ทำไมเยาวชนคริสตชนจึงละทิ้งพระศาสนจักร..
และเราจะทำอย่างไร
งานวิจัยของ Barna group ที่สรุปผลนำเผยแพร่ในเว็ปไซต์ www.catholicmissionarydisciples.com มีหลายประเด็นที่ควรนำมาไตร่ตรองกับสถานการณ์ของเยาวชนในประเทศไทย
โครงการวิจัยนี้ใช้เวลาเก็บข้อมูล 5 ปีโดยการสัมภาษณ์เยาวชน ผู้ใหญ่ตอนต้น พ่อแม่ ผู้อภิบาลที่ยังหนุ่มสาวและผู้อภิบาลอาวุโสจาก 8 ประเทศ การศึกษาผู้ใหญ่วัยต้นนี้ เน้นบุคคลที่เคยไปโบสถ์อย่างสม่ำเสมอในระหว่างที่มีอายุอยู่ในช่วงสิบปีขึ้นไปถึงยี่สิบปี และสอบถามถึงสาเหตุที่ละทิ้งพระศาสนจักรหลังจากที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไป
สาเหตุที่ทำให้เยาวชนละทิ้งพระศาสนจักรนั้นแบ่งออกเป็น 6 ประการ โดยไม่มีเหตุผลใดโดดเด่นเป็นพิเศษ จากภาพรวมพบว่า เยาวชน 3 ใน 5 คน หรือร้อยละ 59 ไม่ได้ติดต่อพระศาสนจักรอย่างถาวรหรือเป็นระยะเวลาที่นานหลังจากที่มีอายุ 15 ปี
เหตุผลที่ 1 – “พระศาสนจักรใช้ระบบการปกป้องมากเกินไป” (overprotective)
เหตุผลที่ 1 – “พระศาสนจักรใช้ระบบการปกป้องมากเกินไป” (overprotective)
คุณลักษณะของเยาวชนและผู้ใหญ่ตอนต้นมีความคิดหรืออยู่ในกระแสวัฒนธรรมของสังคมสมัยใหม่ ในฐานะคริสตชนพวกเขาอยากให้ความเชื่อในพระเยซูคริสต์เชื่อมโยงกับโลกที่พวกเขาดำรงอยู่ แต่จากประสบการณ์ในฐานะคริสตชนของพวกเขากลับพบว่ามีความอึดอัด เก็บกด มีความกลัวหรือเสี่ยงในการดำเนินชีวิต พวกเขา 1 ใน 4 (ร้อยละ 23) ที่มีอายุระหว่าง 18- 29 ปีกล่าวว่า “คริสตชนแยกทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่นอกพระศาสนจักร” จำนวนร้อยละ 22 เห็นว่า “พระศาสนจักรไม่ให้ความสนใจปัญหาของโลก” และร้อยละ 18 รู้สึกว่า “พระศาสนจักรของฉันกังวลว่าภาพยนตร์และวีดีโอเกมเป็นสิ่งที่อันตรายมากเกินไป”
ความคิดเห็นของผู้เขียน
ผู้เขียนบทความนี้แสดงความเห็นว่า สำหรับปัญหานี้บรรดาเยาวชนคริสตชนไม่ได้รับการตอบสนองต่อความเจ็บปวดหรืออันตรายจากวัฒนธรรมที่พวกเขาเผชิญ และพวกเขาไม่ได้วิเคราะห์ถึงผลกระทบของวัฒนธรรมต่าง ๆ เหล่านั้น ยิ่งกว่านั้นพวกเขายังได้ซึมซับและยอมรับวัฒนธรรมเหล่านั้นว่ามีคุณค่า และพบว่าความเชื่อมีอะไรที่แตกต่างไปจากวัฒนธรรมเหล่านั้น ในส่วนของพระศาสนจักรเองก็ไม่ได้ฝึกอบรมหรือเสริมสร้างพวกเขาให้เป็นศิษย์พระคริสต์ที่แท้จริงก่อน แล้วจึงให้พวกเขาเข้าสู่สังคม แต่กลับปล่อยให้วัฒนธรรมประกาศข่าวดีและหล่อหลอมพวกเขาแทน หมายความว่าปล่อยให้วัฒนธรรมอยู่เหนือกว่าความเชื่อและชี้นำพวกเขา สอนพวกเขาว่าจะพบความสุขได้อย่างไรและที่ไหน
เหตุผลที่ 2 – เยาวชนและผู้ใหญ่ตอนต้นมีประสบการณ์ความเชื่อที่ผิวเผิน
เหตุผลที่ 2 – เยาวชนและผู้ใหญ่ตอนต้นมีประสบการณ์ความเชื่อที่ผิวเผิน
เหตุผลที่ 2 ที่ทำให้เยาวชนทิ้งพระศาสนจักรคือการขาดประสบการณ์กับพระศาสนจักร เยาวชน 1 ใน 3 (ร้อยละ 31 ) กล่าวว่า “พระศาสนจักรน่าเบื่อ” เยาวชน 1 ใน 4 (ร้อยละ 24) ของวัยผู้ใหญ่ตอนต้นกล่าวว่า “ความเชื่อไม่ได้เกี่ยวข้องกับรายได้หรือผลประโยชน์ของฉัน” หรือ เยาวชนร้อยละ 23 กล่าวว่า “การสอนพระคัมภีร์ไม่ชัดเจนหรือไม่เพียงพอ” ที่น่าเศร้าคือผู้ตอบจำนวน 1 ใน 5 (ร้อยละ 20) ของเยาวชนที่ไปโบสถ์ในขณะที่อยู่ในวัยรุ่น (teenager) กล่าวว่า “ดูเหมือนว่าพระเจ้าได้หายไปจากประสบการณ์ของฉันแล้ว”
ความคิดเห็นของผู้เขียน
เรื่องนี้ไม่ใช่ว่าพวกเราจะไม่รู้ แต่ปัญหาก็คือเราได้ทำอะไรกันบ้าง หรือถ้าทำก็ทำแต่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น บ่อยครั้งเราผูกมัดหรือยัดเยียดให้เยาวชนมากกว่าที่จะเข้าไปนั่งในชีวิตของพวกเขา ดังนั้นเราจะควรให้โอกาสที่ท้าทายพวกเขาให้ติดตามพระเยซูและดำเนินชีวิตตามความเชื่อ เป็นต้นสำหรับครอบครัวสมัยใหม่ ที่มักจะมอบหน้าที่การฝึกอบรมให้กับโบสถ์และโรงเรียน และหลายครั้งพ่อแม่ผู้ปกครองก็ไม่ได้เป็นแบบอย่างหรือสอนความเชื่อในบ้านของตน เราอยากให้โบสถ์มีความสำคัญกว่าวัฒนธรรมหรือไม่ แน่นอน แต่ถ้าเราไม่มีการศึกษาพระคัมภีร์ ไม่มีการภาวนา การส่งเสริมกระแสเรียก หรือเข้าร่วมกิจกรรมส่งเสริมความศักดิ์สิทธิ์ใดๆ สิ่งนั้นคงไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน
เหตุผลที่ 3 – พระศาสนจักรขัดแย้งกับวิทยาศาสตร์
เหตุผลที่ 3 – พระศาสนจักรขัดแย้งกับวิทยาศาสตร์
อีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เยาวชนรู้สึกไม่สบายใจที่จะติดต่อกับพระศาสนจักรหรือละทิ้งความเชื่อไปก็คือความรู้สึกตึงเครียดระหว่างการเป็นคริสตชนกับวิทยาศาสตร์ การรับรู้หรือความเข้าใจของพวกเขาโดยทั่วไปก็คือ “คริสตชนมั่นใจตนเองมากเกินไปว่าพวกเขารู้คำตอบทุกอย่าง” (ร้อยละ 35 ) ผู้ใหญ่ตอนต้นจำนวน 2 ใน 10 (ร้อยละ 29) มีภูมิหลังที่รู้สึกว่า “พระศาสนจักรก้าวตามโลกแห่งวิทยาศาสตร์ที่เราดำรงชีวิตอยู่ไม่ทัน” เยาวชนจำนวน 1 ใน 4 (ร้อยละ 25) เข้าใจว่า “คริสต์ศาสนาต่อต้านวิทยาศาสตร์” และมีเยาวชนจำนวนใกล้เคียงกัน (ร้อยละ 23 ) ที่กล่าวว่า “ได้หันเหออกไปเมื่อได้ถกเถียงกันระหว่างเรื่องการสร้างโลกกับเรื่องวิวัฒนาการ” ยิ่งไปกว่านั้นผลงานวิจัยยังแสดงให้เห็นว่าเยาวชนคริสตชนจำนวนมากที่สนใจวิทยาศาสตร์มีความยากลำบากที่จะซื่อสัตย์ต่อความเชื่อกับอาชีพที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์อุตสาหกรรม”
ความคิดเห็นของผู้เขียน
ผู้เขียนคิดว่าปัญหานี้ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ของพระศาสนจักรคาทอลิกเท่ากับนิกายที่เคร่งครัดอื่นๆ (fundamentalist) แต่เรื่องนี้ก็ยังคงเป็นประเด็นสำคัญ คาทอลิกหลายคนคงคิดถึงเรื่องของกาลิเลโอ (ในฐานะที่สอนขัดแย้งกับพระศาสนจักร) เรื่องการทำแท้ง และการค้นคว้าเรื่องการสร้างเซลล์กำเนิดทารกในครรภ์ของมารดาว่าเป็นเรื่องการขัดแย้งกับวิทยาศาสตร์ แต่จากประวัติศาสตร์แสดงให้เห็นว่าพระศาสนจักรคาทอลิกขอบคุณความก้าวหน้าและประโยชน์ที่ได้รับจากวิทยาศาสตร์ พระศาสนจักรเชื่อว่าวิทยาศาสตร์เป็นการแสวงหาความจริงเกี่ยวกับโลกที่พระเจ้าประทานให้ แต่ต้องมีจุดประสงค์เพื่อรับใช้ความดีของมนุษยชาติ เราต้องไม่เพียงแค่ว่า “ทำได้ไหม” แต่ควรถามว่า “สมควรทำไหม”
เหตุผลที่ 4 – เยาวชนคริสตชนเห็นว่าคำสอนเรื่องเรื่องเพศของพระศาสนจักรไม่สอดคล้องกับสภาพสังคมปัจจุบัน
เหตุผลที่ 4 – เยาวชนคริสตชนเห็นว่าคำสอนเรื่องเรื่องเพศของพระศาสนจักรไม่สอดคล้องกับสภาพสังคมปัจจุบัน
ทั้งนี้เนื่องจากปัจจุบันบรรดาเยาวชนสามารถเข้าถึงเรื่องเพศและวัฒนธรรมทางเพศที่ก้าวล้ำได้อย่างอิสระโดยผ่านทางสื่อสมัยใหม่ต่าง ๆ ทำให้พวกเขาเกิดความตึงเครียดและขัดแย้งในตัวเองว่าพวกเขาจะสามารถปฏิบัติตนตามความคาดหวังและคำสอนของพระศาสนจักรในเรื่องของความบริสุทธิ์และเรื่องเพศได้มากน้อยเพียงใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนหนุ่มสาวในปัจจุบันที่เลื่อนเวลาการแต่งงานให้ช้าลง หรือไม่นิยมการแต่งงานเหมือนในอดีต
ผลการวิจัยพบว่าคริสตชนหนุ่มสาวจำนวน 1 ใน 6 (ร้อยละ 17) กล่าวว่า “เคยทำผิดและรู้สึกถูกตัดสินจากพระศาสนจักรเพราะการกระทำนั้น” ประเด็นทางเพศที่เด่นชัดในเยาวชนคาทอลิกที่มีอายุระหว่าง 18-29 ปี จำนวน 2 ใน 5 (ร้อยละ 40 ) กล่าวว่า “คำสอนของพระศาสนจักรเรื่องเพศและการคุมกำเนิดเป็นเรื่องที่ล้าสมัย”
ความคิดเห็นของผู้เขียน
เมื่อท่านไม่มีอะไรที่จะพูดว่า “ทำได้” เกี่ยวกับเรื่องเพศ ท่านก็จะยึดคำสอนของคาทอลิกที่เกี่ยวกับเรื่องเพศที่มักจะบอกว่า “ทำไม่ได้” แต่นี้ไม่ใช่เรื่องที่พระศาสนจักรสอน เราสอนว่า “ไม่” ในเรื่องของการมีความสัมพันธ์ทางเพศก่อนการแต่งงาน การทำแท้ง และบาปอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับเรื่องเพศ แต่เรายังเน้นการสอนเรื่องชีวิต ความบริสุทธิ์ ความสัมพันธ์ที่ดีและถูกต้อง ความสมบูรณ์ทางร่างกายและจิตใจ ฯลฯ แต่ถ้าเยาวชนของเรารู้แต่ห้ามโน้นห้ามนี้ เรื่องอื่น ๆ จึงดูไร้ความหมาย ทางออกสำหรับปัญหานี้คือการสอนเรื่องเพศที่เหมาะสมกับวัยโดยอาศัยพ่อแม่หรือผู้ปกครอง โดยให้มีคำสอนของพระศาสนจักรเรื่องเทววิทยาของร่างกายเป็นพื้นฐาน
เหตุผลที่ 5 – พวกเขาต่อสู้กับกับธรรมชาติของคริสตชนที่มีลักษณะปิดตัวเอง
เหตุผลที่ 5 – พวกเขาต่อสู้กับกับธรรมชาติของคริสตชนที่มีลักษณะปิดตัวเอง
คนหนุ่มสาวอเมริกันได้รักการหล่อหลอมด้วยวัฒนธรรมที่มีความมั่นใจตนเอง เป็นสังคมที่เปิด ใจกว้างและยอมรับกัน นอกจากนั้นยังเป็นคนที่อยู่ในยุคของการผสมผสานในประวัติศาสตร์ของชาติอเมริกาในความหมายที่ว่าทั้ง ชนชาติ เชื้อชาติ เพศ ศาสนา เครื่องมือทางเทคโนโลยี และแหล่งกำเนิดของอำนาจ ผู้ใหญ่ตอนต้นส่วนมากต้องการที่จะมีพื้นที่ส่วนรวมระหว่างกันและกัน บางครั้งแม้แต่จะเป็นเรื่องซุบซิบถึงความแตกต่างระหว่างกัน
เยาวชนคริสตชนจำนวน 3 ใน 10 (ร้อยละ 29) กล่าวว่า “โบสถ์ต่าง ๆ กลัวความเชื่อของลัทธิความเชื่อคนอื่น” และอีกจำนวนหนึ่งรู้สึกว่าโบสถ์ “บังคับให้เลือกระหว่างความเชื่อของฉันกับเพื่อนของฉัน” จำนวน 1 ใน 5 (ร้อยละ 22 ) กล่าวว่า “โบสถ์เป็นเหมือนคลับของหมู่บ้าน ที่มีเฉพาะคนในเท่านั้น”
ความคิดเห็นของผู้เขียน
นี่ไม่ใช่คำสอนของคาทอลิกแน่ๆ แต่เป็นมุมมองของคนต่างความเชื่อที่น่าสนใจ พระศาสนจักรเองประกอบด้วยคนบาปที่สามารถสมาคมหรือหาพื้นที่ร่วมกันกับคนต่างความเชื่ออื่น ๆได้ แน่นอนมีหลักคำสอนบางประการที่ไม่สามารถประนีประนอมได้ ซึ่งเราจำเป็นต้องสอนหลักและยืนยันถึงพื้นฐานความเชื่อนั้น แน่นอนอาจจะมีโบสถ์บางแห่งที่ไม่ค่อยให้การต้อนรับและลำบากที่จะเข้าร่วมกิจกรรม คนของพระเจ้าควรที่จะมองออกไปข้างนอก ไม่ใช่มองกันแต่ภายใน ปัจจุบันปัญหานี้เราพบได้ในวัฒนธรรมที่เปิดรับทุกอย่างมากกว่าความจริง เป็นสัมพันธภาพเชิงจริยธรรม (Relativism) ที่พระศาสนจักรไม่ยออมรับและเราต้องต่อสู้กับปรัชญาที่ผิดๆ นี้ต่อไป
เหตุผลที่ 6 – พระศาสนจักรไม่เป็นมิตรกับบุคคลที่มีความสงสัย
เหตุผลที่ 6 – พระศาสนจักรไม่เป็นมิตรกับบุคคลที่มีความสงสัย
ผู้ใหญ่ตอนต้นมีประสบการณ์กล่าวว่าพวกเขาไม่มีโอกาสหรือพื้นที่ที่อนุญาตให้พวกเขาได้แสดงออกถึงความสงสัยต่าง ๆ พวกเขารู้สึกไม่ปลอดภัยและคนอื่นอาจจะเห็นว่าเรื่องนั้นไม่เป็นสาระ และยังรู้สึกว่าพระศาสนจักรไม่ได้ตอบสนองความสงสัยของพวกเขา หรือถือว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย
ความรู้สึกในเรื่องนี้รวมถึงการที่ “ไม่สามารถถามคำถามที่กดดันชีวิตของฉันในพระศาสนจักร” (ร้อยละ 36) และมี “ความสงสัยที่สำคัญๆ ในด้านความคิดและเหตุผลหรือทางสติปัญญาที่เกี่ยวกับความเชื่อ” (ร้อยละ 23) ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความช่วยเหลือของพระศาสนจักรที่มีกับบรรดาเยาวชนที่รู้สึกอยู่ชายขอบ พวกเขาจำนวน 1 ใน 6 คน (ร้อยละ 18) ที่มีภูมิหลังทางคริสตศาสนากล่าวว่า “ความเชื่อของพวกเขาไม่ได้ช่วยเรื่องความเก็บกดหรือปัญหาด้านอารมณ์อื่นๆ ของพวกเขา”
ความคิดเห็นของผู้เขียน
เรามักจะขายคริสต์ศาสนาให้ผู้อื่นเหมือนยกแผงความคิดให้พวกเขา ดูเหมือนว่าเรามักจะบอกคนอื่นให้ยอมรับความท้าทายของคริสต์ศาสนาทุกอย่าง เราไม่อดทนหรืออดทนเพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่จะให้อิสระคนอื่นได้สงสัย ได้กลัว และสรุปความแตกต่างมากกว่าของเรา เราต้องเปิดใจและอดทนมากขึ้นในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความเก็บกดหรือกดันของผู้อื่น พระเยซูเจ้าไม่ได้ทำให้สานุศิษย์ของพระองค์เป็นคนสมบูรณ์แบบหลังจากที่อยู่กับพวกเขาในเวลาสามปี
เราจะต้องทำอะไร
พระศาสนจักรจะต้องปรับเปลี่ยนหลายเรื่องด้วยกันเพื่อจะได้ตอบสนองต่อบุคคลในวัยนี้อีกครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้าหวังว่า ข้าพเจ้ามีคำตอบทั้งหมดแล้ว และบางทีข้าพเจ้าก็พูดเหมือนว่าได้ปฏิบัติมาแล้ว แต่ความจริงยังไม่ได้ทำ ยิ่งกว่านั้นยังเรียกร้องทุกคน คือ พระศาสนจักรให้กระทำอีกด้วย ดังนั้นเราต้องไม่คอยหรือเรียกร้องให้คนอื่นกระทำ เราเองต้องทำการประกาศข่าวดีให้มากขึ้นและมากขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ นี่คือพันธกิจของพระศาสนจักร คือ จงไปสร้างศิษย์ทั่วแผ่นดินโลก
1. เราต้องการพ่อแม่คาทอลิกที่ดี เมื่อพิจารณาบทบาทของพ่อแม่หรือผู้ปกครอง โบสถ์ต่าง ๆ ควรที่จะให้ความสำคัญเรื่องการฝึกอบรมให้ผู้ที่เป็นพ่อแม่หรือผู้ปกครอง เพื่อให้พวกเขาได้ฝึกอบรมลูกหลายต่อไป นี้เป็นสิ่งที่พระศาสนจักรสาวกได้สอนไว้ คือ หน้าที่การประกาศข่าวดี การเป็นศิษย์ของพระคริสต์ และการฝึกอบรมนี้ควรเน้นไปยังบรรดาผู้ใหญ่ ไม่ใช่แค่เด็ก ๆ แต่โบสถ์ของเรากลับทำตรงกันข้าม ถ้าเราได้ผู้ใหญ่ เราก็จะได้เด็ก ๆ ด้วย
2. เราต้องการศาสนบริการเยาวชนที่ฝึกอบรมพวกเขาให้เป็นศิษย์พระคริสต์ที่ดีกว่านี้ เมื่อพูดว่าการฝึกอบรม ไม่ได้หมายความว่าการนั่งเรียนอยู่ในห้อง นั้นเพียงพอแล้ว เมื่อเราสอนเรื่องความยุติธรรมในสังคม เราต้องให้เขาได้เรียนรู้จากปรากฏการณ์จริง เมื่อสอนเรื่องเพศให้นำแบบอย่างของคู่สมรสหนุ่มสาวมาเป็นกรณีศึกษา เมื่อสอนเรื่องการที่พระเจ้าเสด็จลงมาบังเกิดเป็นมนุษย์ (Incarnation) ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่สุด เราต้องพวกเขานมัสการพระเจ้า สอนเขาให้ภาวนา สอนเขาให้รักพระเยซู ไตร่ตรองพระคัมภีร์อยู่เสมอ และต้องทำอย่างซ้ำแล้วซ้ำเล่า ขอเน้นว่าการอภิบาลเยาวชนเช่นนี้มีหลายคนหลายแห่งได้ทำแล้ว แต่อีกหลายคนและหลายแห่งยังไม่ได้ทำ
3. เราต้องการศาสนบริการเยาวชนหรือศูนย์เยาวชนที่ดีกว่านี้ เรามีศูนย์เยาวชนหรือหน่วยงานที่รับผิดชอบเยาวชนทุกเขต แต่เราได้ทำอะไรกันบ้าง เรามีศูนย์เยาวชนที่เข้มแข็งถึงร้อยละ 50 หรือไม่
4. เราต้องการศาสนบริการผู้ใหญ่ตอนต้นมากขึ้น ไม่ใช่แค่กลุ่มสำหรับเยาวชนที่ยังไม่ได้แต่งงานเท่านั้น แต่คู่แต่งงานหนุ่มสาวก็ควรมีกลุ่มเพื่อการอภิบาลด้วย
5. สุดท้าย เราต้องการบุคลากรที่ทุ่มเททำงานเพื่อเยาวชน บุคคลที่พร้อมที่จะเดินเคียงข้างกับพวกเขา เป็นที่ไว้วาใจ พาพวกเขาให้พร้อมจะกลับใจ ช่วยพวกเขาให้ติดตามพระคริสต์ ฯลฯ นี้เป็นงานที่ยากลำบาปและต้องใช้เวลา แต่นี้เป็นคำสอนขององค์พระผู้เป็นเจ้าที่ให้พวกเราได้นำไปปฏิบัติ