เส้นทางสู่การเป็นคาทอลิกของ: ดอกเตอร์ผัดไท
ข้อมูลส่วนตัว
ดร.ผัดไท เป็นคนกรุงเทพฯ เรียนที่โรงเรียนพระมารดานิจจานุเคราะห์ ตั้งแต่อนุบาลถึงมัธยมศึกษาปีที่ 6 สายวิทย์-คณิต คุณพ่อคุณแม่รับราชการ การศึกษาจบปริญญาตรีและโทที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปริญญาเอกที่ประเทศญี่ปุ่น
ประสบการณ์การเรียน
สิ่งที่ได้ 1. รู้สึกว่าภาษาอังกฤษเราดีกว่าโรงเรียนอื่น เมื่อเทียบกับโรงเรียนอื่นที่รู้จัก 2. ครูดูแลนักเรียนอย่างใกล้ชิด ผมอยู่ห้องหนึ่งมีนักเรียน 30 คนต่อครูหนึ่งคน แล้วครูก็มีความใกล้ชิดกับเหตุการณ์ ตามแนวทางของโรงเรียนคาทอลิก ก็ได้รู้จักศาสนาคริสต์ตั้งแต่เรียนเลย ทุกเช้าได้สวด เรียนคำสอนตามปกติ ตั้งแต่อนุบาลได้รู้จักพระเจ้า พระแม่มารีย์ ตอนนั้นก็ไมได้เปลี่ยนศาสนา แต่ก็มีความประทับใจในระบบและสิ่งแวดล้อม และอีกเรื่องหนึ่งทางโรงเรียนให้นักเรียบเรียนคำสอนทุกคนไม่ว่าจะเป็นศาสนาอะไรก็มีวิชาเรียนคำสอน เหมือนเรียนกับคุณพ่อนี่แหละ มีเรียนประวัติ ดูวีดีโอ มีมาเซอร์มาพูดคุยถามคำถามให้ตอบว่า “ในคัมภีร์ตอนนี้พระเจ้าต้องการสื่ออะไร” และมีเรียนอย่างเข้มข้น ขอเล่าแบบติดตลก ๆ เหมือนว่าคนพุทธจะได้คะแนนวิชาคำสอนดีมากกว่าคนคริสต์ ผมก็เป็นหนึ่งในนั้น คล้าย ๆ กับว่าคนคาทอลิกอย่างไรก็ต้องรู้อยู่แล้ว แต่อย่างผมรู้สึกว่าทำไมคนมานับถือศาสนาคริสต์ แม้เราจะเรียนแต่ตัวหนังสือแต่ก็ทำให้มีความรู้เพิ่มขึ้น
หลังจบ ม.6 ได้มาเรียนที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสิรินธร ม.ธรรมศาสตร์ จบปริญญาตรี ในวิชาวิศกรรมอุตสาหการ ด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง ได้รางวัลภูมิพลเป็นอันดับหนึ่งของรุ่นในสถาบันนี้ ได้รางวัลภูมิพลเหมือนรางวัลเหรียญทองของนิสิตที่จบจุฬา ทั้งนี้ไม่ใช่เก่งอะไร แต่คิดว่าที่บ้านไม่มีต้นทุนอะไร พ่อแม่รับราชการทั้งคู่ เป็นครอบครัวธรรมดา เราเห็นพ่อแม่ลำบากที่ส่งเราเรียนจึงต้องพยายามมากกว่าคนอื่น
ตอนจบปริญญาตรี ก็ต่อปริญญาโทที่สถาบันเดิม เรียกสั้นว่า FIME ภาควิชาวิศวกรรม ห่วงโซ่อุปทานและได้รับทุน และปริญญาเอกก็ได้ทุนจากญี่ปุ่นจบทางวิทยาศาสตร์ แล้วกลับมาทำงานประจำที่เดิม ทำงานได้สามปีแล้ว
เหตุผลที่ตัดสินใจมาเป็นคริสต์
มีหลายเหตุผล ผมเป็นคนศึกษาหลายศาสนา อยากรู้อ่านหนังสือเรื่อย ๆ ปรัชญา เมื่อรู้หลักศาสนาต่าง ๆ แล้วมาคิดดูว่าทำไมจึงมีคนนับถือศาสนาคริสต์มากที่สุดในโลก เมื่อได้ศึกษาจึงรู้ว่ามีต้นกำเนิดจากศาสนายิว ทั้งหมดทั้งมวลก็เป็นพระเจ้า พระเจ้าองค์เดียวกัน แต่มีเนื้อเรื่องแตกต่างกัน ศาสนาพุทธสอนอย่างหนึ่ง คริสต์สอนอย่างหนึ่ง แล้วความจริงคืออะไร ไม่มีใครรู้ ก็เลยตอบตนเองในฐานะที่เป็นนักวิทยาศาสตร์ อะไรที่มันพิสูจน์ได้มันก็น่าจะดี
ที่นี้ด้วยวิทยาศาสตร์เราก็เรียนรู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันต้องมีเหตุมีผล ทุกวันนี้สิ่งที่เราเห็นรอบตัวมันมาจากอะไร ที่จริงมนุษย์อาจจะสร้างเทคโนโลยี เราอยากจะมีลูกชายหรือหญิงก็เลือกได้ แต่สุดท้ายก็มาจากธรรมชาติ แล้วใครสร้างธรรมชาติ ศาสนาพุทธไม่ให้คำตอบแบบชัดเจน เราจะหลุดจากวัฏสงสารได้อย่างไร ซึ่งก็เป็นทางหนึ่ง โอเคตัวตนเราไม่มี เราไม่มี ร่างกายประกอบด้วยขันธ์ห้า ถ้าเราเชื่อว่าเรามีตัวเราอยู่ เรามีพ่อมีแม่ แล้วมาจากไหนล่ะ อะไรคือจุดเริ่มต้น เราก็เริ่มรู้สึกแล้วว่า ต้องมีคนสร้างเรา มันต้องมีเหตุ อันนี้คือจุดหนึ่ง
สอง เรียนโรงเรียนคริสต์มาตลอด เจอแฟนตอนอยู่ธรรมศาสตร์ปีหนึ่ง ผมก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นคนคริสต์ ก็ไม่ได้คิดอะไรเห็นว่า ศาสนาอะไรก็รักกันได้ พอรู้ว่าครอบครัวคาทอลิก ผมรู้สึก เอ๊ะ นี้มันต้องมีอะไรบ้างอย่าง มันเหนือความบังเอิญ เหมือนพระเจ้าจัดสรร มันเกิดขึ้นได้ยาก แล้วเขาก็เป็นคนจันทบุรี คบกับแฟนมาได้ 15 ปีแล้ว ก็วางแผนแต่งงาน เรากับศาสนาคริสต์ก็ไม่คิดว่าการเปลี่ยนศาสนาจากพุทธมาคริสต์มันจะฝืนอะไร เพราะเราก็เรียนโรงเรียนคริสต์มาแล้ว เลื่อมใสอยู่แล้วส่วนหนึ่ง ที่นี้เมื่อเรามีคู่ชีวิตเป็นคาทอลิก เราก็อยากที่จะได้รับการอวยพรจากพระเจ้าอย่างสมบูรณ์ ผมรู้สึกว่าถ้าเป็นคาทอลิกทั้งคู่เมื่อแต่งงานก็จะได้รับศีลสมรส ก็จะทำให้ชีวิตของเราครบสมบูรณ์มากขึ้น เมื่อลูกเกิดมาก็จะได้เป็นคาทอลิก เด็กก็จะได้ไปทางเดียวกัน ผมเชื่อว่าน่าจะเหมาะสมก็เลยตัดสินใจเรียนเพิ่มเติมจากคุณพ่อวัชศิลป์ กฤษเจริญ
นี่ก็เป็นเรื่องอัศจรรย์อีก คือ พ่อตาของผมก่อนมาเป็นคาทอลิกใช้เวลาเรียนนานและเรียนหนักมาก แล้วผมจะเอาเวลาที่ไหนไปเรียน เพิ่งเริ่มทำงาน จะเรียนอย่างไรดี ก็กังวลอีกแล้ว เหมือนพระจัดให้ ผมมีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งที่อยู่ในภาควิชา ชื่ออาจารย์ไพศาล ผมเป็นลูกศิษย์ของท่าน กลับมาก็ได้ทำงานร่วมกัน มีอาจารย์จากญี่ปุ่นมาเยี่ยมชมคณะแล้วอยู่ในประเทศไทยหนึ่งสัปดาห์ อาจารย์ไพศาลจึงได้เชิญอาจารย์ญี่ปุ่นไปพักที่คอนโดส่วนตัวที่ จ.ระยอง ที่นี้ผมได้เจอคุณณัน ซึ่งเป็นภรรยาของอาจารย์ไพศาล คุยไปคุยมาคุณณัน เป็นคาทอลิก ก็บอกว่าจะเรียนคำสอน คุณณันบอกจะแนะนำคุณพ่อให้ ผมก็กลัวว่าจะอย่างไร คนสอนตั้งใจแต่คนเรียนรับไม่เต็มที ก็รู้สึกเกรงใจ แต่พอเจอคุณณัน คุณณันก็ต่อสายโทรคุยกับคุณพ่อ สักพักหนึ่งก็ได้คุยกับคุณพ่อ เปิดโลกผมเลยว่าการเรียนคำสอน เราเรียนโดยไม่ต้องไปเจอกัน ได้รับความรู้ไม่แตกต่างกับการเจอหน้ากันได้ แต่ผู้เรียนต้องมีวินัย นี่คือสิ่งสำคัญ คือความแตกต่าง พ่อให้โอกาส เมื่อมองย้อนหลัง
จิ๊กซอว์ที่ต่อกัน เป็นสิ่งที่เกินสติปัญญาของมนุษย์ที่จะไปรู้ล่วงหน้าได้ จึงทำให้ยิ่งเชื่อว่ามีอะไรบางอย่าง มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อะไรบางอย่างที่นำพาเราให้มาถึงจุดนี้ได้ เมื่อเจอคุณพ่อ คุณพ่อก็ติดตามแบบดูแลอย่างดี คือส่งอะไรมาให้อ่าน มีทั้งซีดี ตอนขับรถเวลาสองชั่วโมงได้ศึกษาเรื่องนี้ ฟังจนจบ และได้คุยกับคุณพ่อ ทำให้ยกระดับความรู้ความเข้าใจ ในคริสต์ศาสนามากขึ้น คือใจผมเปิดอยู่แล้ว ยิ่งทำให้เปิดมากขึ้น ใจยิ่งเชื่อมากขึ้น
มันอัศจรรย์จริง ๆ ถ้าวันนั้นอาจารย์ญี่ปุ่นไม่มา อาจารย์ไพศาลไม่ชวนไประยอง ผมก็ไม่ได้เจอคุณณัน ผมก็ไม่เจอคุณพ่อ ปานนี้ผมก้ยังไม่ได้เรียนคำสอน เพราะไม่มีเวลา คือต้องไปวันอาทิตย์ทุกอาทิตย์ทั้งวัน ทำได้แต่ลำบาก แต่เมื่อมีรูปแบบที่พ่อให้นี้มันเปิดโอกาสให้ผู้ที่อยากเข้ามาเรียนรู้แต่ไม่สะดวกเรื่องการเดินทางได้เรียนรู้ได้
วิธีการเรียนคนในปัจจุบัน มีข้อแนะนำอะไร
หนึ่ง คุณพ่อต้องใช้เครื่องมือออนไลน์อื่น ๆ นอกจาก Line เพราะเวลาพ่อใช้ Line ต้องหา ใช้เวลาตอบทีละคน อยากให้ใช้ Google Form ในการตอบ ทำให้ใช้เวลาน้อยลง พ่อขยันมาก ๆ เอาพลังมาจากไหน
สอง ใช้ Zoom ประชุมทางไกล ดีกว่าใช้ Line เห็นหน้ากัน สอนได้มาก ไม่ต้องมีที่ประชุมใหญ่ สอนแล้วบันทึกไว้ให้คนได้ดูภายหลัง
เนื้อหา
หลักคำสอนที่สัมผัสพระเจ้า จากพระเยซูเจ้าเป็นตัวอย่าง เป็นพระเจ้าที่ยอมลำบาก ทุกวันนี้เราลำบากถึงตายไหม ทุกอาชีพลำบากหมดแหละ แต่ทุกครั้งที่เราท้อ ดูซิดูพระเยซูยอมแบกกางเขนพระองค์ไม่ได้ผิด ไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย แต่เราทำงานได้ค่าตอบแทนได้ชีวิตที่ดีขึ้น นี่แหละโอเค เรายังไม่ได้ลำบากเท่าพระเจ้าเลย เราจะไปบ่นทำไม พระเจ้ายอมเสียสละแล้วเรายอมเสียสละอะไรบ้าง อย่างผมทำงานเป็นอาจารย์ถ้าเราทำเนื้อหาดีเด็กก็ได้ความรู้ ประเทศเราก็จะมีคนที่มีคุณภาพต่อไป ทำให้โดยรวมดีโดยที่เรายอมลำบาก นี่คือแบบอย่างมีค่ามากกว่าคำพูด หรือคำสอน นี่เป็นประโยชน์ต่อชีวิตมาก เราอ่านหนังสือเราก็เข้าใจแหละ แต่เราไม่เข้าถึงไง เราจะเข้าถึงได้อย่างไร เรายอมลำบากไหม เมื่อเราอ่านพระคัมภีร์เราเห็นพระเยซูลำบาก แล้วเราล่ะ เราแค่เหนื่อย อันนี้ผมว่าถ้าเราเน้นตรงนี้ก็จะตอบทุกอย่าง เพราะชีวิตมีแต่ความลำบาก ถ้าเรามองตรงนี้จะมีประโยชน์ เพราะถ้าคิดตรงนี้ได้อย่างอื่นก็เคลียร์ล่ะ เราต้องฟังซีดี เราต้องอ่าน ทำไปเถอะ เราทำน้อยกว่าพระเจ้า อย่างนั้นเราทำไปเถอะ
ก่อน-หลังเป็นคาทอลิก
ผมไปโบสถ์ตั้งแต่แรกแล้ว ทุกอาทิตย์ไป สมมุติว่าผมทะเลาะกับแฟน ไปวัดแล้วแฟนคืนดีกัน ข้อดีที่เห็น ถ้าไม่ไปวัดแทบจะไม่มีกิจกรรมร่วมกันในครอบครัวเลย อาทิตย์ไหนไม่ไปวัดมันจะหมดแรง นอนตื่นมาก็วันจันทร์แล้ว แต่ถ้าเราไปวัด เราได้ออกจากบ้าน เช้าหนึ่งชั่วโมงได้ใช้เวลากับพระ ทบทวนตนเองว่าชีวิตมันไม่ใช่แค่การทำงานนะ สุดท้ายทุกคนก็มีปลายทางเดียวกัน ไม่ว่าจะรวยหรือจน จะอย่างไรก็ตามสุดท้ายก็จะกลับไปหาพระเจ้า มันทำให้เราระลึกได้ว่าเราอย่าลืมนะ สุดท้ายเราจะไปอยู่ที่ไหน ดังนั้นจะช่วยบรรเทาความเครียดจากงานว่าตรงนี้มันชั่วคราว อย่างไปยึดอะไรมันขนาดนั้น มันจะช่วยย้ำเตือนเรา การไปวัดทำให้เราได้คุยกับตัวเองมากขึ้น นอกจากมีเวลากับครอบครัวแล้ว เรายังได้คุยกับตนเอง เราได้ฟังเทศน์สิ่งที่เราได้ฟัง บางมุมเราไม่ได้คิดมาก่อน ทำให้เรามีพลังมากขึ้น ทำอะไรต่อ อย่างไรก็ไม่มีอะไรที่จะมาแทน มาอยู่ในบรรยากาศได้
อีกอย่างหนึ่งถ้าเรามีลูก เราควรพาลูกไปวัด เพราะบางทีพ่อแม่พูด ลูกไม่ฟัง แต่คนอื่นพูดลูกฟัง ถ้าลูกมาวัดได้ฟังสิ่งดี ๆ มีบรรยากาศดี ๆ มันจะเพิ่มโอกาสที่เขาจะคลุกคลีกับความดีได้ ไม่ใช่ดีกว่าคนอื่น แต่ดีไม่ทำให้ใครเดือดร้อนและช่วยเหลือคนอื่นได้ นี่คือสิ่งที่คาทอลิกปลูกฝัง คือ รักผู้อื่นเหมือนรักตนเอง God - Love - Service มันเป็นแนวคิดที่ทำให้สังคมมีความสุข
มันมีคำถามที่มนุษย์ตอบไม่ได้ ใครสร้างเรา เรามาจากไหน ยากเกินสติปัญญาของเรา วิทยาศาสตร์ตอบไม่ได้ว่าสสารมาจากไหน ทฤษฎีเราก็ไม่รู้ ผมเชื่อว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาเฉย ๆ ได้ ต้องมีอะไรบางอย่างสร้างขึ้นมา แต่มนุษย์จะเขียนคัมภีร์กี่เล่มก็ตาม แต่ผมเชื่อว่ามีพระเจ้าสูงสุด
คุณพ่อคุณแม่ว่าอย่างไร
คุณพ่อคุณแม่เป็นคนพุทธทำบุญ ท่านไม่ได้มองความแตกต่าง ท่านส่งผมไปโรงเรียนคริสต์ ไม่ได้คิดว่าแตกต่าง หรือขัดขวางอะไร ท่านทำงานกับคนมาเยอะ ท่านเป็นคนกรุงเทพฯ ย้ายไปเรื่อย ๆ พบคนทุกศาสนา จึงไม่รู้สึกว่าผมจะมาเป็นคริสต์เป็นสิ่งที่ผิด เราเรียนโรงเรียนคริสต์เป็นเด็กไม่ก้าวร้าว เหมือนอยู่ในสังคมที่นิ่ม ๆ สุภาพ เขาก็เห็นว่าดีไม่อยากให้เราไปที่อื่น เหมือนว่าโรงเรียนดูแลเด็กดี ด้วยคำสอน ไม่แสวงกำไร มาเซอร์มาดูแลเด็ก เรียกเด็ก ๆ ว่าลูก ดูแลเหมือนลูกจริง ๆ เป็นแนวคิดที่จะต้องช่วยเหลือคนอื่น ซึ่งตอนผมบอกแม่ว่าจะไปรับศีลล้างบาปนะ แม่ก็บอกว่า เอาซิ เอาเลย ก่อนไปเรียนปริญญาเอกผมก็บวชเป็นพระสองสัปดาห์ ใจก็เหมือนว่าได้ทำหน้าที่แล้ว ก็ไม่มีปัญหาอะไร
พ่อแม่ของแฟนไม่เคยบังคับอะไรเลย ครอบครัวเขาช่วยกันสร้างวัดที่มูซู ตระกูลนามวงษ์ พ่อตาเป็นคนง่าย ๆ ตามภรรยา พอคุณปู่เสียแล้ว คุณพ่อตาเปลี่ยนมาเป็นคาทอลิก ตอนล้างบาปผมเชิญพ่อตาเป็นพ่อทูนหัวด้วย ตอนล้างบาปก็มากันหมด
ความรู้สึกเป็นอย่างไร
ครอบครัวก็มีความสุข ฝ่ายแม่ก็ไม่เห็นอะไรเปลี่ยนแปลง เราไม่ได้ทำอะไรแตกต่าง หรือแปลกแยก อยู่ที่ใจ เราแยกแยะได้ ไม่สุดโต่งเกินไป ครอบครัวเห็นด้วยแต่ต้องค่อย ๆ เป็นค่อยไป
ข้อแนะนำการเรียนคำสอน
สำหรับคนอยากเรียน เรียนทางไหนก็ได้ คนที่มาเรียนมีหลายเหตุผล เช่น แฟนบังคับให้มาเรียน สำหรับคนที่สนใจ ให้ใช้เทคโนโลยี ส่ง Youtube เปิดดูเลย แต่ยากตอนคำตอบ ให้ส่งมาทางเสียง พร้อมเมื่อไรก็ฟัง หรือกดไมค์ให้พิมพ์เป็นตัวอักษร Youtube , Google Form อัดเสียงและพิมพ์ใน Line หรือ โทรฯ คุยกันก็ได้