เส้นทางสู่การเป็นคาทอลิกของ: มาเรียม รอซา อรวรรณ ผลสมบูรณ์
ข้อมูลส่วนตัว
คุณอ้วน ( มาเรียม รอซา อรวรรณ ผลสมบูรณ์) สัตบุรุษวันนักบุญหลุยส์ บางแค ล้างบาป ตอนอายุ 35 ปี
รู้จักศาสนาคาทอลิกได้อย่างไร
คุณพ่อทำธุรกิจอยู่ จ.หนองคาย จึงไปเป็นเด็กนักเรียนประจำที่โรงเรียนเซนต์แมรี่ อุดรธานี ประถมปีที่เจ็ด อยู่กับซิสเตอร์ 4 ปี จึงรู้จักศาสนาคริสต์ว่าเป็นแบบนี้เพราะยังไม่เคยรู้จักมาก่อน ซิสเตอร์ก็สอนและพาสวด พาเข้าวัดร่วมมิสซา สวดได้หมด ทำได้หมด แต่ยังไม่ถึงขั้นเรียนคำสอน ถือว่าทำตามระเบียบ ตารางเวลาประจำวันว่า เช้ามาต้องสวด ประมาณนั้นไปก่อน จะเข้าใจหรือสัมผัสจริง ๆ ก็ตอนที่เรียนจบออกจากอุดรมาอยู่กรงเทพฯ มาใช้ชีวิตเรียนพาณิชย์ เรียนปริญญาตรี ตอนนั้นรู้สึกไม่มีที่พึ่งคิดแต่ว่า เขาสอนมาอย่างนี้ว่า "พระเจ้าเห็นเรานะ พระเจ้าฟังเรานะ แม่พระรักเรานะ" ก็จำได้ตรงนี้แล้วก็สวดวันทามารีอาเป็นหลักสวดจริง ๆ จัง ๆ แล้วก็สบายใจขึ้น จากนั้นก็เริ่มสัมผัสด้วยตนเอง
ตั้งแต่ออกจากเซนต์แมรี่ไปร่วมฉลองคริสต์มาสทุกปี ไปบ้านซิสเตอร์ที่วัดน้อยศาลาแดงไปหาซิสเตอร์นั่นแหละ แล้วก็ชอบบรรยากาศ รู้สึกคิดถึงโรงเรียน คิดถึงซิสเตอร์ หลังจากนั้นมีชีวิตครอบครัว ทำงานแล้วก็รู้สึกว่าวันอาทิตย์มีเวลาก็อยากไปวัด ไปร่วมมิสซาที่วัดน้อย ไปบ่อยมากที่หลัง ๆ ไปทุกอาทิตย์ นั่งรถเมล์ไป ก็เริ่มจากตรงนี้ ไม่รู้แหละ รู้ว่าวันอาทิตย์จะต้องไปวัด เช้าเจ็ดโมง ก็ไม่ได้คุยกับใครเรื่องศาสนา เสร็จแล้วก็แยกย้ายกันกลับบ้าน จนกระทั้งคุณพ่อยอห์น แปร์ติเล ท่านมาทำมิสซาประจำ ไม่เปลี่ยน ทำมาเป็นปี ๆ เลย ท่านก็เริ่มเห็นเราก็เริ่มทักทาย วันหนึ่งเลิกวัดแล้วพ่อก็มาทักทายว่า พ่อเห็นเธอมาวัดทุกอาทิตย์เลย แต่ไม่เห็นเธอไปรับศีลมหาสนิท ก็บอกพ่อว่าหนูไม่ได้เป็นคริสต์ พ่อบอกว่า “ตายจริง (พูดเสียงดัง) เธอมาวัดบ่อยกว่าคนเป็นคริสต์อีก” พ่อเขาแซวเล่น ๆ พ่อบอกว่า “พ่อยินดีจะสอนให้” “เหรอค๊ะ หนูจะต้องทำอย่างไร” “ไปเรียนคำสอนกับพ่อที่ เซนต์ดอมินิก” พ่อประจำอยู่ที่นั่น พ่อก็ชวนอย่างนี้และบอกว่าเธอเป็นคริสต์แล้ว 90 เปอร์เซ็นต์ เหลืออีก 10 เปอร์เซ็นต์พ่อจะสอนให้ ก็เริ่มไปเรียนกับคุณพ่อ ใช้เวลาเรียนเกือบปี เรียนตั้งแต่เริ่มจนจบ แล้วพ่อก็ถามว่าให้เวลาตัดสินใจทบทวนว่าจะเป็นคริสต์ไหม ที่สำคัญอย่าเป็นคริสต์เพราะเกรงใจพ่อนะ พ่อไม่ต้องการ อ้วนก็ตอบพ่อเลยว่า หนูไม่ต้องกลับไปทบทวนอะไรอีกแล้ว บอกพ่อเดี๋ยวนี้เลยว่าจะเป็นคริสต์ ประโยคที่คุยกันในห้องวันนั้นยังจำไปเลย แล้วก็รับศีลล้างบาป เลือกนักบุญ ไม่รู้จักใครเลยมีแม่พระคนเดียวที่นำอ้วนมาตลอด จึงเลือกมารีอาแล้วก็มาเพิ่มนิดหนึ่งว่า โรซา หาแม่ทูนหัวก็ไม่รู้จักใคร ซิสเตอร์เป็นแม่ทูนหัวไม่ได้ พอดีหญิงเยอรมัน นั่งทำงานโต๊ะติดกัน สนิทกันถามว่าเป็นฝรั่งเป็นคริสต์หรือเปล่า เขาบอกว่าเป็นคาทอลิก จึงบอกให้เขาเป็นแม่ทูนหัวให้หน่อย ก็เลยมีแม่ทูนหัวเป็นฝรั่ง จำได้ว่าตอนโป๊ป ยอห์นปอล ที่สอง มาที่สนามศุภฯ อ้วนกับแม่ทูนหัวไปร่วมมิสซากัน ชวนกันไป เลิกจากที่ทำงานแล้วก็ไปด้วยกัน ดีใจอย่างยิ่ง
ก่อนกับหลังเป็นอย่างไร
ก่อนเป็นก็โล่ง ๆ ไม่คิดว่าตนเองมีศาสนาด้วยซ้ำไป เฉย มันหลายหลาก เดี๋ยวใส่บาตร เดี๋ยวไหว้เจ้า ตรุษจีน เช้งเม้ง สารทจีน อะไรยุ่งไปหมดก็ทำไปไม่ได้ติดอะไร พอมาเปลี่ยน ก็รู้ว่ามีพระเจ้านะ ช่วงรับศีลห้าปีแรกก็ยังไม่ลึกซึ้งอะไรนัก เพราะไม่ได้เรียนแบบจริงจัง ไม่รู้จักอะไร ก็แค่วัดวันอาทิตย์ แล้วก็รู้คำสอนกว้าง มาเปลี่ยนจริง ๆ ตอนเรียน PMG (อาสาสมัครประกาศข่าวดีประจำวัด) นี่แหละ อบรมเป็นผู้ประกาศข่าวดี ว่าเราคริสตชนทุกคนมีหน้าที่เป็นผู้ประกาศข่าวดีของพระเจ้า พอรู้ว่าทุกคนมีหน้าที่แบบนี้แบบนี้ ก็เริ่มไปรับการอบรมต่าง ๆ พระคัมภีร์ ฉบับต่างๆ อันนี้จึงทำให้เพิ่มพูนชีวิตจิต รู้สึกว่าไม่ใช่คนโดดเดี่ยวนะ อยู่ในอาณาจักรของพระเจ้านี้ ต้องทำแบบอย่าง ทำตามหลักการที่พระเจ้าทรงช่วยพี่น้อง เพราะพระเยซูอยู่ในเพื่อนมนุษย์ทุกคน ยิ่งเรียนยิ่งรู้ว่าศาสนาเราเป็นธรรมชาติ เป็นอะไรที่มนุษย์ต้องการที่สุด ไม่ต้องมีผู้นำที่มาคอยสั่งเราแต่มันเหมือนกับมาจากใจ มันมาจากวิถีชีวิตมนุษย์ ความเป็นมนุษย์ที่สุด ใกล้เคียงกับธรรมชาติมนุษย์ ยิ่งเรามาทำงานแพร่ธรรม ช่วยเหลือผู้คนเอาใจไปสัมผัสใจยิ่งรู้สึกชัดว่าพระเจ้าสถิตอยู่ในใจนั้นแหละ แล้วเราก็ต้องใช้ใจเรานี่แหละทำงาน
ชีวิตที่เปลี่ยนไปมาก มีความรู้สึกว่ามีความสุขพอดี ไม่ต้องการอะไรมากไปกว่านี้ พอใจ ไม่ขาดอะไร ไม่มีอะไรจนล้น มีพอดี ๆ พอเราเอาใจไปทำงาน เราเข้าใจคนอื่น ก็เลยเข้าใจความเป็นเนื้อแท้ของความเป็นมนุษย์มันอยู่ตรงนี้เอง มองเห็นพระเจ้าชัดเจนในผู้อื่น แต่ต้องลงมือทำ ถ้าเรียนอยู่ในตำรา พระคัมภีร์ สวดอย่างเดียว ไม่ออกไปสัมผัสเพื่อนพี่น้อง อ้วนว่ามันยังไม่เกิด ไม่ถึงใจ ต้องมีประสบการณ์ คือการออกไปช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ นั่นแหละคือการมีประสบการณ์ส่วนตัวกับพระเจ้า ไม่ใช่จำว่าบทบัญญัติมีกี่ประการ จำได้หมด แต่ต้องออกไปทำงาน ความรู้ไม่พอ พอคุณออกไปทำงานแล้วกลับมาอ่านคุณจะเข้าใจมากเลย เข้าใจเองไม่ต้องไปท่องด้วย ใจเราสำคัญ ใจใฝ่ดี แต่ต้องมีคนมาสะกิด แล้วฟื้นฟู มันจะลดลง แต่การออกไปสัมผัสผู้อื่นจะช่วยลดความเห็นแก่ตัวลงไป
การไปวัดวันอาทิตย์
การที่ไปวัดคือการพักทั้งกายและใจ คุณบอกว่าไม่มีเวลา ไม่ได้พักเลย มันเหมือนกับว่าเราได้ไปชาร์ตแบต เมื่อเรามีเรื่องวุ่นวายในชีวิต เราได้นั่งนิ่ง ๆ อยู่กับต้นกำเนิดเรา กลับไปอยู่ในบรรยากาศ คนเยอะเป็นร้อย แต่จริง ๆ เราอยู่นิ่ง ๆ กับพระองค์ มีเสียงเพลงจูงใจเรา มีบทเทศน์ มาเตือนเรา นั่นแหละเป็นเวลาที่เราอยู่กับตัวเราเองมากที่สุดเลย พอเข้าไปรู้สึกมีกำลังใจเหมือนชุบตัวใหม่ เอาใหม่ เริ่มต้นใหม่ มีพลังขึ้นมา แล้วยิ่งเราไปอยู่ในกลุ่ม เราได้คุยกันเหมือนเราไม่ได้อยู่คนเดียว ในสังคมยังมีคนแบบเดียวกับเรา พูดกันรู้เรื่อง เข้าใจกัน ตอนมิสซาออนไลน์ แรก ๆ ก็ตื่นเต้น เลือกวัดได้ แต่พอผ่านมาสามอาทิตย์รู้สึกว่าทำไมมันแห้งแล้งอย่างนี้ อะไรมันหายไป ถามตนอง “ทำไมมันต่างกับการไปวัดของจริง” ตอบได้เลยว่า “ในใจมันแห้ง” มนุษย์ต้องสัมผัสกับพระเจ้าและกับเพื่อนมนุษย์สองอย่าง
อยากให้คนรู้จักพระเจ้า
ไม่ใช่เรื่องงมงาย มีความรู้สึกว่ารู้คุณ ไม่ใช่เรืองงมงาย ไม่ใช้เรื่องของคนจิตอ่อนไหว เวลาเด็ก ๆ ถามก็บอกว่าเป็นคริสต์ เขาขอหนังสือก็เอาไปฝาก
สอนผู้ใหญ่
เคยถามตรง ๆ ว่าจะเรียนคำสอนไหม เขาบอกว่าไม่เอา แต่นั่งคุยกันได้ตั้งคำถามเขาไป คุณว่าชีวิตมันเกิดมาเพื่ออะไร เราก็มีชีวิตครึ่งทางแล้ว จะไปไหนต่อ คุณคิดไหมว่ามนุษย์เรามาจากไหน ตายแล้วจะไปไหน เอาชีวิตจริงมาคุยกัน ความสำเร็จในชีวิตเกิดขึ้นได้อย่างไร ให้เกิดความภูมิใจ ทำให้เขาคิดว่านี่มันฝีมือฉันล้วน ๆ หรือเปล่า ทำไมถึงได้ขนาดนี้ เราเริ่มต้นอย่างนี้ แล้วก็นั่งคุยกันไป แต่จะไม่เอานะว่าศีลศักดิ์สิทธิ์มีกี่ประการ เขาไม่ฟัง เขาอยากเอาเรื่องที่เกิดกับเขาแล้วไม่มีคำตอบ ใช้การคุยอย่างนี้ เราต้องมีที่มา ไม่ใช่ว่าอยู่ ๆ ก็จะเกิดได้ ไม่ใช่เรียนจบทำงานสำเร็จแต่ระหว่างทางมันต้องอาศัยอะไรบ้างอย่างไร พวกเกษียณมักจะคิดได้ ที่เหลือจะไปต่ออย่างไร ไปไหน ดูว่าเขาอยู่ในช่วงไหนของชีวิต อายุ หน้าที่การงาน ความพร้อม ต้องเห็นอกเห็นใจถามเขาว่าเหนื่อยไหม นี่ไง ถ้าเหนื่อยให้มาวัด พระเยซูบอกว่าใครเหนื่อยให้มาหาเราเถิด...
แบกภาระหนัก อาศัยพระวาจาว่าจะโดนกับใคร เหมือนพระวาจาเป็นน้ำฝนตกลงทำให้ดินและพืชงอกงม เราให้ไปเถอะ ได้ช่วยเหลือใครบ้าง