คำสอนเรื่องพระวาจาของพระเจ้า
ลูกรัก พระวาจาของพระเจ้าเป็นเรื่องสำคัญมิใช่น้อย! พระวาจาแรกของพระเยซูเจ้าที่ตรัสแก่อัครสาวก คือ “จงไปและสอน”... ซึ่งแสดงว่าคำสอนของพระองค์อยู่เหนือทุกสิ่งทุกอย่าง
ลูกรัก พระศาสนาของเราสอนอะไรบ้าง? พระวาจาที่เราได้ฟังคือสิ่งที่ทำให้เราเกลียดกลัวบาปใช่ไหม? คือสิ่งที่ทำให้เราเจริญชีวิตในคุณธรรมที่ดีงาม และดลใจเราให้ปรารถนาสวรรค์ใช่หรือไม่? พระวาจาคือสิ่งที่สอนผู้เป็นพ่อและแม่ให้ทำหน้าที่อบรมสั่งสอนลูกและเพื่อให้ลูกทำหน้าที่ต่อพ่อแม่มิใช่หรือ?
ลูกรัก ทำไมผู้คนจึงทำเป็นคนตาบอดและไม่เข้าใจพระวาจาของพระเจ้ากัน? เป็นเพราะพวกเขาใส่ใจพระวาจาของพระเจ้ากันน้อยมาก มีบางคนไม่สนใจแม้แต่การสวดบทข้าแต่พระบิดาและวันทามารีอาเพื่อขอพระหรรษทานจากพระเจ้าในการฟังพระวาจาของพระองค์ด้วยความตั้งใจ และนำพระวาจามาเป็นประโยชน์ในการเจริญชีวิตของตน พ่อ(เจ้าวัดแห่งอารส์)เชื่อว่าผู้ที่ไม่ฟังพระวาจาที่ควรฟัง จะไม่ได้รับความรอด เพราะเขาจะไม่รู้จักวิธีการทำให้วิญญาณรอด แต่ผู้ที่ได้รับการศึกษาพระวาจาที่ดีจะรู้วิธีเอาวิญญาณรอดเสมอ แม้ว่าต่อมาอาจจะหลงผิดก็ตาม แต่ก็ยังมีความหวังว่าไม่ช้าก็เร็วเขาจะกลับมาหาพระเจ้าผู้พระทัยดี ซึ่งอาจจะเป็นตอนชั่วโมงสุดท้ายของชีวิตก็ได้ แต่ผู้ที่ไม่เคยรู้จักพระวาจาก็เปรียบได้กับผู้ป่วยขั้นโคม่าที่ไม่รู้สึกตัวแล้ว เขาไม่รู้จักทั้งเรื่องโทษหนักของการทำบาปหรือเรื่องคุณค่าของคุณธรรม ดังนั้นจึงทำบาปแล้วทำบาปอีกเช่นเดียวกับการลากผ้าขี้ริ้วไปตามโคลนตม
ลูกรัก พระเยซูเจ้าทรงให้ความสำคัญกับพระวาจาของพระเป็นอย่างมาก พระองค์ตรัสตอบหญิงที่ร้องว่า “หญิงที่ได้ให้กำเนิดและให้นมเลี้ยงท่าน ช่างเป็นสุขจริง! แต่พระองค์ตรัสตอบว่า คนทั้งหลายที่ฟังพระวาจาของพระเจ้าและปฏิบัติตามย่อมเป็นสุขกว่านั้นอีก!” (ลก 11:27-28) จะเห็นว่าพระเยซูเจ้าผู้เป็นองค์ความจริงทรงให้คุณค่าของพระวาจาไม่น้อยกว่าพระกายของพระองค์. พ่อไม่ทราบว่าการไม่ตั้งใจร่วมมิสซากับการไม่ตั้งใจฟังพระวาจาอย่างไหนจะผิดมากกว่ากัน เพราะระหว่างพิธีมิสซาบูชาขอบพระคุณ หากเราไม่ตั้งใจก็เท่ากับเราสูญเสียบุญกุศลจากการสิ้นพระชนม์และพระมหาทรมานของพระเยซูคริสตเจ้า ส่วนการไม่ตั้งใจฟังพระวาจา เราสูญเสียพระวาจาของพระองค์ซึ่งก็คือการสูญเสียพระองค์เอง. นักบุญออกุสติน (354:430) กล่าวว่าการไม่ตั้งใจฟังพระวาจาเป็นการทำผิดเหมือนกับการเอาผอบใส่ศีลที่เสกแล้วไปเหยียบย่ำ
ลูกรัก เวลาเราขาดวัดวันอาทิตย์ เราอาจไม่แน่ใจว่าเป็นการทำบาปหนัก ยกเว้นเมื่อตัวเราเองเป็นต้นเหตุของการไม่ไปวัด แต่การไม่ฟังพระวาจา เป็นความผิดของตัวเราเองโดยตรงที่ปฏิเสธ เวลานี้ลูกอาจจะพูดว่ามิใช่ความผิดมากนักก็ได้ แต่ในวันพิพากษาประมวลพร้อม เป็นวันที่พวกลูกทุกคนจะมานั่งอยู่รอบตัวพ่อและเมื่อพระถามลูกว่า “ขอบัญชีเรื่องพระวาจาและเรื่องการเรียนคำสอนที่เคยเรียนและเคยฟังมา” ตอนนั้นพวกลูกอาจจะคิดไม่เหมือนกับตอนนี้ก็ได้
ลูกรัก คนที่หนีเรียนคำสอน ออกไปเที่ยวเตร่และหัวเราะเยาะคนที่เรียนและคิดว่าตนเป็นคนฉลาดรู้จักคำสอนแล้ว... ลูกคิดว่าจะหนีพ้นไหมในวันนั้น? ไม่พ้นแน่ พระเจ้าทรงมีวิธีจัดการของพระองค์ที่แตกต่างไปจากวิธีการของพ่อ เป็นเรื่องน่าเศร้าที่ผู้เป็นพ่อแม่ไม่เรียนคำสอนแต่ก็มีหน้าที่อบรมสั่งสอนลูก และพวกเขาจะสอนลูกได้อย่างไรในเมื่อตัวเองไม่เคยเรียน... การกระทำเช่นนี้จะฉุดเขาตรงดิ่งลงนรกอย่างน่าเศร้า!
ลูกรัก พ่อได้สังเกตว่า บ่อยครั้งคนที่มาฟังคำสอนนั่งหลับระหว่างเรียน... ลูกอาจแก้ตัวว่า ลูกง่วงนอนมาก... แต่ถ้าพ่อเอาขลุ่ยมาเป่าเพลงให้ฟัง พ่อคิดว่าคงไม่มีใครคิดจะนอนกัน ทุกคนจะตื่นตัวและตั้งใจฟังกัน ลูกรัก ลูกตั้งใจฟังเมื่อลูกชอบผู้สอน แต่ถ้าไม่ชอบ ลูกก็จะก่อกวนระหว่างการเรียน... เราต้องไม่คำนึงถึงตัวผู้สอนเป็นหลัก เพราะสิ่งที่เราควรตั้งใจฟังมิใช่ตัวบุคคล ฉะนั้นไม่ว่าพระสงฆ์ผู้สอนจะเป็นคนอย่างไร ท่านก็ยังคงเป็นเครื่องมือของพระในการสอนพระวาจาที่ศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า เวลาที่ลูกเทน้ำผ่านกรวยลูกคงไม่สนใจว่ากรวยทำด้วยทองคำหรือโลหะอื่น แต่ถ้า ของเหลวที่เทนั้นเป็นสิ่งที่ดี ของเหลวนั้นก็ยังคงดีอยู่ไม่ว่าจะเทผ่านกรวยที่ทำด้วยอะไร
บางคนฟังคำสอนแล้วก็ออกไปพูดล้อเลียนกันเช่น “พระสงฆ์สอนแต่สิ่งที่ท่านชอบ”. ลูกรัก มิใช่เช่นนั้นเลย พระสงฆ์จะไม่พูดตามใจ พระสงฆ์พูดสิ่งที่มีอยู่ในพระวรสาร พระสงฆ์รุ่นก่อนพ่อก็ได้พูดสิ่งที่พ่อพูดอยู่นี้ และพระสงฆ์ในอนาคตก็จะพูดเหมือนกัน หากพระสงฆ์พูดสิ่งที่ไม่เป็นจริง ไม่นานพระสังฆราชผู้ปกครองก็จะสั่งห้ามมิให้พระสงฆ์องค์นั้นเทศน์สอนต่อ
ลูกรัก พ่อจะยกตัวอย่างถึงผลของการไม่เชื่อสิ่งที่พระสงฆ์สอน มีทหาร 2 คนเดินผ่านบริเวณที่มีมิชชันนารีทำงาน ทหารคนหนึ่งชวนเพื่อนเข้าไปฟังสิ่งที่พระสงฆ์กำลังเทศน์อยู่ในวัด เพื่อนตกลงตามและทั้งสองก็ได้เข้าไปฟังเรื่องนรกที่พระสงฆ์ผู้นั้นกำลังเทศน์ หลังการเทศน์ ทหารคนที่เลวน้อยกว่าถามเพื่อนว่า “แกเชื่อทุกสิ่งที่พระสงฆ์เทศน์ไหม?” เพื่อนก็ตอบว่า “ไม่เชื่อหรอก เป็นเรื่องเหลวไหลทั้งนั้น พระสงฆ์เทศน์เช่นนั้นเพื่อให้คนกลัว”. เพื่อนคนแรกจึงพูดขึ้นบ้างว่า “แต่ฉันเชื่อนะ และเพื่อเป็นการพิสูจน์ ฉันจะเลิกเป็นทหารและจะสมัครเข้าอาราม”--- “ก็ตามใจแก ฉันไปต่อคนเดียวก็ได้” และขณะที่ทหารคนที่พูดสุดท้ายนี้เดินทางต่อไปได้ไม่นาน เขาก็เกิดป่วยหนักและเสียชีวิต ส่วนคนที่เข้าอารามเมื่อได้ข่าวการตายของเพื่อนก็สวดขอให้พระโปรดให้แลเห็นสภาพวิญญาณของเพื่อนที่เสียชีวิต. วันหนึ่งขณะที่กำลังสวดอยู่ เพื่อนที่ตายไปได้ปรากฏตัวให้เห็น คนที่เข้าอารามจึงถามว่า “ตอนนี้แกอยู่ไหนหรือ?” --- “ในนรก ฉันตกนรกแล้ว”---“แย่จัง ตอนนี้แกเชื่อสิ่งที่มิชชันนารีเทศน์สอนในวันนั้นหรือยัง?” – “เชื่อสิ แต่มิชชันนารีคนนั้นผิดไปอย่างหนึ่งคือ ท่านไม่ได้บอกว่า การตกนรกต้องทรมานมากขนาดไหน”
ลูกรัก บ่อยครั้งพ่อคิดว่าคริสตังที่เสียวิญญาณไปเป็นเพราะไม่รู้จักคำสอนดี เช่น มีชายคนหนึ่งมีงานประจำที่ต้องทำทุกวัน ชายคนนี้มีความตั้งใจจะใช้โทษบาปอย่างแรงกล้าด้วยการสวดภาวนาค่อนคืน ถ้าเขาเรียนคำสอนมาดี เขาจะพูดว่า “ฉันจะไปสวดค่อนคืนไม่ได้ มิฉะนั้นวันรุ่งขึ้นฉันจะทำงานได้ไม่ดี ฉันคงจะง่วงนอนและหงุดหงิด และคงจะอ่อนเพลียตลอดวัน ผลงานคงไม่ได้ดีถึงครึ่งหนึ่งของการทำงานตามปกติ ฉะนั้นฉันต้องไม่สวดภาวนาค่อนคืน”
พ่อจะยกอีกตัวอย่างหนึ่ง คนงานคนหนึ่งอยากจะอดอาหาร แต่เขามีหน้าที่ขุดและพรวนดินทั้งวัน ถ้าคนงานผู้นี้รู้จักคำสอนดีก็จะต้องคิดว่า “แต่ถ้าฉันอดอาหาร ฉันก็จะทำงานได้ไม่เป็นที่พอใจของนาย” สิ่งที่คนงานคนนั้นควรทำคือ เขาจะกินอาหารเช้า และหาวิธีอื่นทำพลีกรรม ดังนั้นสิ่งที่เราต้องทำเสมอคือ ทำสิ่งที่จะถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าได้ดีที่สุด
เด็กคนหนึ่งทราบว่ามีคนกำลังเดือดร้อนอยู่ จึงหยิบของใช้ในบ้านไปให้ ที่จริงเด็กคนนั้นควรขออนุญาตจากพ่อแม่เสียก่อนที่จะทำเช่นนั้น และหากพ่อแม่ปฏิเสธ เด็กคนนั้นก็ควรสวดภาวนาขอให้มีเศรษฐีผ่านไปและทำทานสิ่งที่คนนั้นขาดอยู่ ดังนั้นคนที่เรียนคำสอนมาดีจะต้องปฏิบัติตามหลัก 2 ข้อเสมอ คือการให้คำแนะนำที่ดีและการเชื่อฟังผู้ใหญ่
**** ขอบคุณข้อมูลจากคุณพ่อวิจิตต์ แสงหาญ เจ้าอาวาสวัดเซนต์จอห์น
แปลจาก http://saints.sqpn.com/stj18007.htm