ใครว่าครูคำสอนไม่สำคัญ ?
หาก “ครู” เป็นบุคคลที่สำคัญรองจากพ่อแม่ในการอบรมสั่งสอนลูกหลานเยาวชน “ครูคำสอน” ก็เป็นบุคคลสำคัญรองจากพระสงฆ์ และนักบวชในการสอนคำสอนแก่เด็ก เยาวชน และผู้ใหญ่คาทอลิก และผู้สนใจศาสนาคริสต์ของเรา
ในหนังสือประวัติการเผยแพร่คริสตศาสนาในสยามและลาว บาทหลวงโรแบต์ โกสเต เขียน อรสา ชาวจีน แปลและเรียบเรียง (สื่อมวลชนคาทอลิกประเทศไทย กรุงเทพๆจัดพิมพ์ พ.ศ.2549/2006 ,725 หน้า) ได้กล่าวถึงครูคำสอนหลายตอน เช่น
"ในสมัยกรุงศรีอยุธยา ครูสอนหนังสือและครูคำสอนมักเป็นคนเดียวกัน... ครูคำสอนในฐานะเป็นผู้ร่วมงานของศาสนบริกรแห่งพระวาจา มีความสำคัญเป็นพิเศษ มีการกำหนดหลักเกณฑ์การคัดเลือก พร้อมทั้งภาระหน้าที่ ครูคำสอนต้องได้รับการอบรมจากสามเณราลัย และจะเลือกผู้ที่เหมาะสมบางคนจากคนเหล่านี้เพื่อบวชเป็นพระสงฆ์" (หน้า 97)
พระสงฆ์ธรรมทูตสมัยแรกที่พูดภาษาท้องถิ่นยังไม่ได้ " เมื่อพระสงฆ์ออกไปตามที่ต่างๆ จะมีครูคำสอนหนึ่งหรือหลายคนติดตามไปด้วยเสมอ บางครั้งจะส่งครูคำสอนไปตามลำพัง ชุมชนคริสตังบางแห่งที่ไม่มีพระสงฆ์ประจำอยู่ จะมีแต่ครูคำสอนเท่านั้น…บางครั้งเราไม่ค่อยเห็นความสำคัญ และคุณความดีของครูคำสอน ที่ทำงานประกาศพระวรสาร และอบรมสั่งสอนคริสตัง ดังนั้น เมื่อเห็นบทบาทของพวกเขาในมิสซัง จึงเห็นว่าจำเป็นต้องอบรมครูคำสอนเหล่านี้อย่างเหมาะสม" (หน้า 434)
ข้าพเจ้า (ผู้เขียน) เป็นครูและครูคำสอน 25 ปี ตระหนักดีถึงศักดิ์ศรีของครูคำสอนที่พระเจ้าทรงมอบให้ ข้าพเจ้าประทับใจ บุญราศีสมเด็พระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่ 2 ที่ตรัสถึงบรรดาครูคำสอน ในสมณสาส์นเตือนใจเรื่องการสอนคำสอนในปัจจุบัน ได้กล่าวถึงความสำคัญของครูคำสอนว่าดังนี้ “ ข้าพเจ้าขอกล่าวขอบคุณบรรดาครูคำสอนตามวัดต่างๆ ทั้งชายและหญิงจำนวนมากซึ่งทำงานอยู่ทั่วโลกและกำลังอุทิศตนเพื่อให้การอบรม ศาสนธรรมรุ่นต่างๆ งานของพวกท่านดูว่าเป็นงานต่ำต้อยและไม่มีใครเห็น แต่กระนั้นก็ดี ท่านก็ยังทำด้วยความร้อนรนและความยินดี นี่แหละแบบฉบับที่เด่นมากของฆราวาสแพร่ธรรม ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งยวดสำหรับเด็กและเยาวชนที่ขาดการอบรมด้านศาสนาอย่างเหมาะสมในบ้านของพวกเขาด้วยสาเหตุต่างๆมีคริสตชนจำนวนเท่าใดแล้วที่ได้รับความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับคำสอนคาทอลิก การเตรียมตัวรับศีลอภัยบาป ศีลมหาสนิท ครั้งแรกและศีลกำลังจากครูคำสอน...ข้าพเจ้าร่วมกับการประชุมสมัชชาพระสังฆราชครั้งที่ 4 มิได้ลืมความสำคัญของท่าน ขอให้กำลังใจแก่พวกท่านในการทำงานเพื่อชีวิตของพระศาสนจักรต่อไป” (สมณสาส์นเตือนใจฯ ข้อ 66)
กระแสเรียกของฆราวาสในด้านการสอนคำสอน มาจากศีลล้างบาปได้รับการเสริมพลังด้วยการรับ ศีลกำลัง พวกเขาจึงมีส่วนร่วมใน “งานศาสนบริการของพระคริสตเจ้าในฐานะสงฆ์ ประกาศก และกษัตริย์” นอกเหนือจากกระแสเรียกทั่วไป ให้ทำงานแพร่ธรรมแล้ว ฆราวาสบางคนได้รับการเรียกเป็นพิเศษให้มาเป็น ครูคำสอน ซึ่งได้รับการเรียกจากพระจิตเจ้ามาสู่พันธกิจของพระศาสนจักรภายใต้การนำของพระสังฆราช และเป็นผู้ประสานงานอย่างพิเศษกับกิจกรรมแพร่ธรรมของพระศาสนจักร(คู่มือแนะแนวการสอนคำสอนในประเทศไทย ข้อ 140) ครูคำสอนจึงเป็นผู้ที่ถูกเรียกมาเพื่อร่วมงาน และติดตามองค์พระเยซูเจ้าเปรียบเสมือนเป็นประกาศก ครูและผู้อบรมสั่งสอน ประกาศข่าวดีของพระองค์ (เทียบ Orientamenti e Itinerari di Formazione dei Catechisti หน้า 37) ดังนั้น “ครูคำสอนเป็นผู้ที่ได้รับการแต่งตั้ง และถูกส่งไปจากพระคริสตเจ้า” เพื่อทำงานในท่ามกลางพระศาสนจักร (เทียบ La Formazione di Catechisti nella Comunita Cristiana Orientamenti Pastorali ข้อที่ 12) ดังนั้นกระแสเรียกของครูคำสอนจึงมีคุณลักษณะ ดังนี้
1.ครูคำสอนคือผู้ที่ได้รับการเรียกจากพระศาสนจักร
คริสตชนทุกคนได้รับการเรียกตั้งแต่รับศีลล้างบาป ในการทำหน้าที่แพร่ธรรม การเป็นครูคำสอนเป็นการเรียกอย่างหนึ่งที่พระเป็นเจ้าทรงเรียกด้วยความรัก เป็นพระหรรษทานที่พระเป็นเจ้าประทานให้เรา เพราะฉะนั้นครูคำสอนต้องตอบรับการเรียกของพระเป็นเจ้า และรับใช้พระเป็นเจ้าโดยการดำรงชีวิตเป็นพยานถึงพระคริสตเจ้าพระผู้ช่วยให้รอด ครูคำสอนเป็นผู้สอนและอบรมพี่น้องคริสตชนในความเชื่อโดยการประกาศพระวรสาร (เทียบ Il Rinnovamento della Catechesi ข้อที่ 185)
2.ครูคำสอนคือผู้ที่ได้รับการเรียกเพื่อประกาศพระวาจาของพระเป็นเจ้า
ครูคำสอนคือผู้ที่ได้รับการเรียกเพื่อประกาศพระวาจาของพระเป็นเจ้า ครูคำสอนไม่เพียงแต่เป็นผู้ที่ดำรงชีวิตที่สมบูรณ์ในความเชื่อแต่เพียงฝ่ายเดียว แต่ต้องเป็นผู้ให้กับผู้อื่น “ ...จงพร้อมเสมอที่จะให้คำอธิบายแก่ทุกคนที่ต้องการรู้เหตุผลแห่งความหวังของท่าน จงอธิบายด้วยความอ่อนโยน และด้วยความเคารพอย่างบริสุทธิ์ใจ...”( เทียบ 1 เปโตร 3: 15-16)
การประกาศพระวาจาของพระเป็นเจ้า ก็เป็นการประกาศแผนการแห่งความรอดตามเรื่องราวใน พระคัมภีร์ ครูคำสอนต้องถ่ายทอดความเชื่อ คือ ข้อความเชื่อ พระบัญญัติพระเป็นเจ้า พิธีกรรม การภาวนาและเป็นพยานแห่งความเชื่อ ความรัก และเมตตาโดยยกตัวอย่างจากนักบุญทั้งหลาย ซึ่งท่านเหล่านั้นได้ดำรงชีวิตเป็นแบบอย่างที่ดีแห่งความเชื่อ และครูคำสอนเป็นผู้ที่สอนการตีความหมายตามพระคัมภีร์ ซึ่งพระเป็นเจ้าทรงเปิดเผยแก่มนุษย์ เพราะฉะนั้นครูคำสอนเปรียบเสมือนเป็นผู้สอนและผู้อบรมให้กับผู้รับฟังพระวาจาของพระเจ้า (เทียบ Formazione Catechista in Italia negli Anni Ottanto หน้า 40,50)
3. ครูคำสอนคือผู้ที่รับใช้และปฏิบัติตามพระวาจาของพระเป็นเจ้า
พระศาสนจักรสอนให้เขากล่าว พระวาจาแห่งการช่วยให้รอด ถ่ายทอดคำสอนที่ได้รับ ฝากมอบอำนาจที่ได้รับและใช้เขาไปเทศน์สอนมิใช่เรื่องตัวของเขา หรือความคิดส่วนตัวของเขา (เทียบ 2 คร 4: 5) แต่เทศน์สอนพระวาจาซึ่งเขาเองหรือพระศาสนจักรมิใช่นายสูงสุดหรือเจ้าหน้าที่บ่งการสิ่งใดตามใจชอบ แต่เป็นผู้รับใช้ที่จะถ่ายทอดต่อไปด้วยความซื่อสัตย์ (เทียบ การประกาศพระวรสารในโลกปัจจุบัน ข้อ 15) พระเยซูเจ้าได้ตรัสว่า “ผู้ใดฟังท่าน ผู้นั้นฟังเรา” (เทียบ ลูกา 10: 16) และ “มนุษย์มิได้ดำรงชีวิตด้วยอาหารเท่านั้น แต่ดำรงชีวิตด้วย พระวาจาทุกคำที่ออกจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า” (เทียบ มัทธิว 4:4) อย่างไรก็ดี ในการพบปะแต่ละครั้งในกลุ่มผู้เรียนคำสอนกับครูผู้สอนคำสอน ก็เหมือนกับพระเยซูเจ้าทรงเทศนาในโรงธรรมที่นาซาเร็ธ คือ ครูคำสอนต้องเป็นผู้ประกาศข่าวดีให้กับเด็กๆ และกลุ่มผู้เรียนคำสอน เพราะฉะนั้นสำหรับครูคำสอนควรจะเป็นผู้ที่เรียนรู้อย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับพระวจนะของพระเจ้า เพื่อนำพระวาจาของพระเจ้านั้นเผยแพร่กับคริสตชนต่อไป (เทียบ Il Minister del Catechista หน้า 35-35, 39-41,48)
อนึ่ง ในหนังสือคู่มือแนะแนวการสอนคำสอนในประเทศไทย ข้อ 144 ได้กล่าวถึงครูคำสอนว่าเป็น ศาสนบริกรที่สำคัญของพระศาสนจักรด้วยเช่นกัน ดังนั้นครูคำสอนจึงควรมีคุณลักษณะ ดังต่อไปนี้
ก. ครูคำสอนจะต้องเป็นผู้มีอุดมคติ ที่ว่า “การทำให้ชีวิตศักดิ์สิทธิ์ในขณะที่ดำเนินชีวิตเยี่ยงฆราวาส แพร่ธรรม” (LG 41) ตามหลักการและที่มาของเอกลักษณ์ครูคำสอนคือ“พระบุคคลของพระคริสตเจ้าเอง” (คู่มือครูคำสอน 20)
ข. ตอบรับการเรียกของพระเจ้า ด้วยความเสียสละ และใช้ความสามารถต่างๆ มิใช่เพื่อสอนคำสอนผู้อื่นเท่านั้นแต่เพื่อพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่องในด้านความเชื่อ
ค. ครูคำสอนต้องอุทิศตนเป็นพยานถึงข่าวดีของพระคริสตเจ้า โดยแบ่งปันความเชื่อ ด้วยความเชื่ออย่างมั่นคง ด้วยความรักความยินดี ความกระตือรือร้นและความหวัง “จุดหมายสูงสุด และหัวใจของการฝึกอบรมการสอนคำสอนอยู่ที่ความพร้อมที่จะเรียนรู้ และความสามารถที่จะสื่อสารสารแห่งพระวรสาร” (GDC 235) สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้เมื่อครูคำสอนเชื่อในพระวรสาร และถ่ายทอดออกมาด้วยชีวิต
ง. อุทิศตนเพื่อพระศาสนจักร และรับใช้ชุมชน เพียรพยายามกระทำตนให้เป็นเครื่องมือที่มีคุณภาพของพระเจ้า และเป็นเครื่องหมายถึงการประทับอยู่ของพระจิต
จ. มีความรู้ ทักษะ และความสามารถ แม้ครูคำสอนจะได้รับการเตรียมอย่างดีในศาสนบริการด้าน คำสอน แต่ถ้าปราศจากการกระทำของพระจิตเจ้า สิ่งเหล่านี้ก็ไร้ความหมาย
ดังนั้น ครูคำสอนจึงควรแสวงหาความรู้จากพระคัมภีร์ ศึกษาพระคัมภีร์เป็นประจำเพื่อให้เกิดทักษะ เป็นผู้นำการแบ่งปันพระวาจา มีจิตภาวนา และเติบโตในความเชื่อตามวัยในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม
อย่างไรก็ดี ในหนังสือคู่มือการสอนคำสอนในประเทศไทย ข้อ 142-143 ยังได้กล่าวถึงครูคำสอนว่าเป็นบุคคลสำคัญในงานสร้างชุมชนคริสตชนกลุ่มย่อย ช่วยงานคำสอนในเขตวัดและสถาบันการศึกษา ดังนั้น งานคำสอนและงานอภิบาลจะบังเกิดผลสำเร็จเพียงใด ขึ้นอยู่กับการดำเนินชีวิตที่ดีของครูคำสอนมากกว่าวิธีการและสื่ออุปกรณ์ ฉะนั้น การเป็นครูคำสอน หมายถึง
(1) การตอบรับกระแสเรียกให้เป็น “พยานถึงพระวรสาร” เป็นผู้ร่วมงานในพระคริสตเจ้า
(2) การตอบรับกระแสเรียกเป็น “ธรรมทูตและผู้ประกาศข่าวดี” โดยร่วมมือและประสานสัมพันธ์ภายใต้สายงานและการแนะนำของผู้รับผิดชอบ
(3) การมี “ส่วนร่วมรับผิดชอบงานคำสอนผู้ใหญ่ คำสอนเยาวชน คำสอนเด็ก” ทั้งในด้านการอบรม การเป็นพยานชีวิตศีลธรรมที่ดีงาม และมีชีวิตที่สนิทสัมพันธ์กับพระคริสตเจ้าในการภาวนา
(4) ผู้ที่เต็มใจ “อุทิศตนเพื่อพระศาสนจักร” ด้วยความซื่อสัตย์ซื่อสัตย์ต่อพระเจ้า และรับใช้ชุมชน ตามจิตตารมณ์พระวรสาร และได้จำแนกครูคำสอนตามลักษณะงานคำสอนในบริบทของประเทศไทยได้ 3 ประเภท เพื่อให้การอบรม ช่วยเหลือ สนับสนุนให้ครูคำสอนปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังต่อไปนี้
1) ครูคำสอนอาชีพ (Professional/ fulltime Catechists) คือผู้ได้รับการอบรม และสำเร็จการศึกษาจากสถาบันที่พระศาสนจักรรับรองและได้รับการแต่งตั้งจากพระสังฆราชหรือพระสงฆ์ เพื่อทำงานด้าน คำสอนเต็มเวลา
2) ครูคำสอน (Part-time Catechists) คือครู หรือคริสตชนฆราวาสที่ได้รับการอบรมด้านคำสอน ได้รับการแต่งตั้งและได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่สอนคำสอนในโรงเรียน หรือวัด
3) ครูคำสอนอาสาสมัคร (Volunteer Catechists) คือคริสตชนฆราวาสที่อาสาสมัครช่วยงานคำสอนหรือสมาชิกองค์กรคาทอลิกต่างๆฆราวาสแพร่ธรรม พลมารี โฟโคลาเร ผู้อ่านพระคัมภีร์ ผู้นำสวดประจำหมู่บ้านในบางสังฆมณฑล ฯลฯ
อนึ่ง พระศาสนจักรในประเทศไทย ได้ตระหนักถึงการพัฒนาบุคลากรครูฆราวาส และนักบวช ให้มีโอกาสศึกษาด้านศาสนา และเทววิทยามากยิ่งขึ้นด้วยเช่นกัน
ดังนั้น สภาพระสังฆราชคาทอลิกแห่งประเทศไทย โดยมีคณะกรรมการคาทอลิกเพื่อคริสตศาสนธรรม แผนก คริสตศาสนธรรมจึงร่วมมือกับวิทยาลัยแสงธรรม ดำเนินการเปิดหลักสูตรคริสตศาสนศึกษาโดยทบวงมหาวิทยาลัยอนุมัติให้ดำเนินการเปิดหลักสูตรนี้ได้ตั้งแต่ ปีการศึกษา 2543 โดยเป็นหลักสูตร 4 ปี ผู้ที่จบการศึกษาจะได้รับปริญญาตรี ศิลปศาสตรบัณฑิต คณะศาสนศาสตร์ สาขาวิชาคริสตศาสนศึกษา (Bachelor of Arts: Christian Studies)
และสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา มีมติให้รับรองมาตรฐานการศึกษาสาขาวิชานี้ เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2545 เป็นต้นมา ดังนั้นจึงเป็นการพัฒนากระแสเรียกการเป็นครูคำสอนให้มีคุณภาพทั้งในด้านชีวิตจิตครูคำสอน ความรู้ด้านเทววิทยา ด้านคริสตศาสนธรรม ทักษะและวิธีการสอนในบริบทสังคมไทยด้วย ซึ่งมีบัณฑิต ครูคำสอน จบการศึกษาไปแล้ว 8 รุ่น จำนวน 110 คน ซึ่งได้รับใช้พระศาสนจักรท้องถิ่นและส่วนรวมในฐานะฆราวาส นักบวช จึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเราต้องช่วยกันเสริมสร้างกระแสเรียกการเป็นครูคำสอนให้มีคุณภาพและจำนวนมากขึ้น เพื่อรับใช้พระศาสนจักรในประเทศไทยต่อไป ปัจจุบันมีนักศึกษา ชั้นปี 1-4 จำนวน 93 คน
ในบทความนี้ ข้าพเจ้าได้สัมภาษณ์ครูคำสอนจำนวน 5 ท่าน เกี่ยวกับ “เส้นทางกระแสเรียกการเป็นครูคำสอน” เพื่อแบ่งปันชีวิตกระแสเรียกการเป็นครูคำสอนของพวกเขา ในโอกาสนี้ด้วย
1. อันนา ทิพย์วัลย์ กิจสกุล อายุ 70 ปี สอนคำสอน 51 ปี
ปัจจุบัน เป็นครูคำสอนอาสาสมัคร อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ
สอนคำสอนผู้ใหญ่ที่วัดพระมารดานิจจานุเคราะห์ คลองจั่น (ตั้งแต่ปี 2543 – ปัจจุบัน)
สอนวิธีการสอนคำสอนอนุบาล ที่ศูนย์คำสอนแม่ริม สังฆมณฑลเชียงใหม่
สอนคำสอนกลุ่มชาติพันธุ์ (ผู้ใหญ่และเยาวชน) วัดนักบุญสเตเฟน สังฆมณฑลเชียงใหม่
ร่วมเป็นกลุ่มแพร่ธรรมเคลื่อนที่ออกเยี่ยมตามบ้านของสังฆมณฑลสุราษฎร์ธานี
เส้นทางกระแสเรียกการเป็นครูคำสอน
เกิดจากการเห็นแบบอย่างและประทับใจการปฏิบัติตนของบรรดามิชชันนารีที่เสียสละ อุทิศตนในการสอนคำสอน และช่วยเหลือในยามเดือดร้อน เช่น พระสังฆราชวังกาแวร์ พระสังฆราชลังเยร์ และ คุณพ่อกูตัง จึงทำให้ตระหนักถึงความรักที่พระทรงมีต่อเรามากมายผ่านทางมิชชั่นนารีเหล่านี้ จึงพร้อมที่จะประกาศความรักของพระให้โลกรู้ และมีความสุขทุกครั้งที่ได้แบ่งปันความรักของพระให้กับผู้อื่น
2. มาการีตา กมลา สุริยพงศ์ประไพ อายุ 46 ปี สอนคำสอน 19 ปี
ปัจจุบัน เป็นครูสอนคำสอนเต็มเวลาที่วัดและโรงเรียนนักบุญเปโตร
ตำแหน่ง ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายจิตตาภิบาล โรงเรียนนักบุญเปโตรอัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ
เส้นทางกระแสเรียกการเป็นครูคำสอน
ก่อนอื่นใด ขอขอบพระคุณพระเจ้า ที่พระองค์ได้ทรงเลือกข้าพเจ้าให้เป็นครูคำสอน จากครูคนหนึ่งที่ไม่ได้มีความรู้มากมาย ไม่ได้มีโอกาสได้สอนคำสอน เนื่องจากมีหน้าที่อื่นในโรงเรียนที่ต้องรับผิดชอบ แต่มีโอกาสได้ช่วยกลุ่มกิจกรรมพลศีล ที่ได้มาเริ่มก่อตั้งเป็นครั้งแรกที่โรงเรียน กระแสเรียกการเป็นครูคำสอนจึงได้เริ่มต้นอย่างชัดเจน เมื่อมีโอกาสไปศึกษาต่อด้านคำสอนที่กรุงโรม จึงสัมผัสได้ว่าพระทรงเตรียมตัวข้าพเจ้าในหลายๆ ด้านสำหรับงานของพระองค์ เมื่อจบการศึกษาแล้ว ก็ได้ทำหน้าที่ครูคำสอนเต็มเวลา ได้รับการสนับสนุนอย่างดีจากคุณพ่อเจ้าวัดทุกองค์ มีเพื่อนร่วมงานที่ดี ที่ช่วยกันทำงานในด้านการสอนคำสอนและงานอภิบาลทั้งที่วัดและโรงเรียน ทำงานกันแบบไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย สิ่งที่ภูมิใจและดีใจก็คือ ได้มีโอกาสทำงานอภิบาลพี่น้อง คริสตชนในวัดและหมู่บ้านของตนเอง โดยแฉพาะกับบรรดาเด็ก ๆ และเยาวชน ในเรื่องจิตวิญญาณ เมื่อเราอุทิศตนอย่างเต็มกำลังของเรา เพื่องานของพระองค์แล้ว พระพรของพระจะเต็มที่สำหรับชีวิตของเราเช่นกัน ชีวิตที่มีความสุข มีพระพรสู่สมาชิกในครอบครัว บางครั้งมีปัญหาบ้างแต่ก็มีความมั่นใจอยู่เสมอว่าพระจะทรงดูแลเรา “พระเจ้าทรงบันดาลให้ทุกสิ่งกลับเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่รักพระองค์” (รม 8:28) และก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ
3.เปโตร ทรงพล ศรีวิโรจน์ อายุ 53 ปี สอนคำสอน 14 ปี
ปัจจุบัน เป็นครูคำสอน โรงเรียนเซนต์โยเซฟเพชรบุรี สังฆมณฑลราชบุรี
เส้นทางกระแสเรียกการเป็นครูคำสอน
เริ่มจากการเรียนคำสอน และมีความรักพระตั้งแต่เด็ก วัยรุ่น และผู้ใหญ่ ดังนั้นความรัก
จึงเป็นอันดับหนึ่ง ตามด้วยความสนิทสัมพันธ์กับพระเจ้า คือ การสวดภาวนา ร่วมพิธีบูชาขอบพระคุณ อ่านหนังสือศรัทธา และหนังสือที่ดีที่สุดในชีวิตของผมก็คือพระคัมภีร์ ในชีวิตการเป็นครูคำสอนยังคงมีปัญหาและอุปสรรค ดังนั้นจึงต้องมีความอดทนด้วย และการเป็นแบบอย่างที่ดี (ด้วยความคิด คำพูดและการกระทำ) ความเสียสละ (ทุกเวลาเช้า เที่ยง เย็น ในวันที่มีเวลาผมต้องหาช่องทางสอนคำสอน เหนื่อยแต่มีความสุข) สิ่งเหล่านี้ช่วยหล่อหลอมทำให้ผมทำหน้าที่ในการเป็นครูคำสอนที่ดี ผมยังคงก้าวเดินต่อไปไม่รู้ว่าข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ขอฝากไว้กับ องค์พระผู้เป็นเจ้า พระบิดาผู้ใจดี ขอขอบพระคุณพระเจ้า
4.ฟิลิป (อัครสาวก) ถาวร กัมพลกูล อายุ 48 ปี ทำงานด้านคำสอน 25 ปี สังฆมณฑลเชียงใหม่
ปัจจุบัน - เป็นเจ้าหน้าที่ศูนย์ประสานงานแพร่ธรรมสังฆมณฑลเชียงใหม่ ปี พ.ศ. 2539 – ปัจจุบัน
( ฝึกอบรมด้านคำสอนแก่ครูคำสอน ผู้นำคริสตชนประจำหมู่บ้าน และเยาวชนศูนย์คาทอลิก
- สอนภาษาท้องถิ่น (ปกาเกอะญอ) แก่ผู้รับการฝึกอบรมเป็นครูคำสอน ศูนย์คำสอนสังฆ มณฑลเชียงใหม่ (แม่ริม)
- ปี พ.ศ. 2530-2533 เป็นผู้ช่วยผู้อำนวยการศูนย์คำสอนสังฆมณฑลเชียงใหม่
- ปี พ.ศ. 2534-2538 เป็นผู้ประสานงานคณะกรรมการคาทอลิกเพื่อกลุ่มชาติพันธุ์สภาพระสังฆราชแห่งประเทศไทย
- ปี พ.ศ. 2539 –2550 เป็นครูผู้สอนพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมที่ศูนย์คำสอนสังฆมณฑลเชียงใหม่ (แม่ริม)
เส้นทางกระแสเรียกการเป็นครูคำสอน
ผมเชื่อว่ากระแสเรียกมาจากพระประสงค์ของ พระผู้เป็นเจ้า โดยผ่านทางบุคลลต่าง ๆ อันดับแรกคือบิดามารดาที่อนุญาตให้ผมออกจากหมู่บ้านไปศึกษาที่ศูนย์แม่ปอน ซึ่งมีอายุเพียง 8 ปี บุคคลต่อมาคือคุณพ่อโยเซฟ เซกีน็อต และคุณพ่อยอห์นบัปติสต์ โบนาต์ ที่คัดเลือกผมไปศึกษาต่อที่เชียงใหม่ และ คุณพ่อนิพจน์ เทียนวิหาร ที่แนะนำให้ไปเรียนต่อที่ศูนย์ฝึกอบรม ผู้สืบทอดเจตนารมณ์ (ศูนย์คำสอนสังฆมณฑลเชียงใหม่) และจากการศึกษาอบรมเรื่องศาสนา วัฒนธรรม และสังคม มาตั้งแต่เด็กจนเป็นผู้ใหญ่ ทำให้ผมเห็นว่า สังคมชนเผ่า สังคมชนบท ยังถูกเอารัดเอาเปรียบ ถูกทอดทิ้ง ไม่ได้รับการเอาใจใส่เท่าที่ควร ถูกดูถูกเหยียดหยาม ไร้การศึกษา ฯลฯ ด้วยเหตุนี้ ในฐานะที่ผมได้มีโอกาสได้เรียนหนังสือและพระธรรมคำสอนมากกว่าคนอื่นๆ ดังนั้นผมจึงเลือกที่จะเป็นครูคำสอนเพื่อการทำงานประกาศข่าวดี หรือ การสอนคำสอน ช่วยเหลือเพื่อนพี่น้องให้อยู่ระดับที่เหมาะสมกับการเป็นบุตรขององค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างแท้จริง
5.มารีอา กฤติยา อุตสาหะ อายุ 29 ปี สังฆมณฑลราชบุรี
ปัจจุบัน เจ้าหน้าที่ศูนย์คริสตศาสนธรรม สังฆมณฑลราชบุรี (ตั้งแต่ ปี 2547-ปัจจุบัน)
และกำลังศึกษาต่อด้านงานอภิบาลและงานคำสอนธรรมทูต คณะการแพร่ธรรม มหาวิทยาลัยอูร์บาเนียนา กรุงโรม ประเทศอิตาลี
เส้นทางกระแสเรียกการเป็นครูคำสอน
เริ่มจากพื้นฐานครอบครัวที่แม่พาไปวัดทุกวัน จึงทำให้มีความผูกพันกับวัดตั้งแต่ตอนเป็นเด็ก ชอบเรียนคำสอนเพราะรู้สึกว่าเป็นวิชาที่เข้าใจง่าย และมีความสุขทุกครั้งที่ได้เรียน หลังจากจบมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 6 ก็ได้รับแรงบันดาลใจอยากทำงานคำสอน เพราะคิดว่า ถ้าทำงานด้านนี้ เราก็ได้พูดในสิ่งที่เราเชื่อ ซึ่งเป็นสิ่งอยากทำอยู่ลึกๆในใจ
ต่อมาในปี 2543 (ค.ศ. 2000) วิทยาลัยแสงธรรมได้เปิดสาขาศึกษาคริสตศาสนศึกษา จึงได้รับทุนการศึกษาจากสังฆมณฑลราชบุรี ไปศึกษาในสาขาวิชาฯนี้ ในระดับปริญญาตรี ซึ่งเป็นบัณฑิตครูคำสอนรุ่นแรก ปี พ.ศ. 2547 และเข้าทำงานที่ศูนย์คริสตศาสนธรรม สังฆมณฑลราชบุรี ฝ่ายงานวิชาการและฝ่ายงานยุวธรรมทูต เป็นเวลา 4 ปีหลังจากนั้นได้ไปศึกษาต่อที่ประเทศอินเดีย ด้านเทววิทยาเบื้องต้น 3 เดือน และไปศึกษาต่อระดับปริญญาโทด้านคำสอนและการแพร่ธรรมที่กรุงโรม ประเทศอิตาลี ตั้งแต่ปีการศึกษา 2552-2554 และจะกลับมารับใช้พระศาสนจักรในงานคำสอนและการแพร่ธรรม ตามที่ผู้ใหญ่มอบหมายต่อไป
จากบทสัมภาษณ์ครูคำสอนเหล่านี้ จะเห็นว่าครูคำสอนแต่ละท่าน ได้รับกระแสเรียกในการเป็น ครูคำสอนที่แตกต่างกันไป ได้รับแรงบันดาลใจและการสนับสนุนจากครอบครัว บรรดามิชชันนารี พระสังฆราชพระสงฆ์และบุคคลต่างๆ และแต่ละคนก็น้อมรับในการทำหน้าที่ครูคำสอนด้วยใจยินดี และพร้อมที่จะติดตามพระองค์ตลอดไป แม้ว่าจะมีความยากลำบากบ้าง แต่ก็มีพระเจ้าอยู่เคียงข้างเสมอ ครูคำสอนแต่ละท่านก็พร้อมที่จะทำหน้าที่ในการประกาศพระวาจาของพระองค์ สอนคำสอน แบ่งปันความเชื่อ ความรักของพระเจ้า เอาใจใส่ด้านจิตวิญญาณ ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ช่วยเหลือเพื่อนพี่น้อง ฯลฯ ให้กับคริสตชนและผู้สนใจในชุมชน เขตวัด โรงเรียนและในทุกหนทุกแห่ง ทำงานด้วยความเสียสละ อดทน เป็นแบบอย่างที่ดี และไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย และก้าวเดินต่อไปเพื่องานของพระองค์เสมอ
ข้าพเจ้าขอเป็นกำลังใจให้กับครูคำสอนทุกท่าน ที่ทำหน้าที่ในกระแสเรียกครูคำสอนที่ได้รับด้วยความเสียสละ และขอพระเป็นเจ้าโปรดตอบแทนน้ำใจดีของครูคำสอนทุกท่านเสมอ
ดังนั้น ข้าพเจ้าขอสรุปบทความนี้ด้วย “คำขวัญวันครูคำสอนไทย” ซึ่งพระสังฆราชวีระ อาภรณ์รัตน์ ประมุขสังฆมณฑลเชียงใหม่และประธานคณะกรรมการคาทอลิกเพื่อคริสตศาสนธรรม แผนกคริสตศาสนธรรม สภาพระสังฆราชฯ ได้กล่าวไว้ในสารคำสอน ปีที่ 22 ฉบับที่ 51 วันที่ 16 ธันวาคม 2553 (โอกาสวันครูคำสอนไทย) ว่า “ครูคำสอน เป็นบุคลากรสำคัญกลุ่มหนึ่ง ไม่ว่าท่านจะเป็นครูคำสอนเต็มเวลา ครูคำสอน (บางเวลา) ในโรงเรียน ในเขตวัด และครูคำสอนอาสาสมัคร พี่น้องพระสงฆ์และนักบวช ควรส่งเสริมกระแสเรียกครูคำสอนเหมือนอย่างที่ท่านได้รับการส่งเสริม โปรดคัดเลือกเยาวชนให้รับการอบรมเป็นครูคำสอน ในโรงเรียน และในสังฆมณฑลของตน จะได้มีทายาทครูคำสอนปฏิบัติหน้าที่สืบไป ท่านควรจัดการพบปะ ภาวนา ร่วมมิสซา เยี่ยมเยียน ให้กำลังใจ และฟื้นฟูจิตใจ แก่ครูคำสอนเป็นพิเศษ เพราะพวกเขาเป็นฆราวาส มีครอบครัว ต้องการความเข้าใจ กำลังใจ การให้เกียรติ และความเอาใจใส่จากพระศาสนจักร เพื่อร่วมงานกับเรา พ่อขอขอบใจที่ท่านเลือกและสมัครใจเป็นครูคำสอน ขอพระเป็นเจ้าโปรดอวยพรให้ท่านกล้าเป็นครูคำสอนแบบอย่างที่ดีแก่เด็กและเยาวชนยุคปัจจุบัน”
ในเมื่อ “ครูคำสอนเป็นกระแสเรียกหนึ่ง” ที่ถูกเรียกมาเพื่อร่วมงานและติดตามองค์พระเยซูเจ้าเปรียบเสมือนเป็นประกาศก ครูและผู้อบรมสั่งสอน ประกาศข่าวดีของพระองค์ และอุทิศตนเพื่อพระศาสนจักรแล้ว
ท่านล่ะ “คิดว่าครูคำสอนสำคัญหรือไม่”