บทที่ 19 อย่ามักได้ทรัพย์ของเขา
จุดมุ่งหมาย เพื่อให้ผู้เรียนทำใจพอในสิ่งที่ตนมี และหากมีความจำเป็นประการใดก็ให้แสวงหาโดยใช้วิธีที่ถูกต้อง
ขั้นที่ 1 กิจกรรม
ให้ผู้เรียนแสดงละครใบ้ประกอบคำบรรยายต่อไปนี้
ฉากที่ 1
บรรยาย ณ เมืองแห่งหนึ่ง มีคนมั่งมีคนหนึ่ง เขามีแกะมากมายหลายตัว ยังมีคนจนอีกคนหนึ่ง เขามีแกะอยู่เพียงตัวเดียวที่เขารักมาก เขาเลี้ยงดูมันเหมือนเป็นลูก เขาและแกะกินข้าวด้วยกัน ดื่มน้ำถ้วยเดียวกัน นอนด้วยกัน แกะตัวนั้นก็อ้วนพี สะอาด สวยงาม คนมั่งมีเห็นก็อิจฉา อยากจะได้
วันหนึ่งคนมั่งมีมีแขกมาเยี่ยม คนมั่งมีนั้นก็จัดการเลี้ยงต้อนรับ เขาเสียดายที่จะเอาแกะของเขาเองมาฆ่าเลี้ยงแขก เขาจึงไปเอาแกะของคนจนมาฆ่าเลี้ยงแขกแทน เขารู้สึกสะใจที่ได้กินแกะของคนจน เขาและแขกต่างก็ยินดีปรีดากินแกะตัวนั้นกันอย่างอิ่มเอมใจ ส่วนคนจนได้แต่ร่ำไห้เสียดายและอาวรณ์แกะของตน จนไม่เป็นอันกินอันนอน
ขั้นที่ 2 วิเคราะห์
ครูถามผู้เรียนว่า
- รู้สึกอย่างไรต่อคนจน ? ทำไม ?
- รู้สึกอย่างไรต่อคนมั่งมี ? ทำไม ?
- เรื่องนี้มีบทสอนอะไร ?
สรุป การมักได้ของคนอื่น ทั้งๆ ที่ตนก็มีแล้ว ส่อแสดงให้เห็นความไม่รู้จักพอในหัวใจ จนเกิดมีเจตนาที่จะได้ของของคนอื่นนั้นมาเป็นของตัวโดยใช้วิธีที่ไม่ถูกต้อง
ขั้นที่ 3 คำสอน
- พระเป็นเจ้าทรงสร้างหัวใจมนุษย์เรามาให้ปรารถนาในสิ่งที่ดีที่ลาม และยอดของสิ่งที่ดีที่งามทั้งหลายก็คือ พระเป็นเจ้า นักบุญเอากุสตินจึงกล่าวว่า “พระองค์ทรงสร้างข้าพเจ้ามาเพื่อพระองค์ และหัวใจของข้าพเจ้าจะไม่มีวันพบวันสงบสุข เว้นแต่ในพระองค์” ความปรารถนาของหัวใจมนุษย์จึงจะถูกต้องชอบธรรม เมื่อมุ่งไปสู่ความดีหรือพระเป็นเจ้า ถ้าผิดเพี้ยนหรือเฉไฉไปจากนั้นก็ไม่ถูกต้องชอบธรรม ถ้าเจ้าตัวตกลงปลงใจตามความปรารถนานั้นก็ทำผิด หรือทำบาป
- คนมั่งมีในตัวอย่างข้างต้นปรารถนาอยากได้แกะของคนจนโดยไม่ยอมชักทุนตนเอง ซึ่งผิดต่อความยุติธรรมเพราะละเมิดสิทธิเป็นเจ้าของของคนจน เท่ากับเป็นบาปผิดต่อพระบัญญัติประการที่ 10 ที่ระบุไว้ “อย่ามักได้ทรัพย์ของเขา” ซึ่งความผิดหรือบาปดังกล่าวอาจจะเป็นได้หลายลักษณะ เช่น
ก. ความมักได้ ซึ่งอาจหมายได้สองอย่าง คือ ปรารถนาถูกต้องชอบธรรมแต่เกินขบเขต แสดงให้เห็นถึงใจที่ผูกพันกับทรัพย์สิ่งของจนลดความสำคัญของพระเป็นเจ้า และปรารถนาที่ไม่ถูกต้องชอบธรรมซึ่งผิดต่อความยุติธรรม
ข. ความอิจฉา ซึ่งแสดงออกได้สองอย่าง คือ เสียใจเมื่อคนอื่นได้ดี และ ดีใจเมื่อคนอื่นได้ร้าย ซึ่งเป็นสิ่งที่ผิดต่อความรักต่อเพื่อนมนุษย์
ค. ความตระหนี่ ซึ่งหมายถึงความยึดติดกับทรัพย์สิ่งของจนไม่เห็นพระเป็นเจ้าและเพื่อนมนุษย์อยู่ในสายตา เป็นความเห็นแก่ตัวอย่างสุดๆ ซึ่งผิดทั่งความรักต่อเพื่อนมนุษย์และผิดต่อความยุติธรรมด้วยเพราะทรัพย์สิ่งของนั้นเป็นพระเป็นเจ้าทรงสร้างมาสำหรับมนุษย์ทุกคน
- พระบัญญัติประการที่ 10 นี้ได้ตราขึ้นคู่กับพระบัญญัติประการที่ 7 ซึ่งเกี่ยวข้องกับทรัพย์สิ่งของต่างๆ นั่นก็คือพระบัญญัติประการที่ 10 เกี่ยวข้องกับ “ความปรารถนา” คือความรู้สึกของหัวใจซึ่งอยู่ภายในตัวมนุษย์ ส่วนพระบัญญัติประการที่ 7 เกี่ยวข้องกับ “การกระทำ” คือการลักขโมย ซึ่งปรากฎออกมาในการกระทำภายนอก ตามธรรมชาติของมนุษย์แล้ว ความปรารถนาของหัวใจเป็นจุดเริ่มต้นของการกระทำ ฉะนั้นถ้าสามารถคุมความปรารถนาของหัวใจได้ก็จะสามารถควบคุมการกระทำได้ด้วย
แต่ในทางปฏิบัติ ความปรารถนาของหัวใจอาจไม่นำไปถึงการกระทำก็เป็นได้ เพราะมีอุปสรรคบางอย่างมาขัดขวางไว้ เช่น เพราะไม่สบโอกาส เพราะความกลัว ฯลฯ ในกรณีเช่นนี้ ถ้ามีการปลงใจในความปรารถนานั้นก็เป็นบาปผิดต่อพระบัญญัติประการที่ 10 แต่เพียงอย่างเดียว
- จุดมุ่งหมายสำคัญของพระบัญญัติประการที่ 10 ต้องการจะสอนเรามนุษย์ให้ปรับความปรารถนาของหัวใจไปสู่ความดีความงามไปสู่พระเป็นเจ้า โดย
ก. ไม่มีใจยึดติดกับทรัพย์สิ่งของ ถือว่ามันเป็นเพียงสิ่งรับใช้ชีวิต ไม่ใช่เป็นนาย ซึ่งลักษณะดังกล่าวนี้เราเรียกว่า “ความมีใจยากจน” ตามพระวรสาร “บุญของผู้มีใจยากจน เหตุว่าพระอาณาจักรสวรรค์เป็นของเขา” (มธ. 5,3)
ข. ความมีใจกว้างขวาง เผื่อแผ่ทรัพย์สิ่งของที่ตนมีผู้อื่น เป็นต้น แก่คนที่ยากจน ขัดสน และมีความต้องการ
ขั้นที่ 4 ปฏิบัติ
- ข้อควรจำ
- อย่ามักได้ทรัพย์ของเขา
- “ทรัพย์สมบัติท่านอยู่ที่ใด ใจของท่านก็อยู่ที่นั้น” (มธ. 6,21)
- พระเป็นเจ้าทรงสร้างหัวใจมนุษย์มาให้ปรารถนาสิ่งที่ดีงาม และยอดของความดีงามทั้งหลายคือ พระเป็นเจ้า
- “พระองค์ทรงสร้างข้าพเจ้าขึ้นมาเพื่อพระองค์ และหัวใจของข้าพเจ้าจะไม่มีวันพบความสงบสุขเว้นแต่ในพระองค์” (นักบุญเอากุสติน)
- ความผิดต่อพระบัญญัติประการที่ 10 มี เช่น ความมักได้ ความอิจฉา ความตระหนี่
กิจกรรม ให้ผู้เรียนช่วยกันเสนอวิธีแสดงความใจกว้าง ไม่ยึดติดกับทรัพย์สิ่งของมาหลายๆวิธี เลือกเอาเพียง 2 – 3 วิธี แล้วนำไปปฏิบัติจริงๆ