แต่ละวันต้องเผชิญกับการต้องเลือกสิ่งใดสิ่งหนึ่ง และทุกการเลือกก็สำคัญต่อชีวิต
ขอพระวาจาพระเจ้าช่วยเราให้เลือกในสิ่งที่ดีและถูกต้องด้วยเทอญ
ในวันนี้ ข้าพเจ้าขอเรียกฟ้าดินมาเป็นพยานต่อหน้าท่าน ข้าพเจ้าเสนอให้ท่านเลือกชีวิตหรือความตาย เลือกคำอวยพรหรือคำสาปแช่ง ท่านจงเลือกชีวิตเถิด เพื่อท่านและบุตรหลานของท่านจะมีชีวิต (ฉธบ. 30:19)
ขอประทานความเข้าใจ แก่ผู้รับใช้ของพระองค์ เพื่อจะได้ปกครองประชากรของพระองค์อย่างยุติธรรม และรู้จักวินิจฉัยแยกความดีจากความชั่ว ถ้าพระองค์ไม่ประทาน ใครเล่าจะปกครองประชากรจำนวนมากเช่นนี้ของพระองค์ได้ (1พกษ. 3:9)
ลูกเอ๋ย จงระลึกถึงองค์พระผู้เป็นเจ้าทุกวันตลอดชีวิตของลูก อย่าจงใจทำบาปหรือละเมิดบทบัญญัติของพระองค์เลย จงทำความดีทุกวันตลอดชีวิต อย่าดำเนินตามหนทางที่ไม่ถูกต้อง (ทบต. 4:5)
ความตายและชีวิตอยู่ใต้อำนาจของลิ้น ผู้ที่รักสิ่งใดก็จะได้กินผลของสิ่งนั้น (สภษ. 18:21)
จงทำความดีต่อผู้ชอบธรรม แล้วท่านจะได้รับการตอบแทน ถ้ามิใช่จากเขา ท่านก็จะได้รับจากพระเจ้าสูงสุดอย่างแน่นอน (บสร. 12:2)
พระองค์โปรดให้เขามีความรู้และความเข้าใจอย่างเต็มเปี่ยม ทรงชี้นำให้เขารู้จักความดีและความชั่ว (บสร. 17:7)
ผู้มีปรีชาระวังตนในทุกสิ่ง และเมื่อบาปล่อใจ เขาก็ระวังตนไม่ทำผิด (บสร. 18:27)
ลูกเอ๋ย จงบังคับตนตลอดชีวิต จงดูว่าสิ่งใดทำร้ายท่าน จงหลีกเลี่ยงสิ่งนั้น เพราะทุกสิ่งไม่เหมาะกับทุกคน และไม่ใช่ทุกคนชอบสิ่งเดียวกัน (บสร. 37:27-28)
แต่ผู้มีความหวังในพระยาห์เวห์จะได้รับพลังใหม่ เขาจะกางปีกบินขึ้นเหมือนนกอินทรี เขาจะวิ่งและไม่เหน็ดเหนื่อย เขาจะเดินและไม่อ่อนเปลี้ย (อสย. 40:31)
อาณาจักรสวรรค์เปรียบได้กับขุมทรัพย์ที่ซ่อนอยู่ในทุ่งนา คนที่พบก็ฝังซ่อนสมบัตินั้น และยินดีกลับไปขายทุกสิ่งที่มีมาซื้อนาแปลงนั้น (มธ. 13:44)
อาณาจักรสวรรค์ยังเปรียบได้อีกกับพ่อค้าที่แสวงหาไข่มุกเม็ดงาม เมื่อได้พบไข่มุกที่มีค่าสูง เขาจะไปขายทุกสิ่งที่มีมาซื้อไข่มุกเม็ดนั้น (มธ. 13:45-46)
พระเยซูเจ้าตรัสกับคนทั้งหลายว่า “เราถามท่านว่า ในวันสับบาโตนั้น ควรทำความดี หรือทำความชั่ว ควรช่วยชีวิตหรือทำลายชีวิต” (ลก. 6:9)
ไม่มีผู้ใดเป็นข้าสองเจ้าบ่าวสองนายได้ เขาจะชังนายคนหนึ่งและจะรักนายอีกคนหนึ่ง เขาจะจงรักภักดีต่อนายคนหนึ่งและจะดูหมิ่นนายอีกคนหนึ่ง ท่านทั้งหลายจะปรนนิบัติรับใช้พระเจ้าและเงินทองพร้อมกันไม่ได้ (ลก. 16:13)
จงระวังไว้ให้ดี อย่าปล่อยใจของท่านให้หมกมุ่นอยู่ในความสนุกสนานรื่นเริง ความเมามายและความกังวลถึงชีวิตนี้ มิฉะนั้น วันนั้นจะมาถึงท่านอย่างฉับพลัน (ลก. 21:34)
พระเจ้าทรงรักโลกอย่างมากจึงประทานพระบุตรเพียงพระองค์เดียวของพระองค์เพื่อทุกคนที่มีความเชื่อในพระบุตรจะไม่พินาศแต่จะมีชีวิตนิรันดร
(ยน. 3:16)
พระเยซูเจ้าตรัสกับประชาชนอีกว่า “เราเป็นแสงสว่างส่องโลก ผู้ที่ตามเรามา จะไม่เดินในความมืด แต่จะมีแสงสว่างส่องชีวิต” (ยน. 8:12)
เราเป็นผู้เลี้ยงแกะที่ดี เรารู้จักแกะของเรา และแกะของเราก็รู้จักเรา
(ยน. 10:14)
พระเยซูเจ้าตรัสตอบเขาว่า “เราเป็นหนทาง ความจริง และชีวิต ไม่มีใครไปเฝ้าพระบิดาได้นอกจากผ่านทางเรา” (ยน. 14:6)
มิใช่ท่านทั้งหลายได้เลือกเรา แต่เราได้เลือกท่าน มอบภารกิจให้ท่านไปทำจนเกิดผล และผลของท่านจะคงอยู่ เพื่อว่าท่านจะขอสิ่งใดจากพระบิดาในนามของเรา พระบิดาจะประทานแก่ท่าน (ยน. 15:16)
ไม่มีผู้ใดช่วยให้เรารอดพ้น เพราะใต้ฟ้านี้พระเจ้ามิได้ประทานนามอื่นแก่มนุษย์นอกจากนามนี้ที่ช่วยเราให้รอดพ้นได้ (กจ. 4:12)
บัดนี้ พระเจ้าทรงมองข้ามเวลาในอดีตเมื่อมนุษย์ไม่มีความรู้ พระองค์ทรงบัญชาให้มนุษย์ทุกคนทั่วทุกแห่งกลับใจ (กจ. 17:30)
อย่าคล้อยตามความประพฤติของโลกนี้ แต่จงเปลี่ยนแปลงตนเองโดยการฟื้นฟูความคิดขึ้นใหม่ เพื่อจะได้รู้จักวินิจฉัยว่าสิ่งใดเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า สิ่งใดดี และสิ่งใดเป็นที่พอพระทัยและสมบูรณ์พร้อม (รม. 12:2)
เพราะค่าตอบแทนที่ได้จากบาปคือ ความตาย ส่วนของประทานที่พระเจ้าประทานให้เปล่า คือชีวิตนิรันดรในพระคริสตเยซู องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา (รม. 6:23)
ผู้ที่หว่านสิ่งใดตามธรรมชาติของตน ก็จะเก็บเกี่ยวความเสื่อมสลายจากธรรมชาติ ผู้ที่หว่านความดีในพระจิตเจ้า ก็จะเก็บเกี่ยวชีวิตนิรันดรจากพระจิตเจ้า (กท. 6:8)
อย่าท้อแท้ในการทำความดี เพราะถ้าเราไม่หยุดทำความดี เราก็จะได้เก็บเกี่ยวเมื่อถึงเวลา (กท. 6:9)
ในอดีตท่านเคยเป็นความมืด แต่บัดนี้ท่านเป็นความสว่างในองค์พระผู้เป็นเจ้า จงดำเนินชีวิตเช่นบุตรแห่งความสว่างเถิด (อฟ. 5:8)
จงใช้เวลาปัจจุบันให้ดีที่สุด เพราะเราอยู่ในยุคแห่งความเลวร้าย (อฟ. 5:16)
ท่านรู้อยู่แล้วว่าถ้าแต่ละคนทำดีไว้อย่างไร ก็จะได้รับค่าตอบแทนจากองค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่ว่าเขาจะเป็นทาสหรือเป็นอิสระก็ตาม (อฟ. 6:8)
เช่นเดียวกัน การกระทำที่ดีย่อมปรากฏให้เห็นได้ชัด การกระทำที่ไม่ดีก็ไม่อาจปิดซ่อนไว้ได้เช่นเดียวกัน (1ทธ. 5:25)
พระวาจาของพระเจ้า เป็นพระวาจาที่มีชีวิตและบังเกิดผล คมยิ่งกว่าดาบ สองคมใด ๆ แทงทะลุเข้าไปถึงจุดที่วิญญาณและจิตใจแยกจากกัน ถึงเส้นเอ็นและไขกระดูก วินิจฉัยความรู้สึกนึกคิดภายในใจได้ (ฮบ. 4:12)
แต่ถ้าไม่มีความเชื่อแล้ว จะเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าไม่ได้เลย เพราะผู้ที่มาเฝ้าพระเจ้า จำเป็นต้องเชื่อว่า พระองค์ทรงดำรงอยู่และประทานบำเหน็จแก่ผู้แสวงหาพระองค์ (ฮบ. 11:6)
องค์พระผู้เป็นเจ้ามิได้ทรงรีรอที่จะปฏิบัติตามพระสัญญาดังที่บางคนคิด แต่พระองค์ทรงอดกลั้นต่อท่านทั้งหลาย ไม่ทรงประสงค์ให้ผู้ใดต้องพินาศ แต่ทรงประสงค์ให้ทุกคนกลับใจ เปลี่ยนวิถีชีวิต (2ปต. 3:9)