ศูนย์คริสตศาสนธรรมสังฆมณฑลราชบุรี
CATECHETICAL CENTER OF RATCHABURI DIOCESE

คริสตชนมีหน้าที่อย่างไรต่อสังคมที่ตนอาศัยอยู่คำสอนพระศาสนจักร
เรื่อง หน้าที่ของคริสตชนต่อสังคม
คริสตชนมีหน้าที่อย่างไรต่อสังคมที่ตนอาศัยอยู่
1. หน้าที่ของคริสตชนต่อสังคมประการแรกคืออะไร
     • หน้าที่ประการแรกของคริสตชนทุกคนคือ ทำตนเองให้เป็นฉายาลักษณ์ของพระเจ้า และช่วยเปลี่ยนแปลงสังคมที่ตนอาศัยอยู่ให้เป็นไปตามฉายาลักษณ์ของพระเจ้าด้วย ทั้งนี้โดยเริ่มที่ตนเองก่อนแล้วจึงช่วยกันสร้างสังคมให้เป็นฉายาลักษณ์ของพระเจ้าด้วย

2. ฉายาลักษณ์ของพระเจ้าคืออะไร
     •  ฉายาลักษณ์ของพระเจ้า คือ การเป็นเหมือนพระเจ้า พระเจ้าเป็นอย่างไร เราต้องศึกษาจากพระคัมภีร์ เราเรียนรู้ว่าพระเจ้าทรงเป็นองค์แห่งความรัก ความดี ความสงบ สันติ ผู้ให้อภัย ผู้เมตตาสงสาร ฯลฯ พระคุณสมบัติต่างๆเหล่านี้พระเจ้าทรงมอบให้ไว้ในตัวของเราเองทุกคนแล้ว แต่ความบาปหรือความโน้มเอียงไปในทางบาปได้กลบเกลื่อนหรือกดทับทำให้คุณสมบัติต่างๆเหล่านี้ไม่สามารถแสดงผลออกมาได้ ดังนั้นมนุษย์เราจึงจำเป็นต้องมีการชำระบาป มีการควบคุมตนเอง มีการปฏิบัติธรรมหรือกิจศรัทธาต่างๆ และมีจิตที่ยึดมั่นเพื่อจะได้ดำรงตนตามยาลักษณ์ของพระเจ้าอย่างแท้จริง

3. ฉายาลักษณ์ของพระเจ้าคือความเหมือนพระเจ้า พระเจ้าทรงรักมนุษย์อย่างไร เราก็ต้องรักเพื่อนมนุษย์อย่างนั้น
      •  ถูกต้องแล้ว พระเจ้าทำอย่างไร เราต้องทำเช่นนั้น นี้คือความหมายของการเป็นคริสตชนที่แท้จริง เหมือนลูกไม้ต้องหล่นไม่ไกลต้น เราต้องมีพันธุ์กรรมของพระเจ้าในตัวของเรา “ฉะนั้น ท่านจงเป็นคนดีอย่างสมบูรณ์ ดังที่พระบิดาเจ้าสวรรค์ของท่าน ทรงความดีอย่างสมบูรณ์เถิด”(มธ 5:48)

4. ในประเด็นแรกเราต้องประพฤติตนให้เป็นฉายาลักษณ์ของพระเจ้าหมายความว่าเราต้องทำตนให้เป็นคนดีจริงๆดีแบบพระเจ้านี้พอเข้าใจได้ แต่ประเด็นที่สองคือการช่วยทำให้สังคมดำรงอยู่แบบเป็นฉายาลักษณ์ของพระเจ้านี้หมายความว่าอย่างไร
       •  ก่อนอื่นหมด พระเยซูเจ้าทรงสั่งสอนเราว่า “ท่านทั้งหลายเป็นเกลือดองแผ่นดิน ถ้าเกลือจืดไปแล้ว จะเอาอะไรมาทำให้เค็มอีกเล่า เกลือนั้นย่อมไม่มีประโยชน์อะไร นอกจากจะถูกทิ้งให้คนเหยียบย่ำ ท่านทั้งหลายเป็นแสงสว่างส่องโลก เมืองที่ตั้งอยู่บนภูเขาจะไม่ถูกปิดบัง ไม่มีใครจุดตะเกียงแล้วเอามาวางไว้ใต้ถังแต่ย่อมตั้งไว้บนเชิงตะเกียง จะได้ส่องสว่างแก่ทุกคนในบ้าน ในทำนองเดียวกัน แสงสว่างของท่านต้องส่องแสงต่อหน้ามนุษย์  เพื่อคนทั้งหลายจะได้เห็นกิจการดีของท่าน และสรรเสริญพระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์”(มธ 5:13-16) นี้หมายความว่าเราคริสตชนทุกคนจะต้องเป็นเกลือเชื้อแป้งแสงสว่างให้กับสังคม พูดง่ายๆสั้นๆคือเป็นคนดีของสังคม แล้วให้สังคมได้เห็นดีเห็นงานจนทุกคนกลายเป็นเกลือเชื้อแป้งและแสงสว่างให้แก่กันและกัน

5. นี้หมายความว่าเราใช้วิธีใช้น้ำดีไล่น้ำเสียใช่ไหม คือ คริสตชนจะตอบคำถามว่าทำอย่างไรให้สังคมมีความสุขหรือพ้นจากทุกข์ ก็คือ การที่เราแต่ละคนรักกันและกันและต่างทำดีให้แก่กันและกัน
         •  ถูกต้องแล้วครับ...เราไม้ได้แก้ปัญหาของสังคมนี้ด้วยการหนีออกจากสังคม แต่ต้องเข้าไปสู่สังคมและช่วยกันคนละไม้คนละมือทำความสะอาดสังคมและสร้างสังคมด้วยความรักต่อกันและกัน

6. ที่ท่านพูดว่าเราต้องไม่หนีออกไปจากสังคมแต่ต้องเข้าไปสู่สังคม สังคมมีความจำเป็นอย่างไรต่อชีวิตของเรา
         •  สังคมไม่ใช่ส่วนเกินในชีวิตของเรานะครับ แต่สังคมเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเราทุกคน พระบัญญัติของเรามีสองประการคือรักพระเจ้าสุดจิตใจกับรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง ถ้าเราไม่อยู่ในสังคมแล้วเราจะรักใครได้ล่ะครับ ดังนั้นเราทุกคนต้องดำเนินชีวิตอยู่ในสังคม เพราะในสังคมนี้ทำให้เรามีความสัมพันธ์กับผู้อื่นได้ มีการช่วยเหลือเจือจุนต่อกันและกันได้ มีสันทนาและสนุกสนานต่อกันและกัน และอาศัยสังคมทำให้เราแต่ละคนได้พัฒนาศักยภาพของตนเองและสามารถดำรงชีวิตตามอัตลักษณ์ของตนเองและใช้ความสามารถของตนเองได้อย่างงมีคุณค่าได้

7. แล้วท่าทีของเราต่อสังคมจะต้องเป็นอย่างไร
        •  ท่าทีของเราต่อชีวิตทางสังคมก็คือ เราต้องอุทิศตนและให้ความเคารพต่อผู้มีอำนาจที่รับผิดชอบในการทำหน้าที่เพื่อความดีส่วนรวมของสังคมที่เราสังกัดอยู่

8. ตัวอย่างเช่น ถ้าสังคมหรือชุมชนมีอะไร เราคริสตชนจะต้องร่วมมืออย่างเต็มที่ใช่ไหนครับ
        •  ถูกต้องแล้วครับ หลักสำคัญในการทำให้สังคมหรือชุมชนของเราเป็นฉายาลักษณ์ของพระเจ้าก็คือ เราต้องมีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน โดยที่เราต้องให้ความร่วมมือชุมชนของเรา ไม่ว่าสังคมหรือชุมชนของเราจัดตั้งกลุ่มองค์กรอะไรขึ้นมา เราต้องให้การสนับสนุน ไม่เมินเฉยหรือทำเป็นธุระไม่ใช่ แต่ตรงกันข้าม เราคริสตชนจะต้องให้การสนับสนุนในการจัดตั้งสมาคมหรือกลุ่มองค์กรต่างๆขึ้นมา เพื่อให้สมาชิกทุกคนในกลุ่มหรือสมาคมได้มีโอกาสได้พบปะกัน ช่วยเหลือกัน หันหน้าเข้าหากันและกัน และร่วมมือกันในการปกครองหรือดูแลชุมชนของตนเอง นี้เป็นเจตนารมณ์ของพระเจ้าในเรื่องของการปกครอง คือ ทรงมอบหมายอำนาจให้มนุษย์ช่วยกันปกครองดูแลโลก โดยการช่วยเหลือเกื้อกูลกันและกัน

9. แล้วในการปฏิบัติเราคริสตชนได้กระทำอะไรบ้างเพื่อสังคมของเรา
        •  ขอพูดในส่วนของกลุ่มคริสตชนเอง การปกครองของเราแบ่งออกเป็นวัด แต่ละวัดจะมีเขตปกครองของตนเองโดยมีคุณพ่อเจ้าอาวาสเป็นเหมือนพ่อใหญ่คอยสอดส่องดูแลลูกวัดทุกคน คุณพ่อเจ้าอาวาสก็ไม่ได้ปกครองดูแลลูกวัดของท่านแต่เพียงผู้เดียว แต่ละวัดยังมีคณะผู้บริหารวัดที่เราเรียกว่าสภาอภิบาลฯ นอกจากนั้นยังมีกลุ่มองค์กรต่างๆที่อาสาสมัครเข้ามาช่วยเหลือกิจการของวัดในด้านต่างๆ เช่น ในด้านการศึกษา การสังคมสงเคราะห์ การเสริมสร้างความศรัทธา ด้านสุขภาพอนามัย ฯลฯ กลุ่มต่างๆเหล่านี้จัดตั้งขึ้นมาเพื่อให้สมาชิกในวัดได้ใช้พระพรของตนเองในการรับใช้ชุมชนหรือเพื่อความดีของส่วนรวม ส่วนสังคมที่ใหญ่ออกไปคือหมู่บ้านหรือทางรายการนั้น เราคริสตชนจะต้องการสนับสนุนกิจการของชุมชนไม่ว่าจะเป็นกิจการทางสังคมและวัฒนธรรมต่างๆ มีข้อแตกต่างเล็กน้อยคือการเข้าร่วมกิจกรรมทางศาสนาหรือลักธิความเชื่อบางเรื่องบางประการเท่านั้นที่เราคริสตชนไม่สามารถเข้าไปร่วมพิธีได้เพราะผิดต่อความเชื่อของเราคาทอลิก

10. สรุป : เราคริสตชนไม่ใช่เป็นคนในสังคมปิดแต่เป็นสังคมที่เปิดกว้าง เราเข้าไปเป็นสมาชิกของกลุ่มองค์กรต่างๆที่ชุมชนของเราจัดตั้งขึ้นได้ และจะต้องเข้าไปเป็นสมาชิกอย่างเข้มแข็งเอาจริงเอาจัง เพื่อให้สังคมของเราหรือองค์กรของเราเป็นฉายาลักษณ์ของพระเจ้าด้วย และนี้แหละคือบทบาทหน้าที่ของคริสตชนต่อสังคมของเรา

ปีศักดิ์สิทธิ์ ค.ศ. 2025

ปีศักดิ์สิทธิ์ ค.ศ. 2025 "บรรดาผู้จาริกแห่งความหวัง"

คาทอลิกไทย "รวมพลังรักษ์โลก" ค.ศ.2024-2025

คาทอลิกไทย "รวมพลังรักษ์โลก" ค.ศ.2024-2025

เนื้อหาและบทเรียน

Download พิธีศีลศักดิ์สิทธิ์สำหรับเด็กและเยาวชน

Download พิธีโปรดศีลศักดิ์สิทธิ์