คุณค่าพระวรสารฯ บทเรียนที่ 20
รักษ์สิ่งสร้างเป็นหน้าที่ของทุกคน
จุดประสงค์
เมื่อจบบทเรียนแล้ว ผู้เรียนสามารถ
1. มองเห็นความงามของสิ่งสร้างและทราบว่าโลกคือบ้านของเรา
2. มีจิตสำนึกในการเป็นผู้ปกป้องดูแลรักษาสิ่งสร้าง ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
3. ร่วมมือกับพระศาสนจักรในการเป็นผู้ดูแลรักษาสิ่งสร้างของพระเจ้า
กิจกรรม สถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่ฉันประทับใจ
วิธีการ
1. ให้ผู้เรียนเข้ากลุ่ม 2-3 คน พูดคุยกัน ถึงสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติ ที่เคยไปแล้วรู้สึกประทับใจ โดยเล่าให้เพื่อนฟังว่า สถานที่ที่ประทับใจ ชื่ออะไร อยู่ที่ไหน ประทับใจอะไร ทำไมถึงประทับใจ
2. ขออาสาสมัครผู้เรียนสัก 2-3 คน ออกมาแบ่งปันประสบการณ์และความประทับใจในสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่ตนเคยไปให้เพื่อน ๆ ฟัง
วิเคราะห์ ผู้สอนสนทนากับผู้เรียน
1. ธรรมชาติที่เราเห็นนั้นใครเป็นผู้สร้างมา(พระเจ้า)
2. ธรรมชาติที่งดงามนั้น ใครต้องเป็นคนดูแลรักษา (เราทุกคน)
3. ผู้เรียนจะช่วยดูแลรักษาธรรมชาติที่งดงามได้อย่างไร
สรุป ธรรมชาติที่เราเห็น สวยงามได้ เพราะเป็นสิ่งสร้างที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้นเพื่อเรา ซึ่งเราไม่สามารถสร้างขึ้นเองด้วยมือของเราได้ และหน้าที่ของเราคือต้องช่วยกันดูแลรักษาไว้
คำสอน
1. ปัจจุบันเราจะเห็นว่ามีปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น เช่น ภาวะโลกร้อน ซึ่งส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมทั้งหมด ทำให้ฤดูกาลเปลี่ยนแปลงไปในฤดูร้อน หลายพื้นที่แห้งแล้ง ไม่มีน้ำดื่ม ไม่มีน้ำใช้พืชผลเกิดความเสียหาย เมื่ออากาศร้อน แห้งแล้งมากก็ทำให้ไฟไหม้ป่าและควันพิษ เกิดฝุ่นละอองหรือ PM 2.5 ส่งผลต่อสุขภาพและการใช้ชีวิตประจำวัน และไม่ได้ส่งผลร้ายเฉพาะมนุษย์เท่านั้น แต่ทั้งพืช สัตว์และทรัพยากรอื่น ๆ ก็ได้รับผลกระทบด้วย นี่คือเสียงร้องอย่างเจ็บปวดของ “ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม” เพราะความเสียหายที่ได้รับนั้น มากจนกระทั่งไม่สามารถรักษาหรือฟื้นฟูตนเองได้ทันกับการเปลี่ยนแปลง และความเสื่อมถอยอย่างรวดเร็ว ซึ่งสาเหตุของโลกร้อนนี้มาจากภาวะมลพิษที่สะสมอยู่ในอากาศ ทั้งควันจากท่อไอเสีย ควันจากโรงงานอุตสาหกรรม ก๊าซพิษจากขยะต่าง ๆ ทั้งที่ย่อยสลายได้และย่อยสลายไม่ได้ สารเคมีในการเกษตรและการทำอุตสาหกรรม ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในทุกวันและทุกที่ทั่วโลก ทำให้เราไม่สามารถสัมผัสถึงความงดงามของสิ่งสร้างของพระเจ้า มีกลุ่มคนจำนวนไม่น้อยที่เห็นถึงปัญหานี้ และออกมารณรงค์ให้ทุกคนได้ตระหนักรู้และร่วมมือกันดูแลรักษาโลกใบนี้ให้สวยงามและน่าอยู่ต่อไป
2. พระสันตะปาปาฟรังซิส ได้เชิญชวนให้ทุกคนได้มองดูสิ่งที่เกิดขึ้นในโลก ซึ่งเป็นบ้านที่เราอาศัยอยู่ร่วมกันโดยทรงเรียกร้องให้เรามองดูปัญหาสภาพภูมิอากาศในปัจจุบัน ไม่ได้ส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังส่งผลทั้งในด้านจริยธรรม สังคม เศรษฐกิจ การเมือง และเหนือกว่าทุกอย่างคือส่งผลต่อชีวิตของผู้คนที่ยากลำบากที่สุดและอ่อนแอที่สุด พระองค์ตรัสว่า สันตะสำนักตั้งใจว่าจะส่งเสริมให้โรงเรียนคาทอลิกและที่อื่น ๆ ได้มี“การศึกษาเพื่อนิเวศวิทยาแบบบูรณาการ” เพื่อสนับสนุนให้มีการเรียนรู้เรื่องการพัฒนา และความยั่งยืน นอกจากนี้ ยังส่งเสริมนโยบายทางเศรษฐกิจต่าง ๆที่คำนึงและเคารพถึงสิ่งแวดล้อม ทรงกล่าวถึงความล่าช้าในการแก้ไขปัญหาสภาวะโลกร้อนตามข้อตกลงปารีส และเรียกร้องให้มีความมุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหาอย่างจริงจังเพื่อคนรุ่นถัดไปในอนาคต
"...เราควรถามตัวเราอย่างจริงจังว่ามีความมุ่งมั่นแก้ปัญหาโลกร้อนหรือไม่
...เรากำลังเผชิญความท้าทายของอารยธรรม
...วันนี้เยาวชนแสดงความอ่อนไหวต่อเหตุุฉุกเฉินนี้
...เราต้องไม่โยนภาระและปัญหาที่ก่อโดยคนรุ่นเราให้คนรุ่นถัดไป
...ต้องลงมือทำให้พวกเขาจดจำว่า เราเป็นรุ่นที่ลงมือสร้างความเปลี่ยนแปลงเพื่อปกป้องบ้านหลังนี้ร่วมกันมอบอนาคตที่ดีให้กับคนรุ่นถัดไป"
(การประชุมภาคีแห่งสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศครั้งที่ 25 ที่กรุงมาดริดของสเปนเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2019)
3. ในหนังสือปฐมกาลเรื่องราวการเนรมิตสร้างโลก พระเจ้าทรงสร้างสิ่งต่าง ๆ ขึ้นในแต่ละวัน และสิ่งสร้างที่สำคัญที่สุดก็คือมนุษย์ เมื่อพระเจ้าทรงสร้างทุกอย่าง
เสร็จสมบูรณ์ พระองค์ตรัสว่าดีและทรงอวยพรเขาทั้งสองว่า “จงมีลูกมากและทวีจำนวนขึ้นจนเต็มแผ่นดินจงปกครองแผ่นดิน จงเป็นนายเหนือปลาในทะเล นกในอากาศ และสัตว์ทุกชนิดที่เคลื่อนไหวอยู่บนแผ่นดิน”(ปฐมกาล 1:28) พระยาเวห์พระเจ้าทรงนำมนุษย์มาไว้ในสวนเอเดนเพื่อเพาะปลูกและดูแลสวน (ปฐมกาล 2:15) เป็นการมอบหน้าที่สำคัญให้กับมนุษย์ ในการเป็นผู้ปกครองดูแลรักษาสิ่งสร้างต่าง ๆ ของพระองค์แต่ปัจจุบันมนุษย์กลับเป็นผู้ทำลาย เป็นผู้กระทำให้เกิดภาวะโลกร้อนและฝุ่นควัน หลงลืมหน้าที่ในการเป็นผู้ดูแลรักษาสิ่งสร้างของพระเจ้า ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้กลับกลายเป็นอันตรายต่อโลก ส่งผลให้คุณภาพชีวิตของมนุษย์เสื่อมถอยโดยไม่รู้ตัว (เทียบ พระสมณสาส์น “ขอสรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้า” ข้อ 18)
4. คำสอนของพระศาสนจักร ข้อ 340 ยังสอนเราอีกว่า “พระองค์ทรงรักทุกสิ่งที่มีชีวิต พระองค์ทรงพระกรุณาต่อทุกสิ่ง เพราะทุกสิ่งเป็นของพระองค์” (ปรีชาญาณ11:26) ทุกสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นมามีเอกลักษณ์และความดีงามเฉพาะตัว ทรงสร้างทุกสิ่งขึ้นด้วยความแตกต่าง ความหลากหลายของคุณสมบัติและจำนวนเพื่อทำให้เห็นว่าสิ่งสร้างทั้งหลายนั้น ไม่สามารถอยู่ได้ด้วยตนเอง ต้องพึ่งพาอาศัยกัน นำสิ่งที่ตนมีมาเติมเต็มกันและกันให้สมบูรณ์ (เทียบ คำสอนพระศาสนจักร340) ดังนั้น เมื่อเกิดปัญหาขึ้นกับสิ่งสร้างของพระเจ้าจึงเป็นหน้าที่ของทุกคน ที่จะต้องช่วยกันดูแลรักษาสิ่งสร้างเหล่านั้น
5. พระเยซูเจ้าทรงสอนให้เราค้นหาความรักของพระเจ้าผ่านทางความสวยงามของธรรมชาติ “จงสังเกตดูนกกาเถิด นกกามิได้หว่าน มิได้เก็บเกี่ยว ไม่มีโรงนา ไม่มียุ้งฉาง แต่พระเจ้าทรงเลี้ยงมัน ท่านทั้งหลายมีค่ามากกว่านกสักเพียงใด” (ลูกา 12:24) เราไม่ได้เห็นเพียงนกกาเท่านั้น แต่เราเห็นถึงพระเมตตาของพระเจ้าที่ทรงมีต่อนกกาเหล่านั้น พระองค์ยังตรัสอีกว่า “จงสังเกตดูดอกไม้ในทุ่งนาเถิด ดอกไม้ไม่ปั่นด้ายหรือทอผ้า แต่เราบอกท่านทั้งหลายว่า กษัตริย์ซาโลมอนเมื่อทรงเครื่องอย่างหรูหราก็ยังไม่งดงามเท่าดอกไม้นี้ดอกหนึ่ง (ลูกา12:27) เราเห็นถึงความยิ่งใหญ่ของพระผู้สร้าง ผ่านทางดอกไม้ในทุ่งนา ผ่านทางธรรมชาติที่งดงาม เรามองเห็นถึงความเอาใจใส่ของพระเจ้าที่ทรงมีต่อเราทุกคน “พระองค์โปรดให้ดวงอาทิตย์ของพระองค์ ขึ้นเหนือคนดีและคนชั่ว โปรดให้ฝนตกเหนือคนชอบธรรมและคนอธรรม” (มัทธิว 5:45)
6. เราสามารถมีส่วนในการดูแลรักษาโลกที่เราอาศัยอยู่ร่วมกันนี้ ด้วยการช่วยกันบำรุง ดูแลรักษา เอาใจใส่ธรรมชาติ ช่วยกันรักษาป่า ปลูกต้นไม้ ไม่สร้างมลภาวะลดขยะ ลดการใช้พลาสติก ทิ้งขยะให้ถูกที่ เพื่อโลก เพื่อเรา และสิ่งสร้างทั้งมวลของพระเจ้าจะได้รับการดูแลเอาใจใส่ ช่วยกันสร้างโลกซึ่งเป็นบ้านของเราให้น่าอยู่ เพราะถ้าวันใดที่ธรรมชาติที่งดงามถูกทำลายจนหมดไป เราจะอยู่ได้อย่างไร ดังนั้น หน้าที่ในการดูแลรักษาโลกใบนี้จึงไม่ใช่หน้าที่ของคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นหน้าที่ของมนุษย์ทุกคน
ปฏิบัติ
ก. ข้อควรจำ
1. พระสันตะปาปาฟรังซิส เชิญชวนให้ทุกคนได้มองดูสิ่งที่เกิดขึ้นในโลก ซึ่งเป็นบ้านที่เราอาศัยอยู่ร่วมกัน
2. พระสันตะปาปาฟรังซิส ให้เรามองดูปัญหาสภาพภูมิอากาศในปัจจุบัน ไม่ได้ส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ส่งผลทั้งในด้านจริยธรรม สังคม เศรษฐกิจ การเมือง และเหนือกว่าทุกอย่างคือมันส่งผลต่อชีวิตของผู้คนที่ยากลำบากที่สุด และอ่อนแอที่สุด
3. หน้าที่สำคัญที่พระเจ้าทรงมอบให้กับมนุษย์ คือการเป็นผู้ปกครองดูแลรักษาสิ่งสร้างต่าง ๆ
4. คำสอนของพระศาสนจักร ข้อ 340 สอนเราอีกว่า “พระองค์ทรงรักทุกสิ่งที่มีชีวิต พระองค์ทรงพระกรุณาต่อทุกสิ่ง เพราะทุกสิ่งเป็นของพระองค์” (ปรีชาญาณ 11:26)
5. พระเยซูเจ้าสอนให้เราค้นหาความรักของพระเจ้า ผ่านทางความสวยงามของธรรมชาติ
6. เรามีส่วนในการดูแลรักษาเอาใจใส่โลกใบนี้ ด้วยการช่วยกันรักษาป่า ปลูกต้นไม้ ไม่สร้างมลภาวะ ลดขยะลดการใช้พลาสติก ทิ้งขยะให้ถูกที่ เพื่อโลก เพื่อเรา และสิ่งสร้างทั้งมวลของพระเจ้าจะได้รับการดูแลเอาใจใส่ให้น่าอยู่มากขึ้น
ข. กิจกรรมสรุปบทเรียน
ร้องเพลง โลกสวยด้วยมือเรา www.youtube.com หรือแอปพลิเคชัน JooX
เพลง โลกสวยด้วยมือเรา (รวมศิลปินแกรมมี่)
ธรรมชาติสร้างคน มีมือมาสองมือ ให้มากับคนเราทุก ๆ คน
เอาไว้คอยประคองป้องกัน ไว้ดูแลให้โลกยังคง มีเราทุกคน ได้อยู่อาศัยร่วมกันมา
อยู่กันแสนล้านคน ลงมือคนละมือ ช่วยกันถ้าเรายังเห็นคุณค่า
ในเมื่อเราเป็นคนทั้งที ช่วยกันทำให้ดีดีกว่า รวมใจเข้ามา มาคอยรักษาโลกเราไว้
* ให้โลกเราสวยพวกเรามาช่วยกัน รับรู้ด้วยกัน แล้วทำให้โลกนี้สดใส
อยากให้โลกน่าอยู่กว่านี้ เป็นโลกที่เราฝันใฝ่ จะสวยอย่างไรเป็นไปได้ด้วยมือของเรา
อีกไม่ช้าไม่นาน เราเองคงต้องไป แต่มันก็ยังมีโลกใบเก่า
ยังต้องมีอีกหมื่นล้านคน เข้ามาอยู่ที่นี่แทนเรา คือเด็กของเรา เด็ก ๆ ที่เขาไม่เดียงสา (ซ้ำ *)
** อยู่ที่มือของเราที่จะทำโลกให้เลวร้ายอย่างไร อยู่ที่มือของเราที่จะทำ โลกให้สดใส
อยากให้โลกน่าอยู่กว่านี้ เป็นโลกที่เราฝันใฝ่ จะสวยอย่างไรเป็นไปได้ด้วยมือของเรา
หรือ ประชุมกลุ่มเพื่อนัดหมายออกไปทำกิจกรรมดูแลรักษาธรรมชาติร่วมกัน เช่น ปลูกต้นไม้ เก็บขยะในแม่น้ำลำคลอง เก็บขยะที่ชายทะเล โดยเริ่มต้นจากในโรงเรียน บ้าน หรือชุมชนของเรา
ค. การบ้าน
1. ให้ผู้เรียนกลับไปสวดภาวนาเพื่อมนุษย์ทุกคนจะได้ใส่ใจในการดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติให้มากขึ้น รวมถึงสวดภาวนาให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการไม่รักษาทรัพยากรธรรมชาติด้วย
2. ให้ผู้เรียนแต่ละคนเขียนข้อตั้งใจที่จะช่วยดูแลรักษาโลกที่ตนปฏิบัติจริงคนละ 1 ข้อ และกลับมาแบ่งปันให้ทุกคนฟังในการเรียนครั้งต่อไปว่าได้ไปทำสิ่งใดและรู้สึกอย่างไรบ้าง
::: Download บทเรียนที่ 20 ::