป็นเอซาวเมื่อเอซาวกลับมาและรู้ว่าบิดาได้ให้คำอวยพรแก่ยาโคบไปแล้ว และไม่สามารถให้ใครได้อีก เขารู้สึกโกรธแค้นยาโคบมาก จึงต้องการที่จะฆ่าเขา เรเบคาห์รู้ถึงแผนการนี้ จึงส่งยาโคบไปอยู่กับลาบันซึ่งเป็นลุงยาโคบหลอกลวงพ่อและพี่ชายของเขา ทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ผลจากการกระทำนี้ ทำให้เขาต้องหนีเร่ร่อนออกจากบ้าน จากครอบครัว (ดู ปฐก. 27-29)
4. เมื่อถึงเวลาที่ยาโคบต้องเดินทางกลับไปยังแผ่นดินคานาอันตามที่พระเจ้าบอก พร้อมกับภรรยา ลูกและคนรับใช้พร้อมทรัพย์สินเงินทอง และต้องผ่านแผ่นดินที่เอซาวอาศัยอยู่ เขากลัวและเป็นทุกข์ จึงได้อธิษฐานขอพระเจ้าช่วยเขาให้รอดพ้นจากการทำร้ายของเอซาวคืนหนึ่งขณะที่เขากำลังนอนหลับข้าง ๆ แม่น้ำยับบอกพระเจ้ามาหาเขาในรูปแบบมนุษย์คนหนึ่ง และได้ต่อสู้กันจนถึงรุ่งอรุณเพราะไม่ต้องการให้พระองค์ไปจากเขาเพราะหลายปีแล้วที่เขาเกิดวิกฤติทางจิตใจอย่างมากจากการฉ้อฉลของเขา และตระหนักว่าชีวิตช่างวุ่นวายสับสน เขาสูญเสียสันติสุขกับตนเอง กับเพื่อนบ้านและกับพระเจ้า พระเจ้าทรงให้ชื่อใหม่แก่เขาว่า “อิสราเอล” พระเจ้าทรงอวยพรยาโคบที่นั่น ยาโคบเรียกสถานที่ที่พระเจ้าตรัสกับเขาว่า “เปนูเอล” เมื่อยาโคบและเอซาวพบกัน พวกเขาสวมกอดกัน ร้องไห้ด้วยกัน ยาโคบมอบของกำนัลส่วนหนึ่งให้แก่เอซาวก่อนจะแยกทางกัน(ดู ปฐก. 32-33)
5. คำพูดไม่ว่าจะเป็นคำสัญญาหรือคำสาบานมีทั้งดีและไม่ดีก่อให้เกิด ภาระความรับผิดชอบตามมา “ในวันพิพากษามนุษย์จะต้องรายงานถึงคำพูดไร้สาระทุกคำที่เขาเคยพูด” (มธ. 12:36) และเพราะการให้ความสำคัญกับฝ่ายกายมากเกินไป ไม่ควบคุมบังคับตน ทำให้เอซาวไม่สนใจและไม่เห็นความสำคัญของสิทธิการเป็นบุตรหัวปี เขาแลกสิทธินั้นกับยาโคบด้วยคำสาบานของเขาเอง ตามมาด้วยเหตุการณ์ที่อิสอัคให้พรกับยาโคบ เพราะเข้าใจว่าคือเอซาวบุตรคนโตคำอวยพรของบิดาถือเป็นคำศักดิ์สิทธิ์ เมื่อพูดแล้วไม่อาจคืนคำได้และเป็นการให้พรทั้งหมดที่มีแก่บุตรของตน ซึ่งเอซาวก็คงลืมว่าเขาเป็นคนที่มอบสิทธิ์นั้นแก่ยาโคบก่อนหน้านี้แล้วและการหลอกลวงของยาโคบก็ไม่ถูกต้อง เพราะนำมาซึ่งความเกลียดชังเคียดแค้นในใจของเอซาวผู้เป็นพี่ แต่ที่สำคัญในมุมของความเชื่อและแผนการของพระเจ้า ยาโคบบุตรคนเล็กกลับเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกมากกว่าเอซาวบุตรคนโตที่มีสิทธิ์ได้รับพรหากเราเคยให้คำสัญญาอะไรกับใครไว้ ขอให้เรารักษาคำพูด ไม่ผิดคำพูด ทำตามที่พูดและควรพูดความจริงต่อกัน จะได้ไม่ผิดใจกันหรือมีความบาดหมางตามมา และถ้าหากเราเคยหลอกลวงใคร พูดไม่จริง หรือพูดให้ร้ายใคร ให้เราได้หาโอกาสไปขอโทษต่อผู้ที่เราได้ทำผิดต่อเขา เหมือนเอซาวกับยาโคบ ที่เมื่อเวลาล่วงเลยผ่านไปนำมาซึ่งการเข้าใจและคืนดีกันในที่สุด
ปฏิบัติ
ก. ข้อควรจำ
1. วันพูดความจริง Tell the Truth Day ตรงกับวันที่ 7 กรกฎาคม มีขึ้นเพื่อให้ได้แสดงความซื่อสัตย์จริงใจต่อกัน รวมทั้งปฏิเสธการโกหกต่อกัน
2. บุตรแฝดของอิสอัคและเรเบคาห์ คนแรกที่ออกมามีผิวแดง มีขนปกคลุมอยู่ทั้งตัว ชื่อว่าเอซาว น้องชายของเขาก็ตามออกมา มือของเขาจับส้นเท้าของเอซาวไว้แน่น ชื่อว่ายาโคบ
3. เอซาวเป็นนายพรานที่ชำนาญ ใช้ชีวิตอยู่ในท้องทุ่ง ส่วนยาโคบเป็นคนสงบเสงี่ยมชอบอยู่ในกระโจม4. เอซาวสาบานขายสิทธิการเป็นบุตรคนแรกของตนแก่ยาโคบ แลกกับขนมปังและแกงถั่ว
5. ยาโคบสวมเสื้อขนสัตว์และนำอาหารที่ทำไปให้อิสอัค อิสอัคได้กลิ่นเสื้อผ้าของเอซาวที่ยาโคบสวมใส่ ก็คิดว่าเป็นยาโคบ จึงอวยพรเขา
6. พระเจ้าทรงสำแดงพระองค์แก่ยาโคบ ทรงเรียกชื่อใหม่ของเขาว่า ‘อิสราเอล’
7. หากเราเคยให้คำสัญญาอะไรกับใครไว้ ขอให้เรารักษาคำพูด ไม่ผิดคำพูด ทำตามที่พูดและควรพูดความจริงต่อกัน
8. ให้เราได้หาโอกาสไปขอโทษต่อผู้ที่เราได้ทำผิดต่อเขา เหมือนเอซาวกับยาโคบ ที่เมื่อเวลาล่วงเลยผ่านไปนำมาซึ่งการเข้าใจและคืนดีกันในที่สุด
ข. กิจกรรม
เด็กเล็ก ใบงานเรื่องเอซาวและยาโคบ :::: Download ::::
เด็กโต พระวาจาเตือนใจ
อุปกรณ์ 1. พระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ ตามจำนวนผู้เรียน
2. รางวัลสำหรับผู้ชนะ
ดำเนินการ
1. ผู้สอนแบ่งผู้เรียนออกเป็นกลุ่ม กลุ่มละ 3-4 คน เท่า ๆ กัน
2. ผู้สอนบอกโค้ดพระคัมภีร์ที่เตรียมไว้ในเรื่องของคำพูด และให้ผู้เรียนแต่ละกลุ่มเปิดพระคัมภีร์ เพื่อหาข้อความให้ตรงกับโค้ดพระคัมภีร์ที่บอกไป
3. กลุ่มไหนเจอก่อนและสมาชิกทุกคนเปิดพระคัมภีร์ตอนนั้นเหมือนกันทุกคนแล้ว ให้ยกมือขึ้น
4. ให้กลุ่มที่ยกมือก่อนอ่านข้อความที่พบนั้นพร้อมกันทั้งกลุ่ม จากนั้นให้ทุกคนอ่านพร้อม ๆ กัน
5. ผู้สอนทำตามขั้นตอน ข้อ 2-4 ไปจนหมดโค้ดพระคัมภีร์ที่เตรียมมา
6. ผู้สอนสรุปว่า ข้อความที่ผู้เรียนได้ค้นหาและอ่านนี้ เป็นพระวาจาพระเจ้าที่สอน บอกและเตือนเราในเรื่องการใช้คำพูด ให้เราจะได้จดจำเพื่อเตือนใจและนำไปใช้ในการดำเนินชีวิต
7. ให้ผู้เรียนเลือก 1 ข้อความที่ชื่นชอบนำมาเขียนลงสมุดปฏิบัติการหรือท่องจำให้ได้
โค้ดและข้อความพระคัมภีร์สำหรับทำกิจกรรม
มธ. 5:37 ท่านจงพูดเพียงว่า “ใช่” หรือ “ไม่ใช่” คำพูดที่มากไปกว่านั้นมาจากมารร้าย
มธ. 12:36 เราบอกท่านทั้งหลายว่า ในวันพิพากษา มนุษย์จะต้องรายงานถึงคำพูดไร้สาระทุกคำที่เขา เคยพูด
มธ. 12:37 เพราะท่านจะพ้นโทษหรือถูกลงโทษก็จากคำพูดของท่าน
มธ. 18:16 ถ้าเขาไม่เชื่อฟัง จงพาอีกคนหนึ่งหรือสองคนไปด้วย คำพูดของพยานสองคนหรือสามคน จะได้จัดเรื่องราวให้เรียบร้อย
คส. 4:6 จงให้คำพูดของท่านอ่อนโยนและถูกกาลเทศะอยู่เสมอ จงรู้จักตอบทุกคนอย่างดีที่สุด
1 ทธ. 4:12 อย่าให้ใครดูหมิ่นท่านเพราะความเป็นคนหนุ่ม แต่จงเป็นแบบอย่างแก่ผู้มีความเชื่อทุกคน ด้วยคำพูดและความประพฤติ ด้วยความรัก ความเชื่อและความบริสุทธิ์ของท่าน
2 ทธ. 2:16 จงหลีกเลี่ยงคำพูดเพ้อเจ้อไร้สาระ เพราะมีแต่จะทำให้ห่างพระเจ้ามากขึ้น
1 ยน. 3:18 ลูกที่รักทั้งหลาย เราอย่ารักกันแต่ปากเพียงด้วยคำพูดเท่านั้น แต่เราจงรักกันด้วยการกระทำและด้วยความจริง
ค. การบ้าน
1. อ่านใบความรู้เรื่องเอซาวและยาโคบ เพิ่มเติม
2. ให้ผู้เรียนกลับไปเล่าเรื่องเอซาวและยาโคบ ให้คนในครอบครัวฟังจากนั้นพูดคุยกันเรื่องการพูดความจริงต่อกัน มีข้อดี-ข้อเสียอย่างไร
3. ให้ผู้เรียนมีความตั้งใจที่จะรักษาคำพูด พูดความจริงต่อกัน โดยเริ่มจากคนใกล้ตัว ที่บ้าน และที่โรงเรียน
::: Download บทเรียนที่ 5 ::
ยาโคบและเอซาว
(ปฐมกาล บทที่ 25-35)
อิสอัคอายุสี่สิบปีเมื่อเขาแต่งงานกับเรเบคาห์ บุตรสาวของเบธูเอล ชาวอารัมจากปัดดานอารัม นางเป็นน้องสาวของลาบัน อิสอัคอธิษฐานภาวนาต่อพระเจ้าเพื่อภรรยาของตนเพราะนางเป็นหมัน พระเจ้าทรงฟังคำอธิษฐานภาวนาของเขา เรเบคาห์ภรรยาของเขาก็ตั้งครรภ์ แต่บุตรแฝดในครรภ์ดิ้นเบียดกัน นางจึงพูดว่า “ถ้าจะต้องเป็นดังนี้ ฉันจะมีชีวิตอยู่ต่อไปทำไม” นางจึงทูลถามพระยาห์เวห์ และพระองค์ตรัสตอบว่า “ชนสองชาติอยู่ในครรภ์ของท่าน ประชากรสองชาติที่เป็นอริกันจะออกมาจากท่านชนชาติหนึ่งจะมีอำนาจมากกว่าอีกชนชาติหนึ่ง และคนพี่จะรับใช้คนน้อง” เมื่อถึงกำหนดเวลาคลอดคนแรกที่ออกมามีผิวแดง มีขนปกคลุมอยู่ทั้งตัว จึงได้ชื่อว่าเอซาว หลังจากนั้นน้องชายของเขาก็ออกมามือของเขาจับส้นเท้าของเอซาวไว้แน่น จึงได้ชื่อว่ายาโคบ อิสอัคมีอายุหกสิบปีเมื่อบุตรทั้งสองคนเกิดมา
เด็กทั้งสองคนเติบโตขึ้น เอซาวเป็นนายพรานที่ชำนาญ ใช้ชีวิตอยู่ในท้องทุ่ง ส่วนยาโคบเป็นคนสงบเสงี่ยมชอบอยู่ในกระโจม อิสอัครักเอซาวมากกว่ายาโคบ เพราะชอบกินเนื้อสัตว์ที่เอซาวล่ามาให้ แต่เรเบคาห์รักยาโคบมากกว่าเอซาว ตามธรรมเนียมชาวยิว บุตรคนแรกจะได้สิทธิดังนี้คือ บุตรชายหัวปีทุกคนเป็นคนของพระเจ้า และจะได้รับมรดกของบิดาเป็นสองเท่าของพี่น้อง ซึ่งเอซาวได้รับสิทธินั้น วันหนึ่งขณะที่ยาโคบกำลังปรุงอาหารอยู่ เอซาวกลับเข้ามาจากท้องทุ่ง เขากำลังหิวจัด พูดกับยาโคบว่า “ขอแกงสีแดงนั้นกินบ้างซิ ฉันหิวจะตายอยู่แล้ว” ยาโคบตอบว่า “จงขายสิทธิการเป็นบุตรคนแรกให้ฉันก่อนซิ” เอซาวตอบว่า “เอาไปเลย ฉันหิวจะตายอยู่แล้ว สิทธินั้นจะมีประโยชน์อะไร” ยาโคบพูดว่า “จงสาบานมาก่อนซิ” เอซาวจึงสาบานแล้วขายสิทธิการเป็นบุตรคนแรกของตนแก่ยาโคบ ยาโคบจึงให้ขนมปังและแกงถั่วแก่เอซาว เอซาวกิน ดื่ม แล้วก็ลุกออกไปไม่สนใจสิทธิการเป็นบุตรคนแรกของตนเลย
เมื่ออิสอัคชรามากแล้วสายตาพร่ามัวมองไม่เห็น เขาเรียกเอซาวเข้ามาและบอกว่า “ดูซิ พ่อแก่แล้วไม่รู้ว่าจะตายเมื่อไร จงเอาอาวุธของลูก คือแล่งลูกศรและคันธนูออกไปในท้องทุ่ง ล่าสัตว์มาและทำอาหารอร่อย ๆ ให้พ่อกิน พ่อจะได้อวยพรลูกก่อนที่พ่อจะตาย” ขณะนั้น นางเรเบคาห์ได้ยินอิสอัคพูดกับเอซาว เมื่อเอซาวออกไปล่าสัตว์ เรเบคาห์พูดกับยาโคบว่า “แม่เพิ่งได้ยินพ่อของลูกพูดกับเอซาวพี่ชายของลูกว่า‘จงไปล่าสัตว์มาทำอาหารอร่อย ๆ ให้พ่อกิน แล้วพ่อจะอวยพรลูกเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าก่อนที่พ่อจะตาย’ ลูกเอ๋ยจงฟังแม่และทำตามที่แม่บอกเถิด จงไปที่ฝูงสัตว์ เลือกลูกแพะอ้วนพีมาสองตัว แม่จะทำอาหารอร่อย ๆ อย่างที่พ่อชอบ ลูกจะได้เอาไปให้พ่อ แล้วพ่อจะได้อวยพรลูกก่อนที่พ่อจะตาย” ยาโคบพูดกับนางเรเบคาห์ว่า “แม่ก็รู้ว่าเอซาวพี่ชายของลูกเป็นคนมีขนดก แต่ลูกมีผิวเกลี้ยง ถ้าพ่อคลำตัวลูก พ่อจะรู้ว่าลูกหลอกลวงพ่อ ลูกจะถูกสาปแช่งแทนที่จะได้รับพร” นางเรเบคาห์จึงบอกให้ยาโคบทำตามที่ตนบอก ยาโคบจึงไปจับลูกแพะนำมาให้มารดา นางเตรียมอาหารอร่อยอย่างที่อิสอัคชอบ แล้วนางเรเบคาห์ก็เอา
เสื้อตัวดีที่สุดของเอซาวบุตรคนโต เป็นเสื้อที่นางเก็บไว้ในบ้านมาให้ยาโคบบุตรคนเล็กสวม เอาหนังแพะมาคลุมแขนและคอส่วนที่เกลี้ยงของเขา แล้วจึงส่งอาหารอร่อยกับขนมปังซึ่งนางจัดไว้ให้ยาโคบบุตรชายของนางเพื่อนำไปมอบให้แก่อิสอัค ยาโคบจึงเข้าไปหาบิดาแล้วพูดว่า “ลูกคือเอซาว บุตรคนโตของพ่อ ลูกทำตามที่พ่อสั่งลูกแล้ว เชิญลุกขึ้นนั่งกินเนื้อที่ลูกล่ามาได้เถิด เพื่อพ่อจะได้อวยพรลูก” อิสอัคคลำตัวเขาพูดว่า “เสียงเป็นเสียงของยาโคบ แต่แขนเป็นแขนของเอซาว” อิสอัคจำยาโคบไม่ได้ เพราะแขนของเขา
มีขนดกเหมือนกับแขนของเอซาวพี่ชาย อิสอัคจึงอวยพรเขา พูดว่า “จงนำเนื้อที่ลูกล่าได้มาให้พ่อกิน แล้วพ่อจะอวยพรลูก” ยาโคบจึงนำอาหารมาให้ อิสอัคก็กิน ยาโคบรินเหล้าองุ่นให้ อิสอัคก็ดื่ม แล้วอิสอัคผู้บิดา
พูดกับเขาว่า “ลูกเอ๋ย จงเข้ามาใกล้และจูบพ่อเถิด” เขาจึงเข้าไปใกล้และจูบบิดา พออิสอัคได้กลิ่นเสื้อผ้าของเขาก็อวยพรเขา
เมื่อเอซาวกลับมาจากล่าสัตว์ เขาเตรียมอาหารที่ปรุงเสร็จมาให้อิสอัครับประทาน อิสอัคบอกว่าตนเองได้ให้คำอวยพรไปแล้ว ซึ่งไม่สามารถให้ใครได้อีก เอซาวอาฆาตยาโคบเพราะพรที่บิดาให้แก่ยาโคบและต้องการที่จะฆ่ายาโคบน้องชาย เมื่อนางเรบาคาห์รู้ถึงแผนการของเอซาวบุตรคนโต จึงให้คนไปเรียกยาโคบบุตรคนเล็กมา และบอกให้หนีไปอยู่กับลาบัน พี่ชายของแม่ที่เมืองฮาราน จนกว่าความโกรธของเอซาวจะคลายลง เพราะนางเรเบคาห์ไม่ต้องการสูญเสียลูกทั้งสองคนไป ยาโคบจึงออกเดินทางจนมาถึงที่แห่งหนึ่งก็หยุดพักแรมที่นั่น เพราะดวงอาทิตย์ตกแล้ว เขาเอาหินก้อนหนึ่งมาหนุนศีรษะแล้วนอนที่นั่น เขาฝันเห็นบันไดอันหนึ่งทอดจากพื้นดินขึ้นไปสู่ท้องฟ้า และทูตสวรรค์ของพระเจ้าขึ้นลงบนบันไดนั้น และเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้ายืนอยู่ข้างเขา ตรัสว่า “เราคือพระเจ้าของบรรพบุรุษของท่าน ของบิดาท่าน แผ่นดินที่นอนอยู่นี้จะถูกส่งต่อไปยังลูกหลาน บรรดาเผ่าพันธุ์ทั้งสิ้นทั่วแผ่นดินจะได้รับพรเพราะท่าน และเพราะลูกหลานของท่าน เราอยู่กับท่าน เราจะพิทักษ์รักษาท่านทุกแห่งที่ท่านไปและจะนำท่านกลับมายังแผ่นดินนี้ เราจะไม่ทอดทิ้งท่าน จนกว่าเราจะได้ทำสิ่งที่เราสัญญาไว้กับท่าน” ยาโคบลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ เอาก้อนหินที่ใช้หนุนศีรษะมาตั้งเป็นเสาศักดิ์สิทธิ์ แล้วเทน้ำมันบนยอดเสานั้นเพื่อถวายแด่พระเจ้า เขาเรียกสถานที่นั้นว่า เบธเอล
เวลาล่วงเลยผ่านไป ยาโคบเดินทางกลับไปยังแผ่นดินคานาอันพร้อมกับภรรยา ลูก และคนรับใช้ เขาร่ำรวยทรัพย์สินเงินทองและสัตว์เลี้ยง แต่เขากลัวและเป็นทุกข์เมื่อรู้ว่าต้องผ่านดินแดนที่เอซาวอาศัยอยู่เขาจึงอธิษฐานต่อพระเจ้าให้ช่วยเขา พระองค์ตรัสว่า “เราจะบันดาลให้ทุกอย่างเรียบร้อย จะทำให้ท่านมีลูกหลานจำนวนมากนับไม่ถ้วน เหมือนเม็ดทรายตามชายทะเล” เขาดินทางต่อไปจนถึงลำธารยับบอกเมื่อส่งบุตรภรรยาข้ามลำธารแล้ว เหลือแต่ยาโคบตามลำพัง บุรุษผู้หนึ่งต่อสู้กับเขาจนรุ่งสาง แต่ก็เอาชนะยาโคบไม่ได้ บุรุษผู้นั้นถามยาโคบว่า “ท่านชื่ออะไร” ยาโคบตอบว่า “ข้าพเจ้าชื่อยาโคบ” บุรุษผู้นั้นจึงว่า“ชื่อของท่านจะไม่ใช่ยาโคบอีกต่อไป แต่ชื่ออิสราเอล เพราะท่านได้ต่อสู้กับพระเจ้าและกับมนุษย์ แล้วท่านก็ชนะ” แล้วก็อวยพรยาโคบที่นั่น ยาโคบจึงเรียกชื่อสถานที่นั้นว่า “เปนูเอล” พูดว่า “ข้าพเจ้าได้เห็นพระเจ้า อย่างเต็มตาแล้วยังมีชีวิตอยู่ได้ยาโคบมีบุตรชายสิบสองคน บุตรของนางเลอาห์คือรูเบน เป็นบุตรชายคนโตของยาโคบ สิเมโอนเลวี ยูดาห์ อิสสาคาร์และเศบูลุน บุตรของนางราเคลคือโยเซฟและเบนยามิน บุตรของบิลฮาห์ทาสหญิงของนางราเคลคือดานและนัฟทาลี บุตรของศิลปาห์ทาสหญิงของนางเลอาห์คือกาดและอาเชอร์ทั้งหมดนี้เป็นบุตรชายของยาโคบที่เกิดในปัดดานอารัม