นักบุญฟรังซิส บุรุษผู้รักคนเจ็บป่วย
นักบุญฟรังซิส เป็นผู้หนึ่งที่พยายามดำเนินชีวิตตามแบบอย่างของพระเยซูเจ้าในขณะที่มีชีวิตอยู่ มีหลายครั้งมีผู้หายป่วยจากโรคฝ่ายกายและฝ่ายวิญญาณ เหมือนในสมัยของพระเยซูเจ้า ทั้งนี้ เพราะพระเจ้าทรงกระทำอัศจรรย์และอาศัยความร่วมมือของนักบุญฟรังซิส
จากชายหนุ่มที่ได้รับความเจ็บป่วยร้ายแรงในชีวิตวัยหนุ่มเมื่อถูกจับเป็นเชลย ทำให้ท่านได้เห็นถึงความว่างเปล่าในชีวิตที่สนุกสนานของเขา เมื่อกลับมาถึงอัสซีซี เขาก็เลิกใช้ชีวิตที่หรูหราฟุ่มเฟือย และออกไปแสวงหาสถานที่สงบเพื่อสวดภาวนาสร้างความสัมพันธ์กับพระเจ้า วันหนึ่งขณะที่เขาขี่ม้าไปตามทุ่งหญ้าของเมืองอัสซีซี เขาได้พบกับบุรุษผู้หนึ่งที่เป็นโรคเรื้อนโดยสัญชาตญาณ เขาคิดจะหนีไปทันที แต่แล้วกลับมีพลังประหลาดที่ทำให้เขาหยุดม้า ลงมาที่พื้น และเข้าไปหาคนโรคเรื้อนนั้น ฟรังซิสโกโอบกอดและจุมพิตเขาราวกับเป็นพี่น้องของตน
ครั้งหนึ่งใกล้ ๆ กับอารามของท่าน มีสถานที่พักรักษาคนเจ็บด้วยโรคต่าง ๆ ตั้งอยู่ พวกฤๅษีได้ไปช่วยดูแลพยาบาลคนเจ็บเหล่านั้น ในจำนวนคนเจ็บ มีคนโรคเรื้อนอยู่คนหนึ่งซึ่ง ทุกคนเชื่อว่าเป็นคนถูกผีสิงเพราะเขาใช้วาจาหยาบคาย ด่าแช่งต่อผู้ปรนนิบัติเขา เขาหมดความเพียรและไม่รู้จักอดทนอะไรเลย และยังต่อว่าพระเยซูเจ้าและแม่พระอย่างไม่หยุดหย่อน จนไม่มีใครอยากจะอยู่ปรนนิบัติเขา แม้ว่าพวกฤๅษีจะพยายามปรนนิบัติเขาต่อไป แต่เพราะคำหยาบคายที่กล่าวต่อพระเจ้านั้น ทำให้พวกเขาไม่อาจทนได้อีกต่อไป จึงตกลงว่าจะทิ้งคนโรคเรื้อนและพากันไปหาฟรังซิสเพื่อเล่าเรื่องนี้ให้พวกเขาฟัง
เมื่อฟรังซิสทราบเรื่อง ท่านได้ไปหาคนโรคเรื้อนคนนั้นด้วยตัวเอง พอไปถึงก็กล่าวคำทักทายว่า “สวัสดีน้องรัก ขอพระเจ้าประทานสันติสุขแก่น้องเถิด” คนโรคเรื้อนตอบเสียงขุ่น ๆ ว่า “พระเจ้าจะประทานสันติสุขอะไรแก่ผม เพราะพระองค์ได้ถอนความดีและความสุขทุกอย่างไปจากผมจนหมดสิ้น แล้วปล่อยทิ้งให้ผมเปื่อยเน่าและเหม็นอยู่เช่นนี้” ฟรังซิสตอบว่า “ลูกเอ๋ยจงมีความเพียรเถิด การที่พระเจ้าประทานความเจ็บป่วยฝ่ายร่างกายแก่ลูกนี้ ก็เพื่อผลประโยชน์แก่วิญญาณของลูก ถ้าลูกรู้จักอดทนด้วยความเพียรก็จะมีบุญใหญ่หลวง” คนโรคเรื้อนตอบว่า “จะให้ผมมีความเพียรทนเรื่อยไปได้อย่างไร ในเมื่อโรคร้ายมันทรมานผมอยู่ทั้งวันทั้งคืน และสิ่งที่ร้ายกว่านั้นก็คือ ฤๅษีที่ท่านให้ดูแลผมนั้นเพิ่มความทรมานให้ผมไปอีก เพราะเขามิได้ปรนนิบัติผมตามที่ต้องการ”
เมื่อได้ฟังดังนี้และโดยการเปิดเผยของพระเจ้า ฟรังซิสเข้าใจทันทีว่าคนโรคเรื้อนนี้มีผีสิง ฟรังซิสจึงไปภาวนาอ้อนวอนพระเจ้าเพื่อเขา เมื่อภาวนาจบแล้ว ก็กลับมาหาเขาพูดว่า “ลูกเอ๋ย เมื่อลูกไม่พอใจในการปรนนิบัติของคนอื่น ๆ ลูกจะยินดีไหม พ่อเองจะอยู่ปรนนิบัติลูกนับตั้งแต่เดี๋ยวนี้” คนโรคเรื้อนตอบว่า "ยินดีมากแต่ท่านจะสามารถทำสิ่งที่คนอื่นไม่สามารถทำได้อย่างนั้นหรือ" ฟรังซิสตอบว่า “พ่อจะทำทุกอย่างตามที่ลูกต้องการ” คนโรคเรื้อนพูดว่า “งั้นเอาผมไปอาบน้ำชำระร่างกายที ผมรู้สึกเหม็นตัวเองเหลือทน” ฟรังซิสจัดแจงลงมือทันที เขาต้มน้ำ หาหญ้าหอมต่าง ๆ มาต้มด้วย เสร็จแล้วก็อุ้มคนโรคเรื้อนมาชำระล้างร่างกาย โดยมีฤๅษีอีกคนหนึ่งช่วย น่าอัศจรรย์จริง ๆ เมื่อมือของฟรังซิสไปถูกแผลตามร่างกายของคนโรคเรื้อนนั้น แผลนั้นก็หายทันที และเริ่มมีเนื้อใหม่ขึ้นมาแทน เมื่อร่างกายของคนโรคเรื้อนค่อย ๆ หายจากโรคนั้น โรคฝ่ายวิญญาณก็ค่อย ๆ หายไปจากร่างกาย ภายในก็เริ่มบังเกิดการรู้สำนึกถึงบาปของตน เขาได้เป็นทุกข์ถึงบาปและร้องไห้อย่างขมขื่น ในเวลาเดียวกันที่น้ำกำลังชำระแผลฝ่ายกายให้หาย พระเจ้าก็ทรงชำระวิญญาณของเขาให้ขาวสะอาด ด้วยน้ำตาแห่งการเป็นทุกข์ถึงบาป เมื่อคนโรคเรื้อนหายจากโรคทั้งฝ่ายวิญญาณและกายแล้ว เขาได้ถ่อมตนลงยอมรับอย่างสุภาพว่าตนเป็นคนบาปหนา เขาพูดเสียงดังพร้อมกับน้ำตาว่า “วิบัติแก่ตัวผม ผมสมควรตกนรกแล้วเพราะผมได้ทำบาปมากมาย ผมได้กล่าววาจาหยาบคาย ด่าว่าพระเจ้าและต่อบรรดาฤๅษีด้วย” แล้วเขาก็ร้องไห้เป็นทุกข์เสียใจเพราะได้ทำบาป วอนขอต่อพระเจ้าโปรดทรงยกโทษแก่เขาและเขาก็ได้แก้บาปอย่างดี ฟรังซิสเองเมื่อได้เห็นอัศจรรย์จากมือของท่านก็โมทนาคุณพระเจ้าและจากไปอยู่อีกหมู่บ้านหนึ่ง ส่วนคนโรคเรื้อนก็หายเป็นปกติและได้ทำกิจใช้โทษบาปเป็นเวลา 15 วันแล้วก็ไปรับศีลศักดิ์สิทธิ์ อื่น ๆ ของพระศาสนจักร แล้วเขาก็สิ้นใจ วิญญาณของเขามาหาฟรังซิสขณะที่กำลังภาวนาอยู่ในป่าและบอกว่ากำลังจะเข้าสู่ชีวิตนิรันดร