คำสอนเรื่องวันพิพากษาประมวลพร้อม
ลูกรัก พระศาสนจักรสอนเราว่ามนุษย์ทุกคนจะถูกพิพากษาเมื่อถึงแก่กรรม ทันทีที่ลมหายใจสุดท้ายของเราหมดลง ณ เวลานั้นเองเราก็จะถูกพระพิพากษา ไม่ว่าเราจะเสียชีวิตที่ใด พระก็จะทรงใช้พระยุติธรรมกับเราที่นั่น พระเจ้าผู้ทรงพระทัยดีของเราทรงนับจำนวนปีของอายุเรา เป็นจำนวนปีที่พระองค์ทรงปล่อยให้เรามีชีวิตอยู่ในโลก พระองค์ทรงกำหนดปีสุดท้ายของเราไว้ และจะมีวันหนึ่งที่จะไม่มีอีกวันหนึ่งตามมา จะมีชั่วโมงหนึ่งที่จะไม่มีชั่วโมงต่อไปสำหรับเรา เป็นเวลานานเท่าใดระหว่างเวลาตอนนั้นกับเวลาที่เป็นอยู่ตอนนี้ – คงเป็นเพียงเสี้ยวเวลาเดี๋ยวเดียว. ชีวิตคือควันไฟ หรือไอน้ำร้อนที่สลายไปเร็วกว่าการโผบินของนกในอากาศ หรือเรือที่แล่นอยู่ในทะเลโดยไม่ทิ้งร่องรอยเหลือไว้เลย
เราจะตายเมื่อใด? อนิจจา เราจะตายในอีกสัก 1 ปี หรือ 1 เดือนหรือ? อาจจะเป็นพรุ่งนี้หรือวันนี้ก็ได้! ความตายที่จะเกิดกับเราอาจเหมือนกับที่เคยเกิดกับคนอื่นอีกหลายคนหรือ? อาจจะเป็นตอนที่เราไม่ได้คิดถึงความตายเลยและอาจจะกำลังสนุกสนานอยู่ก็ได้ดังเช่นที่เคยเกิดขึ้นกับบัลทาซาร์ (Baltasar : กษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งกรุงบาบิโลนที่ถูกปลงพระชนม์ระหว่างงานเลี้ยงใหญ่ที่ใช้ภาชนะศักดิ์สิทธิ์ที่ยึดมาจากมหาวิหารที่เยรูซาเล็ม) หลังจากความตาย วิญญาณจะตกใจสักเพียงใดขณะที่ล่องลอยเข้าสู่ชีวิตนิรันดร? วิญญาณจะรู้สึกประหลาดใจ, มึนงง, ถูกแยกออกจากมิตรสหายและถูกล้อมรอบด้วยแสงล้ำลึก (divine light) วิญญาณจะอยู่ต่อหน้าพระผู้สร้างซึ่งคงมิใช่พระบิดาพระทัยดีอีกต่อไป แต่เป็นผู้พิพากษาที่เที่ยงธรรม ลูกเอ๋ย จงนึกภาพของตนเอง นึกภาพของวิญญาณที่เดินทางออกไปจากชีวิตและไปปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าผู้พิพากษาตามลำพัง โดยมีสวรรค์อยู่ทางด้านหนึ่งและนรกอีกด้านหนึ่ง สิ่งที่จะถูกพิพากษาคืออะไร? ก็คือภาพตลอดชีวิตของวิญญาณนั้นเอง มีการตรวจสอบทุกสิ่งที่เคยเป็นความคิด, คำพูด, และกิจการ
ลูกเอ๋ย การพิพากษาในครั้งนี้มิใช่เรื่องล้อเล่น เพราะจะไม่มีสิ่งใดรอดพ้นการตรวจสอบของพระเลย พระปรีชาญาณของพระองค์ไม่มีขอบเขต ทรงทราบถึงความคิดที่ซ่อนอยู่ในหลืบหลุมที่ลึกที่สุด ทรงเข้าถึงก้นบึ้งของหัวใจของเราและนำมาเปิดออกอยู่ต่อหน้า คนบาปที่เคยหนีแสงตะวันเพื่อทำบาปในที่มืดอย่างเสรี หรือที่เคยหลอกสายตาของมนุษย์ได้ แต่ศิลปะการหลีกหนีเหล่านั้นไม่อาจนำมาใช้ได้ในวันพิพากษานี้ พระจะส่องแสงไปในที่มืดที่เคยหลบไปทำบาปได้ พระจิตตรัสว่าเราจะถูกพิพากษาถึงสิ่งที่เราได้พูด, ความคิด และกิจการที่เราได้ทำ เราจะถูกพิพากษาแม้แต่ในกิจการดีที่เราควรทำแต่ไม่ได้ทำ, บาปที่ผู้อื่นทำเพราะเราเป็นต้นเหตุ อนิจจา เราได้เพิกเฉยความคิดต่างๆ ไปมากมายเสียจริงในแต่ละวัน! แต่ละสัปดาห์! แต่ละเดือน! แต่ละปี! และตลอดชีวิตของเราล่ะ! และพระปรีชาญาณของ “ผู้พิพากษา” ของเราจะนับจำนวนครั้งโดยไม่พลาดผิดเลยแม้แต่ครั้งเดียว
ผู้ที่เคยหยิ่งทะนงตนต้องให้การความคิดที่เคยอวดดี, หยิ่งยโส, ทะเยอทะยาน, ความคิดชั่วร้ายต่างๆ, รวมทั้งการคิดร้ายต่อผู้อื่น. หนุ่มสาวที่สนใจแต่เรื่องการแต่งตัว, แสวงหาความสนุกสนาน, ทำตัวเป็นคนเด่นให้ผู้คนสรรเสริญและไม่กล้าไปแก้บาป พวกเขาจะยังสามารถหลบวันแห่งการพิพากษาของพระได้หรือ? ไม่ได้อย่างแน่นอน! ทุกสิ่งที่เคยทำในชีวิตและทุกสิ่งแม้แต่ที่ลี้ลับที่สุดในใจก็จะปรากฏต่อหน้าพระเจ้า
ลูกรัก เราจะต้องให้การในเรื่องคำสบถสาบานและคำหยาบต่างๆ พระทรงได้ยินการนินทาว่าร้ายของเรา, การสนทนาด้วยถ้อยคำที่หยาบโลน, เพลงร้องที่มีความหมายส่อไปในทางโลกีย์ พระองค์ทรงได้ยินการบรรยายที่หยาบคายของเรา พระจะทรงพิพากษาการกระทำต่างๆ ของเรา พระองค์จะทรงพิพากษาความไม่ซื่อสัตย์ในการรับใช้พระองค์, การเพิกเฉยต่อพระบัญญัติ, การทำผิดกฎหมายของพระองค์, การดูหมิ่นวัดวาอาราม, การผูกใจกับสิ่งของในโลก, ความหลงผิดตามโลกีย์วิสัยและการใช้ทรัพยากรที่ผิดวัตถุประสงค์. ทุกสิ่งทั้งหลายทั้งปวงจะถูกเปิดเผยออกหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการลักขโมย, การผิดต่อความยุติธรรม, การเรียกดอกเบี้ยที่สูงเกิน, การขาดความยับยั้งชั่งใจ, การโมโห, การทะเลาะวิวาท, การทรยศหักหลัง, การแก้แค้น, การทำอาชญากรรม, และการทำผิดชั่วร้ายอื่นๆ ที่ไม่สามารถอาจเขียนได้ในที่นี้...
**** ขอบคุณข้อมูลจากคุณพ่อวิจิตต์ แสงหาญ เจ้าอาวาสวัดเซนต์จอห์น
แปลจาก http://saints.sqpn.com/stj18025.htm