ศูนย์คริสตศาสนธรรมสังฆมณฑลราชบุรี
CATECHETICAL CENTER OF RATCHABURI DIOCCESE

บทที่  14 อย่าฆ่าคน

จุดมุ่งหมาย     เพื่อเน้นให้เห็นว่าชีวิตเป็นสิ่งประเสริฐ  เป็นของประทานจากพระบิดา  ควรแก่การเคารพ  บำรุงรักษา  ละเว้นกระกระทำใดๆที่เป็นอันตรายหรือทำให้สูนเสียชีวิตนั้น

ขั้นที่ 1  กิจกรรม

ครูนำนักเรียนไปสัมผัสสิ่งที่มีชีวิตและสิ่งที่ไม่มีชีวิต  (คือตายแล้ว) 

ได้แก่

  • ต้นไม้ที่ยังมีชีวิตอยู่ และ    ต้นไม้ที่ตายแล้ว
  • สัตว์ที่ยังมีชีวิตอยู่ และ     สัตว์ที่ตายแล้ว
  • คนที่ยังมีชีวิตอยู่ และ      คนที่ตายแล้ว

พิจารณาดูคุณสมบัติของสิ่งมีชีวิตว่ามีอะไรบ้าง

พิจารณาดูคุณสมบัติของสิ่งที่ไม่มีชีวิต  (คือตายแล้ว)  ว่ามีอะไรบ้าง

ขั้นที่ 2  วิเคราะห์

ให้นักเรียนเปรียบเทียบคุณสมบัติของทั้งสองดูว่า

  • อะไรดี อะไรไม่ดี
  • อะไรดีกว่า

สรุป     การมีชีวิตย่อมเป็นสิ่งประเสริฐกว่าไม่มีชีวิต  สิ่งที่ไม่มีชีวิตทั้งหลายจึงรักและหวงแหนชีวิตของตน  พยายามปกป้องและรักษาไว้จนสุดกำลัง

ขั้นที่ 3  คำสอน

  1. ชีวิตเป็นสิ่งประเสริฐเพราะเป็นของประทานจากพระเป็นเจ้า  พระคัมภีร์ภาคพันธะสัญญาเก่ากล่าวไว้ตั้งแต่ในบทแรกว่า  “....แผ่นดินจงเกิดพืชพันธุ์  คือผักหญ้าที่มีเมล็ดและต้นไม้ที่ออกผล  มีเมล็ดผลตามชนิดของมันบนแผ่นดิน”  (ปฐก. 1,11)  “....พระเจ้าทรงสร้างสัตว์ทะเลขนาดใหญ่และสัตว์ทะเลนานาชนิดแหวกว่ายอยู่ในน้ำเป็นฝูงๆมชนิดของมัน”  (ปฐก. 1,21)  “....พระเจ้าทรงสร้างสัตว์ป่าตามชนิดของมัน  สัตว์ใช้งานตามชนิดของมัน  และสัตว์ต่างๆ  ที่เลื่อยคลานบนแผ่นดินตามชนิดของมัน”  (ปฐก. 1,25)

           เหล่านี้คือชีวิตของต้นไม้และสัตว์ที่พระเป็นเจ้าได้ทรงสร้างขึ้นมา  และ  “ทรงเห็นว่าดี”  ชีวิตของต้นไม้และสัตว์จึงเป็นสิ่งที่ดีดังที่พระเป็นเจ้าทรงเห็นนั้น

  1. แต่ที่ประเสริฐที่สุดก็คือชีวิตมนุษย์ซึ่งพระเป็นเจ้าได้ประทานมาในแบบพิเศษสุด  คือ  “พระเป็นเจ้าทรงสร้างมนุษย์ตามพระฉายาของพระองค์  ตามพระฉายาของพระเจ้านั้นพระองค์ทรงสร้างมนุษย์ขึ้น”  (ปฐก. 1,27)  และพระเจ้าเมื่อทอดพระเนตรสิ่งสร้างทั้งปวงโดยมีมนุษย์สุดยอดแล้ว  “ก็ทรงเห็นว่าดีนัก”  (ปฐก. 1,31)  แสดงว่าชีวิตมนุษย์นั้นประเสริฐนัก  ประเสริฐยิ่งกว่าชีวิตใดๆ  ที่พระองค์ทรงสร้างมาก่อนนั้น

  2. เพราะชีวิตมนุษย์เป็นของประเสริฐ  และเป็นของประทานจากพระเป็นเจ้า  พระเป็นเจ้าจึงบัญญัติไว้ในข้อที่  5  ว่า  “อย่าฆ่าคน”  การฆ่าคนเป็นการทำลายชีวิตที่พระเป็นเจ้าประทานให้  ซึ่งเราไม่มีอำนาจหรือสิทธิที่จะทำเช่นนั้นได้  เรามีหน้าที่ต้องเคารพชีวิตมนุษย์ทุกชีวิต  เริ่มตั้งแต่ปฏิสนธิจนตาย  เราต้องเคารพชีวิตของเราเองก่อน  แล้วชีวิตของคนอื่นๆด้วย  เราเคารพชีวิตมนุษย์โดย

  3. กินอาหารให้เพียงพอและถูกหลักอนามัย  และถือเป็นหน้าที่ที่จะต้องดูแลช่วยเหลือคนที่ไม่มีอาหารจะกินด้วย  ตามความสามารถ

  4. ต้องบำรุงรักษาชีวิตให้มีความสุข  และมีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง  โดยการออกกำลังกาย  หมั่นสำรวจตรวจตราและรักษาเมื่อเจ็บป่วย  หลีกเลี่ยงอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นแก่ชีวิตหรือสุขภาพทั้งของตนเองและของคนอื่น

  5. ไม่ทำร้ายหรือทำอันตรายต่อชีวิตหรือสุขภาพของผูใดทั้งสิ้นแม้จะไม่ถึงแก่ชีวิตก็ตาม

  6. กระนั้นก็ดี  มีบางกรณีที่มีเหตุผลสมควรยกเว้น  คือ

  7. ความจำเป็นในการป้องกันชีวิต  หรือป้องกันทรัพย์สินที่มีค่ามากจากผู้ที่กำลังคุกคามนั้นอาจตอบโต้ถึงแก่เอาชีวิตของผู้คุกคาม  หรือทำอันตรายอย่างหนักแก่ผู้คุกคาม  ทั้งนี้โดยมีเจตนาโดยตรงเพื่อป้องกันชีวิตของตนเอง  หรืออันตรายอย่างหนักต่อชีวิตของตนเอง

  8. ความจำเป็นในการป้องกันภัย  หรืออันตรายอย่างหนักต่อส่วนรวม  ผู้มีอำนาจโดยชอบธรรมสามารถใช้อำนาจนั้นลงโทษถึงชีวิตต่อผู้มีภัยต่อส่วนรวมอย่างร้ายแรงหรือในการปกป้องประเทศชาติจากศัตรูผู้รุกราน  ก็สามารถเอาชีวิตศัตรูนั้นได้

  9. การกระทำให้สูนเสียชีวิต  หรือเป็นอันตรายต่อชีวิตโดยมิได้เจตนา  แม้ไม่ผิดในแง่ศีลธรรม  แต่ก็อาจผิดในแง่กฎหมายได้

  10. ทุกวันนี้คำว่า “สิทธิมนุษยชน”  กำลังเป็นที่กล่าวขานกันทั่วไป  โดยเนื้อแท้แล้วก็คือการเคารพต่อชีวิตมนุษย์  และทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับชีวิตมนุษย์นั่นเอง  นับว่าเป็นกระแสที่มาจากเบื้องลึกของจิตใจมนุษย์  โดยอาศัยพระจิตทรงดลบันดาล  ที่สำนึกในคุณค่าของชีวิตมนุษย์ที่เป็นของประทานอันประเสริฐสุดจากพระเป็นเจ้า  และมุ่งรักษาและเทิดทูนชีวิตมนุษย์ไว้อย่างสูงสุด  และใช้ชีวิตนั้นประกอบคุณงามความดี  แผ่เมตตา  เป็นการเทิดพระเกียรติพระเป็นเจ้า

            สำหรับต้นไม้และสัตว์  แม้ว่าจะมีชีวิตชั้นต่ำกว่ามนุษย์  แต่ก็ควรได้รับการปฏิบัติด้วยเคารพและด้วยความเมตตา  นอกเหนือจากการใช้ประโยชน์เพื่อการยังชีพแล้ว  ก็ไม่สมควรกระทำการใดๆอันเป็นการทำลายหรือทำร้ายทารุณให้เกิดการเจ็บปวดทรมานอย่างไร้เหตุผล

           “บุญของผู้ที่มีใจใฝ่สันติ  เหตุว่าเขาจะได้ชื่อว่าเป็นบุตรของพระเป็นเจ้า”  (มธ. 5,9)

ขั้นที่ 4  ปฏิบัติ

  • ข้อควรจำ
  1. อย่าฆ่าคน
  2. ชีวิตมนุษย์เป็นสิ่งประเสริฐ เพราะพระเป็นเจ้าทรงสร้างขึ้นตามพระฉายาของพระองค์
  3. เรามีหน้าที่ต้องบำรุงรักษาชีวิตให้เจริญสุขและยาวนาน เราไม่มีสิทธิอันใดจะทำลายชีวิต  หรือทำอันตรายของชีวิต  ทั้งของตนเองและของผู้อื่น
  4. “สิทธิมนุษยชน” คือการเทิดทูนคุณค่าชีวิตมนุษย์ไว้อย่างสูง  มิยอมให้มีการคุกคามหรือย่ำยีไม่ว่าในรูปแบบใด
  5. เราควรส่งเสริมชีวิตให้มีคุณค่าโดยประกอบคุณงามความดี แผ่เมตาแก่ผู้ที่มีชีวิตตกอับ  เพื่อเทิดพระเกียรติมงคลของพระเป็นเจ้า
  6. “บุญของผู้มีใจใฝ่สันติ เหตุว่าเขาจะได้ชื่อว่าเป็นบุตรของพระเป็นเจ้า”  (มธ. 5,9)

    กิจกรรม เชิญชวนผู้เรียนให้เลือกกระทำ  “เมตตากิจ”  ต่อเพื่อนมนุษย์อย่างใดอย่างหนึ่งที่เหมาะกับตน  ได้แก่

    1.ให้อาหารแก่ผู้อดอยาก
    2.ให้ที่อยู่อาศัยแก่แขก
    3.ให้เสื้อผ้าแก่ผู้ขัดสน
    4.เยี่ยมคนไข้
    5.เยี่ยมนักโทษในคุก
    6.ไถ่ทาสให้เป็นไท
    7.ช่วยงานศพ

อ่านพระคัมภีร์ภาคพันธะสัญญาเก่า  “บุตรสิรา”  บทที่  17  ข้อ  1 – 12   ขับร้องเพลง  “ชีวิตคนเรา”

ชีวิตคนเรา

ชีวิตคนเราเหมือนข้าวที่เก็บเกี่ยวได้ในนาและแล้ว  ชาวนาก็คัดเลือกไว้

ข้าวเลวนั้นเก็บแล้วก็โยนทิ้งไฟ   ข้าวดีก็เก็บไว้ใช้ให้เป็นอาหารประทังชีวา

ชีวิตคนเราเหมือนปลาน้อยใหญ่   ว่ายติดแหอวนปลาไหนดีควรล้วนคัดเลือกมา

ปลาเลวนั้นแยกโยนทิ้งธารา     เหลือไว้แต่เพียงหมู่ปลาที่มี คุณค่าหล่อเลี้ยงชีวี

นี่คือวาจาขององค์ชุมพาพระเจ้า   เตือนร่ำเช้าให้กระทำความดี

เตรียมตัวพร้อมสิ้นดังคนใช้ที่ดี  รอคอยนาทีที่นายกลับคืนมา

ชีวิตคนดีแม้มีทุกข์ยาก    ลำบากลำบนชีวิตบางคนต้องทนสุดฝืน

แต่ชีวิตหน้าสุดแสนยั่งยืน   ที่ร้ายจะกลายร่มรื่นชีวิตขมขื่นจะชื่นชมเอย  (ซ้ำ)

เนื้อหาและบทเรียน

Download พิธีศีลศักดิ์สิทธิ์สำหรับเด็กและเยาวชน

Download พิธีโปรดศีลศักดิ์สิทธิ์