บทที่ 10 จงนมัสการพระเป็นเจ้าผู้เดียวของเจ้า
จุดมุ่งหมาย ให้ผู้เรียนรู้จักหน้าที่ต่อพระเป็นเจ้า และปฏิบัติด้วยความซื่อสัตย์และจงรักภักดี
ขั้นที่ 1 กิจกรรม
จัดประกวดร้องเพลง โดยแบ่งผู้เรียนออกเป็นกลุ่มๆ
กำหนดเพลงสำหรับประกวดดังต่อไปนี้
“เชิญเราคริสตชน”
- เชิญเราคริสตชนมาร่วมยินดี เชิญมาสดุดีชุลีวันทา
ร่วมกับชาวสวรรค์และเทพเทวา มาสรรเสริญบูชาพระเจ้า
- เชิญร่วมจิตร่วมใจร่วมภาวนา ฟังวาจาพระคริสต์ชีวิตของเรา
เชิญเสด็จพระจิตสถิตบรรเทา และนำเอาไปปฏิบัติตาม
- เชิญเสด็จพระเยซู ประทับอยู่ในวิญญาณ และประทานความรักแท้แก่โลกา
เชิญเสด็จมารักษาดวงวิญญาณที่เย็นชา ด้วยกายาพระโลหิตทรงชีวิต
- เราจะเป็นหนึ่งเดียวกับองค์พระจิต เราจะมีชีวิตในพระคริสตเจ้า
โดยอาศัยความรักของพระเป็นเจ้า เราจะมีชีวิตนิรันดร์
“ด้วยดวงใจยินดี”
รับ ด้วยดวงใจยินดี ขอเชิญร่วมอัญชุลี
ชนทั่วแดนแผ่นดิน ถวายพรแด่พระองค์
- เชิญถวายพระพร ยกยอกรวันทาอยู่เบื้องหน้าพระองค์
- พระองค์ทรงเมตตา ต่อประชาทั้งปวงที่ดวงจิตซื่อตรง
- ในวันอันยินดี ที่พวกเราพร้อมเพรียงเปล่งเสียงสรรเสริญ
- พระองค์เสด็จมา เยี่ยมเยียนชาวประชาคือเหล่าข้าทั้งหลาย
“วันนี้วันแสนยินดี”
- วันนี้วันแสนยินดี วันฉลองอันแสนเปรมปรีดิ์
วันสุขีขอเชิญทุกคน เทวานักบุญนมัสการ
- วันฉลองอันแสนยินดี โอ้วันนี้วันแสนยินดี
วันสุขีขอเชิญทุกคน เทวานักบุญนมัสการนมัสการองค์พระเป็นเจ้า
- พวกเราต่างยอมรับว่า พระองค์คือผู้บันดาล
ความสุขสันชื่นชมสมปอง ความปรองดองชีวิตมีค่า
- จึงพากันมาแซ่ซ้อง ร้องบรรเลงเพลงขับขาน
ประสานเป็นน้ำใจเดียว ร่วมกลมเกลียวสรรเสริญพระองค์
อัลเลลูยา อัลเลลูยา อัลเลลูยา
ให้เลือกเอาบทใดบทหนึ่ง ใช้เวลาฝึกซ้อมไม่เกิน 10 นาที
พร้อมแล้วเริ่มการประกวด ครูเป็นผู้ให้คะแนนตามเกณฑ์ ต่อไปนี้
- ความถูกต้อง
- ความพร้อมเพรียง
- ความไพเราะ
ประกาศคะแนน มอบรางวัลให้กลุ่มที่ชนะเลิศ (และกลุ่มอื่นๆ ตามความเหมาะสม)
ขั้นที่ 2 วิเคราะห์
ครูถามผู้เรียนว่า
เพลงที่ร้องนี้เป็นเพลงประเภทใด ?
ต่างจากเพลงประเภทอื่นอย่างไร ?
เป็นเพลงร้องสำหรับใคร ? ที่ไหน ? เมื่อไหร่ ? ทำไม ?
มีเนื้อร้องพอสรุปได้อย่างไร ?
สรุป เพลงที่เราร้องนี้เป็นเพลงศักดิ์สิทธิ์ หรือสัตบุรุษทั่วไปเรียกว่าเพลงวัด เป็นเพลงร้องสรรเสริญพระเป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด
ขั้นที่ 3 คำสอน
- ในสังคมทั่วไปมีการยกย่องให้เกียรติแด่บุคคลสำคัญต่างๆ เช่น นักวิทยาศาสตร์ นายแพทย์ นักสังคมสงเคราะห์ นักส่งเสริมสันติภาพ ฯลฯ ล่าสุดในประเทศไทยเราก็มีการยกย่องบุคคลสำคัญๆให้เป็นศิลปินแห่งชาติ เริ่มต้นด้วยการถวายพระเกียรติแด่อัครศิลปิน คือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในฐานะที่พระองค์ทรงสร้างสรรค์ผลงานทางด้านดุริยางค์ศิลป์ ทัศนศิลป์ และนฤมิตศิลป์ และยกย่องให้เกียรติแก่ศิลปิน 4 ท่าน คือ พลตรี ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช สาขาวรรณศิลป์ นายมนตรี ปราโมท สาขาดนตรีไทย ท่านผู้หญิงแผ้ว สนิทวงศ์ สาขานาฏศิลป์ และนายเฟื้อ หริพิทักษ์
- เราคริสตชนก็ถวายเกียรติแด่พระเจ้าเป็นเจ้าสูงสุด ผู้ทรงสรรพฤทธิ์ไม่มีขอบเขต ผลงานของพระองค์คือพิภพจักรวาลทั้งหมด พระคัมภีร์กล่าวว่า “สวรรค์ประกาศพระศิริรุ่งโรจน์ของพระเป็นเจ้าและฟากฟ้าเฝ้าสำแดงฝีพระหัตถ์ของพระองค์ วันกระซิบต่อวันให้รับทราบ คือกระซาบต่อคืนให้ชื่นหวัง” (สดด. 19,1 – 2) พระบัญญัติประการที่ 1 จึงบัญญัติไว้ว่า “จงนมัสการพระเป็นเจ้าผู้เดียวของเจ้า” คือยกย่องสรรเสริญพระองค์เป็นพระเจ้าสูงสุดแต่เพียงผู้เดียว และแสดงออกด้วยการถวายนมัสการพระองค์
ถวายนมัสการพระเป็นเจ้าคือเชื่อมถึงพระองค์ หรือที่เรียกว่า “ความเชื่อ” ซึ่งเป็นพื้นฐานหรือจุดกำเนิดของการเป็นคริสชน คือ เชื่อว่ามีพระเป็นเจ้าผู้เดียวสูงสุด พระองค์ทรงสร้างสรรพสิ่งที่แลเห็นได้และแลเห็นไม่ได้ พระองค์ทรงเป็นบิดาผู้ทรงพระทัยอ่อนหวานและเมตตาสงสาร พระองค์ทรงมีสามพระบุคคล คือ พระบิดา พระบุตร และพระจิต แต่ทรงเป็นพระเป็นเจ้าองค์เดียว (ทบทวนบทเรียนที่ 1 – 8) เราจึงยึดพระเป็นเจ้าพระองค์นี้เป็นสรณะของเราแต่เพียงพระองค์เดียว
ถวายนมัสการพระเป็นเจ้ายังได้แก่ไว้ใจในพระองค์ หรือที่เรียกว่า “ความไว้ใจ” คือการมอบกายถวายชีวิตของเราแด่พระองค์ โดยมั่งใจว่าพระองค์แต่ผู้เดียวทรงเป็นความรอดของเรา อยู่กับพระองค์เราจะพบสันติสุขและความปลอดภัยทั้งกายและใจตลอดไป
ถวายนมัสการพระเป็นเจ้ายังหมายถึงรักพระองค์ หรือที่เรียกว่า “ความรัก” คือเราได้พบพระองค์ผู้ทรงเป็นองค์ความดีสูงสุด ความสุขสุดยอดที่มนุษย์เราแสวงหากันนั้นแล้ว เราจึงมอบหัวใจของเราทั้งหมดให้แก่พระองค์ผู้เดียว
- เราจึงพร้อมต่อสู้กับบาปความผิดต่อพระเป็นเจ้าในรูปแบบต่างๆ เช่น บาปผิดต่อความเชื่อ ได้แก่ความสงสัยถึงพระองค์ความดื้อรั้นไม่ยอมเชื่อ การยอมรับนับถือสิ่งอื่นต่างพระเป็นเจ้า และการกระทำที่ส่อถึงการหันเหไปจากพระองค์ เช่นการเชื่อโชคลาง ของขลัง เวทมนต์ คาถา หรือการกระทำที่เรียกกันว่า ชูแปร์ตีชัง คือเชื่อในฤทธิ์อำนาจของสิ่งสร้างว่าสามารถบันดาลให้เกิดผลเหนือธรรมชาติของมันได้
บาปผิดต่อความไว้ใจ ได้แก่ความสิ้นหวัง คือคิว่าแม้พระเป็นเจ้าผู้ทรงฤทธิ์และทรงเมตตาก็ช่วยอะไรตนไม่ได้อีกแล้ว และความหวังที่เลยเถิด คือคิดว่าพระเป็นเจ้าจะทรงช่วยทุกอย่างไม่ว่าตนจะกระทำอะไรดีหรือไม่ดี เหมาะหรือไม่เหมาะก็ตาม
บาปผิดต่อความรัก ได้แก่ความเฉยเมย ไม่รู้หนาวรู้ร้อนต่อพระเป็นเจ้าโดยจงใจ ความอกตัญญู คือไม่รู้บุญรู้คุณของพระเป็นเจ้า กลับตอบสนองด้วยความเนรคุณ การปรนนิบัติพระเป็นเจ้าอย่างเสียมิได้ คือไม่เต็มอกเต็มใจ ความโกรธและเกลียดพระเป็นเจ้าเมื่อไม่สบอารมณ์ตน เช่น เมื่อสวดขอไม่ได้ดังใจหรือเกิดเหตุร้ายเจ็บป่วย
- การถวายนมัสการพระเป็นเจ้าด้วยความเชื่อ ความไว้ใจ และความรักนั้น นอกจากจะต้องทำด้วยจิตใจของเราแล้ว ยังต้องแสดงออกด้วยการกระทำภายนอกด้วย เช่น ด้วยการกราบไหว้นมัสการ การถวายบูชา การสวดภาวนา การร่วมพิธีกรรมต่างๆ
ขั้นที่ 4 ปฏิบัติ
- ข้อควรจำ
- “จงนมัสการ พระเป็นเจ้าผู้เดียวของเจ้า”
- พระเป็นเจ้าแต่เพียงผู้เดียวสมควรแก่การนมัสการสรรเสริญ เพราะฝีพระหัตถ์ของพระองค์ปรากฏให้เราเห็นทั้งในสวรรค์ ฟ้าและแผ่นดิน
- เรานมัสการสรรเสริญพระเป็นเจ้าโดยเชื่อ ไว้ใจ และรักพระองค์
- บาปผิดต่อความเชื่อ ได้แก่ ความสงสัย ความดื้อรั้น การนับถือสิ่งอื่นต่างพระเป็นเจ้า และการเชื่อและพึ่งพาฤทธิ์ของสิ่งสร้างเท่าเสมอกับพระเป็นเจ้า
- บาปผิดต่อความไว้ใจ ไดแก่ ความสิ้นหวัง และ ความหวังที่เลยเถิด
- บาปผิดต่อความรัก ได้แก่ ความฉยเมย ความอกตัญญู การกระทำอย่างเสียมิได้ และความโกรธเกลียดพระเป็นเจ้า
- เราแสดงการนมัสการพระเป็นเจ้าภายนอกโดยกราบไหว้นมัสการ การถวายบูชา การสวดภาวนา และร่วมพิธีกรรมต่างๆ
- กิจกรรม ให้ผู้เรียนนมัสการพระเป็นเจ้าตามขั้นตอนต่อไปนี้
- ตั้งรูปพระเป็นเจ้า (สร้างโลก หรือ ประทานพระบัญญัติ ฯลฯ)
- เพลงเริ่มพิธี (ใช้เพลงจากบทเรียนขั้นที่ 1 กิจกรรม)
- บทอ่าน สดด. 19,1 – 10
- ครูให้โอวาทสั้นๆ
- บทภาวนาของมวลชน
- ถวายดอกไม้
- เพลงปิดพิธี (ใช้เพลงจากบทเรียนขั้นที่ 1 กิจกรรม)
การบ้าน ให้ผู้เรียนนมัสการพระเป็นเจ้าในชีวิตประจำวัน เช่น จัดพระแท่นที่บ้านให้สะอาด เรียบร้อย สวยงาม สวดภาวนาเช้าค่ำหน้าพระแท่น ไปร่วมมิสซาที่วัดในวันอาทิตย์ ฯลฯ