อยากเป็นคาทอลิก...ทำอย่างไร?
ผมได้มีโอกาสคุยกับผู้ที่ตัดสินใจมาเป็นคาทอลิกท่านหนึ่งที่มีการศึกษาในระดับปริญญาเอกด้านวิทยาศาสตร์จากประเทศอังกฤษ เคยบริหารและสอนในมหาวิทยาลัยของรัฐ ปัจจุบันเกษียณแล้วแต่ยังคงเป็นอาจารย์พิเศษในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ผมเห็นว่าประสบการณ์จริงในชีวิตของท่านผู้นี้น่าสนใจ จึงได้ขออนุญาตเผยแพร่ประสบการณ์ของท่าน เพื่อเป็นกรณีศึกษาซึ่งอาจจะมีหลายคนที่กำลังสนใจที่จะศึกษาเรื่องของคาทอลิกได้พิจารณา
ศาสนาเป็นเรื่องของชีวิต
ชาวไทยจำนวนมากรู้สึกว่าศาสนาคริสต์เป็นศาสนาของฝรั่งเป็นของชาวตะวันตก สังเกตจากวัดวาอารามพิธีกรรมบุคลากร ฯลฯ
“หลังจากมีความสนใจและได้ศึกษาด้วยตนเองมานาน ผมพบว่าศาสนาคริสต์เป็นเรื่องของชีวิต ชีวิตเป็นของเราแต่ละคน เรามีสิทธิที่จะเลือกแนวทางดำเนินชีวิตของเราเอง การเลือกนับถือศาสนาใดหมายถึงการเลือกที่จะใช้หลักธรรมคำสอนของศาสนานั้นเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต เพื่อทำให้ชีวิตมีความสุขที่สมบูรณ์และทำให้ชีวิตดีขึ้น ศาสนาจึงเป็นสากลสำหรับทุกคน”
“ผมเคยส่งข้อความพระคัมภีร์ไปให้เพื่อนอาจารย์ท่านหนึ่งที่สนิทกันมาก เราเรียนมาด้วยกัน ผมเห็นว่าพระคัมภีร์ตอนนี้ดีมากมีประโยชน์ต่อชีวิตของผม จึงส่งไลน์ให้เพื่อนรัก เพื่อนคนนี้ตอบกลับมาด้วยความไม่พอใจบอกว่าถ้าอยากเป็นเพื่อนกันต่อไปอย่ามายัดเยียดศาสนาให้เขา ผมจึงขอโทษและบอกเจตนาที่แท้จริงให้เขาฟังและไม่ส่งข้อความพระคัมภีร์ไปให้เขาอีก ใจผมอยากให้เพื่อนมีความสุขแท้จริงเหมือนที่ผมเองมีตั้งแต่ผมเปิดใจต้อนรับพระเจ้าเข้ามาในชีวิตของผม ผมพบว่าชีวิตผมดีขึ้นมากครับ”
ราคาที่ต้องจ่าย
“ครอบครัวของผมไม่ได้เป็นคริสต์ ผมคนเดียวที่สนใจ โดยเริ่มจากเพื่อนคนหนึ่งที่แนะนำผมให้อธิษฐานภาวนาเพื่อขอให้สอบติดมหาวิทยาลัยของรัฐ ผมเชื่อเพื่อน ผลปรากฏว่าผมซึ่งเป็นเด็กบ้านนอกคนหนึ่งสอบได้ลำดับต้น ๆ จากนั้นผมเริ่มเชื่อมากขึ้นจึงเริ่มศึกษาเรื่องของพระเจ้าจากพระคัมภีร์ ชีวิตของผมเปลี่ยนไป ผมเปิดใจต้อนรับพระเจ้า ทุกอย่างราบรื่น จนกระทั่งครอบครัวผมทราบว่าผมหันมานับถือคริสต์ ปฏิกิริยาแรกคือความไม่พอใจ โกรธเคืองและต่อว่าต่าง ๆ นานา นี่คือราคาที่ผมต้องจ่ายสำหรับการมาเป็นคริสต์ ผมถูกแม่ขู่ถึงขั้นตัดขาดจากบ้าน พี่สาวไม่ยอมพูดด้วย เพื่อนบ้านเองก็พลอยตำหนิครอบครัวของผมที่เลี้ยงลูกอย่างไรจึงผิดแผกไปจากประเพณีดั้งเดิม ผมต้องสู้ทนมาก อาศัยการอธิษฐานภาวนาและการอ่านพระคัมภีร์
เหตุการณ์สำคัญที่เป็นจุดเปลี่ยนคือ ผมกับพี่สาวมีเรื่องทะเลาะกันที่รุนแรงมาก แต่วันนั้นผมเข้าไปหาพี่สาวบอกขอโทษพี่ พี่สาวผมแปลกใจมากเพราะพี่รู้ว่าผมเป็นคนที่ไม่ยอมใครง่าย ๆ อะไรที่คิดว่าตนเองไม่ผิดแล้วยิ่งตอบโต้กลับไปอย่างรุนแรง แต่ครั้งนี้ทำให้พี่สาวของผมยอมรับผม พี่บอกว่าไม่เคยเห็นน้องเป็นอย่างนี้มาก่อนเลย ผมบอกว่าพระเจ้าสอนให้ยกโทษกันเจ็ดครั้งเจ็ดสิบหนและให้ยกโทษกันก่อนตะวันตกดิน ท่าทีของพี่เปลี่ยนไป ดีกับผมมากขึ้น ยอมรับผมมากขึ้น พอถึงวันอาทิตย์พี่จะถามผมว่าวันนี้ยังไม่ไปโบสถ์อีกหรือ ส่วนคุณแม่ของผมหลังจากผมพิสูจน์ตนเองว่าการนับถือศาสนาอื่นที่ต่างกับคนในครอบครัวไม่ได้ทำให้ผมรักครอบครัวน้อยลงแต่ตรงกันข้ามทำให้ผมรักและรับผิดชอบมากขึ้น ผมปฏิบัติตนตามคำสอนที่ผมได้เรียนรู้มาจากพระคัมภีร์ จนที่สุดคุณแม่ได้บอกผมว่าลูกเปลี่ยนไปมากก่อนกับหลังมานับถือคริสต์ ผมจึงได้แต่ขอบคุณพระเจ้าที่ช่วยผมให้ผ่านการทดลองครั้งนี้”