ศูนย์คริสตศาสนธรรมสังฆมณฑลราชบุรี
CATECHETICAL CENTER OF RATCHABURI DIOCESE

บทที่ 6 พระเยซูคริสต์ทรงสอนอย่างผู้มีอำนาจ

จุดมุ่งหมาย     เพื่อให้ผู้เรียนรับทราบข่าวดีของพระองค์  นำไปใคร่ครวญและปฏิบัติตามเพื่อจะได้เข้าสู้พระอาณาจักรของพระเจ้า

ขั้นที่ 1  กิจกรรม

อุปกรณ์     เขียน  “บุญลาภ”  แต่ละประการลงในกระดาษแต่ละชิ้น  (ดูในเฉลย)

ตัดกระดาษแต่ละชิ้นออกเป็น  2  ส่วน  คือ  ส่วนหัวของ  “บุญลาภ” 
และส่วนหางของ  “บุญลาภ”  ตามตัวอย่าง         

บุญของผู้มีใจยากจน                 เหตุว่าพระอาณาจักรเป็นของเขา

บุญของผู้ที่เป็นทุกข์โศกเศร้า      เหตุว่าเขาจะได้รับการปลอบโยน

  ฯลฯ                                                        ฯลฯ

             นำชิ้นส่วนที่ตัดมาคลุกเคล้าปะปนกัน  แล้วแยกไว้เป็นชุดๆ  แบ่งผู้เรียนออกเป็นกลุ่มๆ  กลุ่มละประมาณ  4  - 5  คน  แจกชิ้นส่วน  “บุญลาภ”  ให้กลุ่มละ  1  ชุด  ให้แต่ละกลุ่มเรียง  “บุญลาภ”  ให้ถูกต้องโดยนำชิ้นส่วนมาต่อกัน

ขั้นที่ 2  วิเคราะห์

เฉลย

บุญของผู้ที่มีใจยากจน   เหตุว่าพระอาณาจักรสวรรค์เป็นของเขา

บุญของผู้ที่เป็นทุกข์โศกเศร้า  เหตุว่าเขาจะได้รับการปลอบโยน

บุญของผู้ที่มีใจอ่อนโยน   เหตุว่าเขาจะได้เป็นเจ้าของแผ่นดิน

บุญของผู้ที่กระหายความชอบธรรม  เหตุว่าเขาจะได้อิ่มหนำสำราญ 

 บุญของผู้ที่มีใจเมตตา  เหตุว่าเขาจะได้รับความเมตตากรุณาเช่นกัน

บุญของผู้ที่มีใจบริสุทธิ์   เหตุว่าเขาจะได้เห็นพระเป็นเจ้า

บุญของผู้ที่มีใจใฝ่สันติ   เหตุว่าเขาจะได้ชื่อเป็นบุตรของพระเป็นเจ้า

บุญของผู้ถูกเบียดเบียนข่มแหงเพราะความชอบธรรม   เหตุว่าพระอาณาจักสวรรค์เป็นของเขา

             “บุญลาภ”  ทั้ง  8  ประการนี้คือคำเทศนาแรกและสำคัญที่สุดที่พระคริสต์ทรงแสดงบนภูเขา  เป็นการประกาศโฉมหน้าใหม่ของผู้ที่นับถือพระเป็นเจ้า  เราจึงเรียกพระคัมภีร์ภาคหลังนี้ว่า  “พระธรรมใหม่”  เพราะพระเยซูคริสต์ทรงเผยแสดงสิ่งใหม่ๆ เพิ่มเติมให้แก่สิ่งเก่าๆ เพื่อให้บรรลุความสมบูรณ์

               พระเยซูคริสต์ตรัสว่า  “เรามิได้มาเลิกล้มพระธรรมบัญญัติและคำของบรรดาประกาศก  แต่มาทำให้สมบูรณ์ขึ้น”  (มธ. 5,17)

สรุป     พระเยซูคริสต์นอกจากทรงประกอบภารกิจของพระเป็นเจ้าพระบิดาแล้ว  ยังทรงเทศนาสั่งสอนประชาชนอย่างหามรุ่งหามค่ำ  จนแทบจะไม่มีเวลาพักผ่อนรับประทานอาหาร  และคำสั่งสอนของพระองค์ก็คอยซึมซับ  และเกิดผลในจิตใจของผู้ที่รับฟัง  โดยเฉพาะบรรดาสาวก

ขั้นที่ 3  คำสอน

  1. คำเทศนาเรื่อง  “บุญลาภ”  นี้สวนทางกับจิตตารมณ์ทางโลกอย่างเห็นได้ชัดเจน  เช่น

โลกสอนว่าบุญของผู้ร่ำรวยเป็นเศรษฐี

แต่บุญลาภสอนว่าบุญของผู้ที่ยากจน

โลกสอนว่าบุญของผู้ที่มีความสนุกสนาน

แต่บุญลาภสอนว่าบุญของผู้ที่โศกเศร้า

โลกสอนว่าบุญของผู้ที่เสวยอำนาจวาสนา

แต่บุญลาภสอนว่าบุญของผู้ที่สุภาพอ่อนโยน

โลกสอนว่าบุญของผู้ที่ได้ทุกอย่างสมใจนึก

แต่บุญลาภสอนว่าบุญของผู้ที่หิวกระหายความชอบธรรม

โลกสอนว่าบุญของผู้ที่กอบโกยใส่ตัวเองได้มากที่สุด

แต่บุญลาภสอนว่าบุญของผู้ที่มีใจเมตตากรุณา

โลกสอนว่าบุญของผู้ที่ปล่อยตัวหาความสุขทุกอย่าง

แต่บุญลาภสอนว่าบุญของผู้ที่มีใจบริสุทธิ์

โลกสอนว่าบุญของผู้ที่ใช้กำลังสยบคนอื่น

แต่บุญลาภสอนว่าบุญของผู้ที่มีใจใฝ่สันติ

โลกสอนว่าบุญของผู้ที่เบียดเบียนรังแกคนอื่นได้

แต่บุญลาภสอนว่าบุญของผู้ที่ถูกเบียดเบียนข่มเหง

          บุญของจิตตารมณ์ของโลกตกอยู่กับคนจำนวนน้อยนิด  แต่บุญตามบุญลาภคือคนส่วนใหญ่ของโลก  บุญลาภจึงเปิดโอกาสให้คนส่วนใหญ่นี้ได้ลืมตาอ้าปาก  มีศักดิ์ศรีของตนขึ้นมา

  1. พระเยซูคริสต์ยังทรงสอนว่าคุณค่าที่แท้จริงของมนุษย์อยู่ที่จิตใจภายใน  มิใช่อยู่ที่การกระทำภายนอก  เพราะพระองค์ทรงต่อต้านคัดค้านการกระทำเยี่ยงฟาริสีอย่างหนัก  พระองค์ตรัสว่า  “พวกอาจารย์พระคัมภีร์และพวกฟาริสีนั่งบนที่นั่งของโมเสส  ฉะนั่นทุกสิ่งที่พวกเขาสอนท่านจงปฏิบัติตาม  แต่อย่าทำตามความประพฤติของพวกเขาเลยเพราะพวกเขาดีแต่สั่งสอน  แต่หาได้ปฏิบัติตามไม่................การกระทำของพวกเขาเป็นแต่เพียงเพื่ออวดคนอื่นเท่านั้น”  (มธ. 23,2 – 3  และ  5)  ตรงกันข้ามพระองค์สอนว่า  “เมื่อท่านจะทำทานอย่าเป่าแตรประกาศเหมือนคนหน้าซื่อใจคดทำเพื่อให้คนสรรเสริญ................เมื่อทำทานอย่าให้มือซ้ายรู้ว่ามือขวาทำอะไร  ทานของท่านต้องเป็นทานลับ  มีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่ทรงล่วงรู้และจะประทานบำเหน็จให้ท่าน”  (มธ. 6,2 – 4)  และ  “เมื่อท่านจะอธิษฐานภาวนา  อย่าทำเหมือนคนหน้าซื่อใจคดที่ชอบยืนอธิษฐานภาวนา  ในศาลาธรรมและตามถนนเพื่อให้คนทั้งปวงได้เห็น……………..แต่ท่านจงเข้าไปในห้องชั้นในปิดประตูแล้วอธิษฐานต่อพระบิดาผู้ทรงเห็นในที่เร้นลับ  และจะประทานบำเหน็จแก่ท่าน”  (มธ. 6,5 – 6)
  2. พระเยซูคริสต์ทรงสอนมุมมอมใหม่ของความทุกข์ยากลำบาก  ซึ่งเป็นปัญหาคู่ชีวิตตลอดมา  ใครๆก็มองความทุกข์ยากลำบากเป็นพิษเป็นภัยเป็นโทษที่ต้องพยายามหลีกเลี่ยงหรือขจัดออกไป  แต่พระสอนว่า  “ผู้ใดอยากตามเรามาก็ให้ผู้นั้นเอาชนะตนเอง  แบกกางเขนของตน  แล้วตามเรามา”  (มก. 8,34)  ความทุกข์  (กางเขน)  กลายมาเป็นเครื่องหมายของการเป็นศิตย์ของพระองค์  และยังนำไปสู่ชีวิตใหม่ด้วย  “ถ้าเมล็ดข้าวตกลงดินแล้วไม่เปื่อยสลายไปมันก็จะคงอยู่เมล็ดเดียว  แต่ถ้ามันเปื่อยสลายไปมันจะงอกเป็นต้นข้าวใหม่ให้ผลเป็นอันมาก”  (ยน. 12,24)

         พระองค์ตรัสให้ความหวังว่า  “ท่านจะร้องไห้คร่ำครวญ  แต่โลกจะชื่นชมยินดี  ท่านจะทุกข์โศก  แต่ความทุกโศกของท่านจะกลับเป็นความชื่นชมยินดี”  (ยน. 16,20)  คำสอนของพระองค์ได้ปลุกเร้าใจบรรดามรณสักขีนับตั้งแต่ยุคแรกจนถึงปัจจุบันให้ยินดีรับทรมานและพลีชีพเพื่อพระเป็นเจ้าเป็นจำนวนเพื่อนับไม่ถ้วน  และบัดนี้ความทุกข์ทรมานของพวกเขานั้นได้กลายเป็นความชื่นชมยินดีในสวรรค์ไปแล้ว

  1. แต่คำสอนที่เป็นหัวใจของคำสอนทั้งหลายก็คือคำสอนเรื่องความรัก  พระองค์ตรัสว่า  “จงรักพระเป็นเจ้าของเจ้าด้วยสิ้นสุดจิตใจ  และสิ้นสุดความคิดของเจ้า  นี่เป็นบัญญัติข้อใหญ่และข้อแรก  บัญญัติข้อที่  2  ก็เหมือนกันคือ  จงรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง  ธรรมบัญญัติและธรรมของประกาศกทั้งหลายก็ขึ้นอยู่กับบัญญัติทั้งสองประการนี้”  (มธ. 22,37 – 40)  พระองค์ทรงสั่งสอนวิธีปฏิบัติความรักไว้มากมาย  เช่น

“จงวางเครื่งบูชาไว้............กลับไปคืนดีกับพี่น้องเสียก่อน...” (มธ. 5,24)

“ผู้ใดตบแก้มขวาของท่าน  ก็จงยื่นแก้มซ้ายให้เขาตบด้วย” (มธ. 5,39)

“จงรักศัตรูของท่าน  และจงอธิษฐานเพื่อผู้ที่ข่มเหงท่าน” (มธ. 5,44)

“เราให้บัญญัติใหม่แก่ท่าน  คือให้ท่านรักกันและกัน” (ยน. 23,34)

  1. สาวกบางคนเริ่มตีห่างจากพระองค์เพราะทนฟังคำสั่งสอนเรื่องเนื้อของพระองค์เป็นอาหารและโลหิตของพระองค์เป็นเครื่องดื่มไม่ได้  พระเยซูคริสต์จึงถามอัครสาวกสิบสองของพระองค์ว่า  “ท่านไม่ไปกับเขาด้วยหรือ  ?”  เปโตรตอบแทนคนอื่นๆว่า  “เราจะไปหาใครพระเจ้าข้า  พระองค์แต่เพียงผู้เดียวมีวาจาทรงชีวิต”  (เทียบ  ยน. 6,60 – 68)  นี่เป็นเครื่องพิสูจน์ได้ดีว่าคำสั่งสอนของพระเยซูคริสต์มีคุณค่าสำหรับผู้ฟังสักเพียงไร  ทุกวันนี้ผู้คนก็ยังได้อาศัยพระวาจาของพระองคี้เป็นเครื่องหล่อเลี้ยงจิตใจ  ช่วยให้พลังในการฝ่าฟันอุสรรค  ช่วยปลุกปลอบใจในยามเป็นทุกข์  ช่วยเยียวยาบาดแผลในใจยามพลาดล้ม  ช่วยให้ความสว่างในยามมืดมน 

ขั้นที่ 4  ปฏิบัติ
ข้อควรจำ

  1. “บุญลาภ  8  ประการ”  คือคำสอนแรกและสำคัญที่สุดของพระเยซูคริสต์  ช่วยยกจิตใจของเราให้ดำเนินชีวิตโดยมีความหวังมากขึ้น
  2. “มนุษย์ดูที่รูปร่างภายนอก  แต่พระเป็นเจ้าทอดพระเนตรจิตใจ”  (1 ชมอ. 16,7)
  3. “ท่านจะร้องให้คร่ำครวญ  แต่โลกจะชื่นชมยินดี  ท่านจะทุกข์โศก  แต่ความทุกข์โศกของท่านจะกลับเป็นความชื่นชมยินดี”  (ยน. 16,20)
  4. “จงรักพระเป็นเจ้าของเจ้าด้วยสิ้นสุดจิตใจและส้นสุดความคิดของเจ้า  และจงรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง”  (มธ. 22,37 – 39)

ข.    กิจกรรม      ร้องเพลง  “รักแท้”

ความรักรวมเราเข้าเป็นหนึ่งเดียว    ความรักสร้างความกลมเกลียวสัมพันธ์

ความรักแท้ไม่เปลี่ยนแปรผัน        ความรักนิรันดร์นั้นรักยิ่งใหญ่

ความรักแท้เราต้องเสียสละ          ความรักจะต้องมอบกายใจ

ความรักเราต้องรักทรงชัย            ความรักถวายกายใจมอบแด่พระองค์

ความรักแด่องค์ทรงชัย               มอบกายใจพร้อมทุกสิ่งประสงค์

เป็นความรักแท้ซื่อตรง               มั่นคงดำรงไม่เปลี่ยนแปรผัน

ความรักเราต้องรักผู้อื่น               ทนฝืนความเกลียดเดียดฉันท์

ฝึกตนสร้างความสัมพันธ์             ด้วยยึดมั่นแบบอย่างองค์ทรงชัย  (ซ้ำ)

ปีศักดิ์สิทธิ์ ค.ศ. 2025

ปีศักดิ์สิทธิ์ ค.ศ. 2025 "บรรดาผู้จาริกแห่งความหวัง"

คาทอลิกไทย "รวมพลังรักษ์โลก" ค.ศ.2024-2025

คาทอลิกไทย "รวมพลังรักษ์โลก" ค.ศ.2024-2025

เนื้อหาและบทเรียน

Download พิธีศีลศักดิ์สิทธิ์สำหรับเด็กและเยาวชน

Download พิธีโปรดศีลศักดิ์สิทธิ์