วิทยาศาสตร์กับความเชื่อ
“ผมจบด้านวิทยาศาสตร์ ยิ่งเรียนยิ่งค้นพบว่าพระเจ้าทรงยิ่งใหญ่และความรู้ของเรานั้นเป็นเพียงเศษธุลีเท่านั้น....สำหรับคนทั่วไปอาจจะคิดว่าศาสนาคริสต์เป็นศาสนาของคนต่างชาติ แต่สำหรับผมแล้วศาสนาคริสต์เป็นเรื่องของชีวิต”
จากการสนทนาประสบการณ์ความเชื่อพระเจ้ากับอาจารย์มหาวิทยาลัยท่านหนึ่งทำให้มองเห็นการทรงเรียกคน ๆ หนึ่งให้มารู้จักและรักพระเจ้าอย่างสุดจิตสุดใจ ซึ่งชวนเราให้ขอบพระคุณพระเจ้าและเรียนรู้จากชีวิตจริงของอาจารย์ท่านนี้
รู้จักพระเจ้าได้อย่างไร
สมัยที่ผมเรียนชั้นมัธยมต้นมีเพื่อนที่เรียนเก่งมากสอบได้ถึง เก้าสิบห้าเปอร์เซ็นต์เกือบเต็มร้อยมาเล่าเรื่องพระเจ้าให้ผมฟัง ผมก็ยังไม่สนใจ จนกระทั่งวันหนึ่งผมต้องการใครสักคนหนึ่งที่อาจจะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือใครก็ได้ที่มีอำนาจสูงสุดสามารถช่วยเหลือผมและอยู่กับผมตลอดเวลา เพราะว่าสติปัญญาผมก็ไม่ดีและพ่อของผมก็เสียชีวิตเพราะอุบัติเหตุ ชีวิตจึงขาดเสาหลัก เมื่อเรียนมัธยมปลายชีวิตก็ยังเคว้งคว้างอยู่จนกระทั่งจะต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยจึงตัดสินใจ…
ผมเป็นคนที่ไม่เชื่ออะไรง่าย ๆ เพราะถือว่าผมเรียนวิทยาศาสตร์จึงถามเพื่อนที่บอกผมเรื่องพระเจ้าซึ่งตอนนี้เขาเป็นศาสตราจารย์แล้ว เพื่อบอกว่าต้องการเหตุผลหรือก็มีนะ ตอนที่โมเสสนำคนของพระเจ้าผ่านทะเลแดง พระเจ้าทรงมอบอำนาจให้โมเสสเป็นผู้นำใช้ไม้เท้าเปิดทะเลแดงให้ชาวอิสราเอลเดินข้ามไปให้พ้นจากการตามล่าของทหารอียิปต์ พอชาวอิสราเอลผ่านข้ามหมด พระเจ้าทรงทำให้น้ำทะเลไหลกลับมารวมกันเหมือนเดิมและทำให้กองทัพอียิปต์ทั้งคนและรถม้าพร้อมอาวุธต่าง ๆ จมอยู่ใต้ท้องทะเล ซึ่งยังมีการค้นพบซากอะไรต่อมิอะไรอยู่ พระคัมภีร์ไม่โกหกหรอก นักประวัติศาสตร์ได้บันทึกไว้และสามารถค้นคว้าพิสูจน์เรื่องราวต่าง ๆ ที่มีบันทึกไว้ได้ ผมก็เลยคิดว่าอย่างนั้นก็เป็นเรื่องจริงสิ ผมจึงไปเข้าห้องสมุด ที่นั้นผมก็ไปเจอใบปลิวที่สอนให้รู้จักพระเจ้าและสอนให้อธิษฐาน ผมจึงเริ่มอธิษฐาน ทีแรกก็ยังไม่เชื่อแต่ผลจากการอธิษฐานผมสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ พอเข้ามหาวิทยาลัยเวลากรอกประวัติผมก็ลงว่าผมนับถือศาสนาคริสต์ทั้ง ๆ ที่ผมยังไม่ได้เป็นคริสต์เลย จากนั้นก็มีมีกลุ่มคริสเตียนมาตามตัวให้ไปร่วมกลุ่มศึกษาพระคัมภีร์และร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ในที่สุดก็ได้รับเชื่อเข้าเป็นคริสเตียน
ชีวิตการเป็นชาวคริสต์เป็นอย่างไร
ตั้งแต่ผมรู้จักพระเจ้า ผมพบจริง ๆ ว่าพระเจ้าทรงเลี้ยงดูผม ผมไม่เคยอดเลย มีคนเคยถามผมว่า “นายเชื่อพระเจ้า นายก็งอมืองอเท้าซิ” ผมตอบว่า “ไม่ใช่อย่างนั้น พระเจ้าทรงให้อิสระเรา” ผมเองก็เคยถามเพื่อนที่เรียนเก่งคนนั้นว่า “เมื่อเราเชื่อพระเจ้าแล้วเราไม่ต้องทำอะไรเลยหรือ และถ้าพระเจ้ามีจริง ทำไมพระองค์ไม่ให้ทุกคนมาเป็นคริสต์มาเชื่อและรู้จักพระเจ้าล่ะ” เพื่อนก็ตอบว่า “จริงๆ แล้ว เมื่อพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ให้มีฉายาลักษณ์เหมือนกับพระองค์ มีส่วนที่คล้ายกับพระองค์ เมื่อพระเจ้าได้เป่าลมหายใจเข้าไปในจมูกทำให้มนุษย์มีชีวิต เพราะฉะนั้นเราจึงมีส่วนคล้ายพระเจ้า หมายความว่าพระเจ้าทรงให้เกียรติมนุษย์ให้มนุษย์มีสติปัญญารู้จักตัดสินใจให้รู้ความจริงแล้วจึงเลือก เมื่อเรายอมรับพระองค์ พระองค์จะทรงนำและช่วยเหลือเราได้”
ประสบการณ์การอธิษฐานเป็นอย่างไร
ก่อนที่ผมจะมาเป็นคริสต์ ผมได้อธิษฐานขอพระเจ้าสามประการซึ่งผมได้รับหมดเลยรวมถึงทุนการศึกษาด้วย ทางบ้านผมก่อนหน้านั้นมีฐานะดีแต่เมื่อไม่มีพ่อแล้วทรัพย์สินที่มีอยู่ก็ค่อย ๆ ร่อยหรอไปจนฐานะค่อนข้างจะแย่ ผมเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้ก็เพราะการอธิษฐานขอพระเจ้า
เมื่อผมรู้จักพระเจ้า พระเจ้าได้สอนให้ผมอธิษฐาน เพื่อนผมบอกว่าถ้านายเชื่อพระเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์จะสัมฤทธิผลร้อยเปอร์เซ็นต์ ปรากฏว่าตั้งแต่ผมเชื่อพระเจ้าผมไม่เคยลำบาก ผมไม่เคยที่จะอดอยาก ทุกสิ่งทุกอย่างจะมาในเวลาที่สมควร พระเจ้าไม่เคยช้าและไม่เคยสาย พระองค์ทรงทันเวลาเสมอ
ในที่สุดผมก็ยอมรับมากขึ้นและมากขึ้น ขณะเรียนปริญญาตรีผมอธิษฐานตลอด เวลาอธิษฐานผมจะเชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์แล้วพระเจ้าก็ให้ทุกครั้ง แม้กระทั่งผมจบและจะเรียนต่างประเทศ ในระดับปริญญาเอกที่ประเทศอังกฤษซึ่งผมต้องปรับตัวอย่างมาก แต่ทุกอย่างผ่านไปได้ทุกสถานการณ์ พระเจ้าช่วยทุกอย่างทรงนำทรงชีวิตทรงหล่อเลี้ยงชีวิตผม อีกประการหนึ่งผมไม่อยากว่าง ๆ เพราะผมต้องใช้เงิน ผมขอพระเจ้าไว้ว่า “อย่าให้ผมตกงาน” ปรากฏว่าผมไม่เคยว่างงานเลย งานต่องาน งานต่องาน ผมได้งานบริษัทข้ามชาติ
ทุกครั้ง ผมเริ่มต้นด้วยขอบคุณและลงท้ายก็ด้วยขอบคุณ ในขณะที่คุณทำอะไรอยู่คุณต้องรู้จักขอบคุณ ขอบคุณสำหรับชีวิตลมหายใจ ขอบคุณสำหรับอาหารอากาศ แล้วขอบคุณที่เราได้รู้จักพระเจ้า พอเราได้อะไรปุ๊บให้เราขอบคุณพระเจ้า...คือลมหายใจของเราเป็นพระเจ้าไปแล้ว
ก่อนออกจากบ้านผมอธิษฐานแล้วจะเกิดความมั่นใจทุกสิ่งทุกอย่างราบรื่น แม้กระทั่งการขับรถ แม้ถนนจะแน่นผมจะต้องเข้าเลนซ้ายเพื่อเลี้ยวแต่รถวิ่งเต็มไปหมด ผมอธิษฐานไม่นานด้านซ้ายก็ว่างทำให้ผมชิดซ้ายได้
เหตุการณ์สำคัญที่ผมต้องขอบพระคุณพระเจ้า เมื่อผมจบปริญญาตรีต้องการเรียนต่อปริญญาโทปรากฏว่าผมเรียนจบหมดแล้วเหลือแต่การทำวิทยานิพนธ์ซึ่งผมไม่สามารถควบคุมมันได้ ผมทำเกี่ยวกับซูเปอร์คอนดักเตอร์คือการผลิตมวลสารชนิดหนึ่งซึ่งนำมาใช้ในเครื่องมือแพทย์หรือในรถไฟความเร็วสูง เวลารถไฟกำลังจะวิ่งมันจะช่วยให้ยกตัวให้ลอยขึ้น ผมผลิตด้วยวิชาเคมีและฟิสิกส์ การพัฒนาครั้งนี้จะต้องใช้สัดส่วนต่าง ๆ ให้ถูกต้องเพื่อให้เป็นแม่เหล็กที่มีความหนาแน่นสูงที่จะต้องลอยและหมุนตัวอยู่บนวัสดุที่เราผลิตขึ้นมา ผมเกือบจะยอมแพ้ ผมใช้เวลาเรียนไปแล้วสองปี ผมแทบจะหมดแรงจึงกลับไปหาแม่ บอกแม่ว่า “ผมไม่ไหวแล้ว” แม่บอกว่า “ดีแล้วพักสักหน่อยลูก พอปีใหม่ค่อยเริ่มใหม่” ปรากฏว่ามันสอดคล้องกับพระคัมภีร์เลย เมื่อสาวกกลับมาจากการประกาศข่าวดีแล้วมารายงานให้พระเยซูทราบ พระเยซูบอกว่า “ท่านทั้งหลายจงมาพักผ่อนกับเราตามลำพังในที่สงัดระยะหนึ่งเถิด” เพื่ออธิษฐานขอบคุณพระเจ้า เพราะฉะนั้นผมจึงใช้เวลานั้นใคร่ครวญและอธิษฐานต่อพระเจ้า ผมอธิษฐานว่าขอพระเจ้าช่วยลูกให้ทุกสิ่งเป็นไปได้ด้วยพระองค์ ผมยอมรับว่าทุกสิ่งเป็นไปได้เพราะพระองค์ ขอให้ทุกสิ่งที่ผมทำอยู่ในสัดส่วนที่พอดีและพอเหมาะ เมื่อกลับไปทำงานผมย้อนกลับไปทบทวนว่าสิ่งที่ทำมีผิดพลาดตรงไหนอย่างไร หลังจากนั้น...สิ่งที่ผมติดค้างไว้นั้นได้สำเร็จ ผมกระโดดตัวลอย ผมได้พัฒนาจนสามารถนำไปใช้ในสถานการณ์จริงได้
ครั้งหนึ่งผมหายใจไม่ออกแน่นหน้าอกเหมือนมีก้อนหินมาทับหน้าอก ผมอธิษฐานขอให้ความแน่นอกหายไป สักพักมันหายไป รุ่งเช้าผมไปหาหมอพอหมอเห็นหน้า หมอรีบให้พยาบาลเอาเตียงมาเข็นผมไปตรวจ หมอบอกว่าคุณรอดมาได้อย่างไร เส้นเลือดใหญ่ตรงหัวใจมันตีบตันไม่ทำงานแล้ว โชคดีมากที่มีเส้นเลือดฝอยเส้นหนึ่งที่ส่งเลือดเข้าหัวใจได้ จึงทำการผ่าตัดทันท่วงที ผมคงตายไปแล้วถ้าผมไม่รู้จักพระเจ้า
เรียนรู้อะไรระหว่างความเชื่อพระเจ้ากับวิทยาศาสตร์
ทุกสิ่งที่ผมเรียนทางวิทยาศาสตร์ สิ่งที่ผมเรียนนั้นมันน้อยมากเป็นเพียงเศษธุลีที่พระเจ้าทรงสร้างมา ผมเรียนดาราศาสตร์ เรียนธรณีวิทยา เคมีฟิสิกส์ ด้านอะไรต่าง ๆ ปรากฏว่ามันเป็นเศษธุลีที่พระเจ้าได้สร้างมาและเพื่อนผมที่เป็นหมอก็บอกว่า ความดันโลหิตและอะไรต่าง ๆ ในร่างกายนี้มันสุดยอด ทุกสิ่งทุกอย่างพอเหมาะพอสมเป็นระบบออโตเมตริก ผมเรียนดาราศาสตร์ผมส่องกล้องมันขนาดนี้เลยหรือพระเจ้าสร้างมาได้อย่างไร แม้เส้นผมของเราพระเจ้าสร้างมาได้อย่างไร สารทุกสารพอเหมาะพอดี
ผมอาศัยพระเจ้าทุกนาที สาขาที่ผมสอนต้องเรียนรู้ตลอดเวลา พระเจ้าเหมือนหอกที่แทงทะลุให้เราเรียนรู้ได้ เข้าใจเรื่องที่ยากได้ พระเจ้าคือชีวิต
ชีวิตในปัจจุบันเป็นอย่างไร
แม้ว่าคนไทยจะคิดว่าเรื่องพระเจ้าเกิดขึ้นจากต่างประเทศ ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาของต่างชาติ แต่เมื่อผมมารู้จักพระเจ้าแล้วมันไม่ใช่ “ศาสนาคริสต์เป็นเรื่องของชีวิต” ถ้าคุณอยากจะได้ชีวิต อยากจะมีชีวิตอยู่เหมือนกับต้นไม้ที่มีชีวิตชีวา ผมเคยนิมิตเห็นสวนเหมือนสวนเอเดนมีลำธารน้ำไหลผ่านมีมนุษย์ผู้หญิงผู้ชายอยู่ใกล้ ๆ ลำธารเป็นลำธารแห่งชีวิต ผมอยากจะอยู่ในที่อย่างนั้น เมื่อผมรู้จักพระเจ้าแล้วเหมือนผมอยู่ในทุ่งหญ้าเขียวขจี ผมจะไม่เคยอดอยากเพราะพระเจ้าทรงเลี้ยงดู เหมือนเพลงที่ผมฟัง “พระเจ้าทรงเลี้ยงดู” (สดุดี 23) พระเจ้าทรงเป็นน้ำหล่อเลี้ยงชีวิตยิ่งเราได้อธิษฐานต่อพระเจ้ายิ่งเราได้หยั่งรากลึกลงในพระเจ้าแล้วพระเจ้าจะทำให้เรามีชีวิตและกระชุ่มกระชวย พระเจ้าคือชีวิตจริง ๆ
เมื่อก่อนผมกลัว กลัวผีกลัวโน้นกลัวนี้ ถ้าไม่มีพระเจ้าผมก็จะยังคงกลัวอยู่ ผมไม่ได้ท้าทายอำนาจพวกนี้ อำนาจพวกนี้มันมี คนเราต้องการสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เราเห็นคนกราบไหว้ต้นไม้ เวลาสร้างบ้านต้องมีศาลพระภูมิ ปรากฏว่าเขาต้องการสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อำนาจพวกนี้มีจริง แต่สู้อำนาจของพระเจ้าไม่ได้ อำนาจของพระเจ้าเหนือกว่าอำนาจของสิ่งใด ๆ ทั้งปวง สามารถปกป้องและคุมอำนาจพวกนี้อยู่หมด ผมไม่ได้ท้าทายอำนาจพวกนี้แต่ก็ไม่ได้กลัว ในเมื่อผมมีพระเจ้าทรงคุ้มครอง
ชีวิตเราขาดพระเจ้าไม่ได้ ถ้าขาดพระเจ้าเหมือนกับชีวิตของเราอยู่ในความเสี่ยงความไม่แน่นอน แต่พระเจ้าคือความแน่นอน เพราะฉะนั้นที่หลายคนต้องการหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่แท้จริงแล้วสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่ใกล้เรา เรารู้ไหมว่ามีคลื่นแม่เหล็กอยู่รอบตัวเรา ถ้าเราไม่รู้จักใช้วิทยุมาเปิดหาคลื่น เหมือนเรารู้จักวิธีอธิษฐานติดต่อกับพระเจ้า พระเจ้าเข้ามาในจิตใจเรา พระเจ้าสอนว่าถ้าเรากลับมาหาพระเจ้าผู้สร้างเรามาเราจะไม่ลำบาก ถ้าทำตามที่พระองค์สอนตามที่พระองค์แนะนำ เพราะฉะนั้นถ้าสิ่งสร้างของพระองค์ทำตามน้ำพระทัยแล้วจะไม่ลำบาก ศาสนาคริสต์เป็นเรื่องความจริงของชีวิต มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์จริง ๆ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นคือพระเจ้า
ความเชื่อทำให้ไม่กลัวความตาย
ผมไม่กลัวความตาย “ถ้ามีชีวิตอยู่ก็อยู่เพื่อพระเจ้า” ความตายไม่น่ากลัว แต่เป็นความยินดีที่ได้ไปอยู่กับพระองค์ เมื่อพระเยซูฟื้นคืนชีพเสด็จมาหาสาวกมาตรัสว่า “สันติสุขจงสถิตกับท่านทั้งหลายเถิด” ผมจึงไม่กลัว เมื่อพ่อผมตายตอนนั้นเป็นความกลัวความโศกความเศร้าความทุกข์เพราะตอนนั้นผมยังไม่มีพระเจ้าในชีวิต
ทำไมจึงมาเป็นคาทอลิก
ผมได้เข้าร่วมพิธีมิสซาที่โบสถ์คาทอลิกแห่งหนึ่งที่กรุงเทพเมื่อร่วมพิธีแล้วรู้สึกมีความสุขสงบสันติเพราะการทำงานในมหาวิทยาลัยในฐานะผู้บริหารมีเรื่องต่าง ๆ มากมายที่ต้องทำ ต้องตัดสินใจ ต้องแก้ปัญหา ต้องจัดการ แต่เมื่อถึงวันอาทิตย์ได้มาร่วมมิสซาได้พบพี่น้องพบคุณพ่อที่ใส่ชุดขาว บรรยากาศในพิธีสงบชวนศรัทธา เพื่อนที่เคยเรียนมหาวิทยาลัยมาด้วยกันเห็นว่าผมมาร่วมมิสซาจึงถามผมว่าเป็นคริสต์หรือ ทำไมไม่ออกไปรับศีลมหาสนิท เพื่อนจึงชวนผมให้เรียนคำสอนคาทอลิกเพื่อจะได้รับศีลล้างบาปและศีลศักดิ์สิทธิ์อื่น ๆ ผมจึงได้มีโอกาสเรียนคำสอนคาทอลิกและเข้าเป็นคาทอลิกโดยเข้ารับพิธีที่อาสนวิหารแม่พระบังเกิด บางนกแขวก จ.สมุทรสงคราม
ผมไม่กลัวที่จะบอกทุกคนว่าผมเป็นคริสต์ และยินดีแบ่งปันประสบการณ์ความสุขที่ได้รับจากพระเจ้ากับทุก ๆ คน ผมอยากให้ทุกคนมีความสุขเหมือนที่ผมมีอยู่ในขณะนี้
(เรียบเรียงจากการสนทนาระหว่างคุณพ่อวัชศิลป์ กฤษเจริญ กับ ผศ.ดร.วัชระพงศ์ วรเศรษฐพงศ์ อดีตผู้บริหารและอาจารย์ประจำคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มทร.ธัญบุรี)