ข้อคิดวันอาทิตย์ที่ 19 กุมภาพันธ์ 2012
“ชายสี่หามคนง่อยคนหนึ่งมาเฝ้าพระเยซูเจ้า แต่เขาไม่สามารถนำคนง่อยนั้นฝ่าฝูงชนเข้าถึงพระองค์ได้ เขาจึงเปิดหลังคาบ้านตรงที่พระองค์ประทับอยู่แล้วหย่อนแคร่ที่คนง่อยนอนอยู่ลงมาทางช่องนั้น" มาระโก 2:3-4)
หญิงคนหนึ่งได้แต่งงานกับอดีตนายทหารฝรั่งเศสคนหนึ่งที่เคยผ่านการรบในสงครามโลกครั้งที่สองมาแล้ว สามีของเธอคนนี้เป็นคนดี มีเหตุผล เข้าใจคนและเป็นสุภาพบุรุษมากๆ ชีวิตครอบครัวของทั้งสองมีความสุขดี แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่หญิงคนนี้ยังรู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก เพราะแม้ว่าสามีของเธอจะเป็นคาทอลิกก็จริง แต่เขาไม่เคยไปวัดเลย ประสบการณ์อันเลวร้ายจากสงครามทำให้เขามีความสงสัยเกี่ยวกับพระเจ้า “พระเจ้าอยู่ที่ไหน ในขณะที่ผู้คนจำนวนมากมายต้องสู้รบและต้องฆ่ากัน” หญิงคนนี้เห็นว่าเขาทั้งสองต่างก็มีอายุมากขึ้นแล้วจึงหาทางชวนสามีของเธอไปโบสถ์เพื่อสารภาพบาปและรับศีลมหาสนิทบ้าง ซึ่งเรื่องนี้ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ง่ายๆเลย แต่อย่างไรก็ตามสามีก็ยินยอมทำตามคำเชิญชวนของเธอ “โอเค ฉันจะไปโบสถ์เพื่อเห็นแก่เธอ” หญิงคนนี้เล่าให้ฟังต่อไปว่า “แรกๆเขาก็ไปสารภาพบาปเพราะเห็นแก่ฉัน แต่ต่อมาเขาก็ไปด้วยความสมัครใจของเขาเอง” การที่สามีของเขาไปสารภาพบาปก็ทำให้เธอมีความสุขแล้ว แต่ที่สุดตัวเขาเองกลับมีความสุขที่บาปต่างๆในชีวิตของเขาได้รับการอภัยแล้ว ความทุกข์และความกังวลใจต่างๆได้รับการชำระแล้ว
เรื่องแรกที่ชวนคิดคือ หญิงคนนี้เป็นเครื่องมือของพระเจ้าที่ทำให้สามีของเธอกลับมาหาพระเจ้าอีกครั้งหนึ่ง เธอปฏิบัติตนเหมือนกับชายสี่คนที่หามเพื่อนมาหาพระเยซูเจ้า จนเพื่อนพิการของเขาได้รับการบำบัดให้หายจากโรคฝ่ายร่างกายและที่สุดเขาก็ได้รับเมตตาฝ่ายจิตวิญญาณด้วย
เรื่องที่สอง ในบทอ่านที่หนึ่งและบทพระวรสารประจำมิสซาฯวันอาทิตย์นี้พูดถึงเรื่อง การลบล้างความผิดหรือการที่พระเจ้าทรงให้อภัยบาปผิดของมนุษย์ “บาป” ในความหมายของภาษาฮีบรูหมายถึง “การหลงทาง” “การห่างออกไปจากจุดหมาย” ในบทอ่านที่หนึ่งพูดถึงชาวอิสราเอลที่ต้องทุกข์ทรมานจากการที่ต้องอพยพไปยังต่างแดนเพราะพวกเขาได้กระทำบาป พวกเขาไม่ได้ซื่อสัตย์ต่อความรักของพระเจ้า ผลที่ตามมาคือพวกเขาไม่สามารถเข้าไปในดินแดนแห่งพันธสัญญาและพระวิหารศักดิสิทธิ์ของพวกเขาก็ถูกศัตรูทำลายสิ้น หมายความว่าพวกเขาไปไม่ถึงจุดหมายปลายทางตามที่ต้องการ ส่วนในพระวรสารชายสี่คนนำคนง่อยมาพบพระเยซูเจ้า ในขณะนั้นฝูงชนมากมายกำลังห้อมล้อมพระองค์อยู่ ทุกคนต่างอยากเห็นอัศจรรย์ต่อหน้าต่อตาพวกเขา แต่พระเยซูกลับบอกคนง่อยว่า “ลูกเอ๋ย บาปของท่านได้รับการอภัยแล้ว”(มาระโก 2:5) พระเยซูเจ้าทรงมีอำนาจอภัยบาปได้เพราะพระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า
การให้อภัยบาปของพระเจ้าเป็นพลังอำนาจที่ทำให้ชายคนนั้นหายจากการเป็นง่อยซึ่งทำให้เขาไม่สามารถเดินได้ แต่ยังมีคนจำนวนมากที่เป็นง่อยฝ่ายจิตใจ เช่น บรรดาธรรมาจารย์บางคนที่พูดถึงในพระวรสารวันนี้ จะมีสักกี่คนที่จับใจความสำคัญที่พระเยซูเจ้าต้องการสอนได้พวกเขาได้ เป็นต้นจากพระวาจาของพระเยซูเจ้าที่ว่า “ลูกเอ๋ย บาปของท่านได้รับการอภัยแล้ว” การยกโทษบาปหรือการให้อภัยบาปของพระเยซูเจ้าเป็นข่าวดีสำหรับเราทุกคน นอกจากเราจะได้รับพระเมตตาจากพระองค์แล้ว พระองค์ทรงปรารถนาให้เราได้ยกโทษให้กับผู้อื่นและยกโทษให้กับตัวของเราเองด้วย เมื่อพระเยซูเจ้าทรงสอนสานุศิษย์ให้ภาวนา ตอนหนึ่งของบทภาวนาพระองค์สอนให้สวดว่า “โปรดประทานอภัยแก่ข้าพเจ้า เหมือนข้าพเจ้าให้อภัยแก่ผู้อื่น” เมื่อเราเข้าไปรับศีลอภัยบาปหรือสารภาพบาป พระสงฆ์จะสวดภาวนาว่า “ข้าพเจ้าจึงให้อภัยบาปของท่านในพระนามของพระบิดา พระบุตรและพระจิต” แน่นอนท่านได้รับการอภัยจากพระเจ้าแล้ว หน้าที่ของท่านต่อไปก็คือ จงออกไปแล้วยกโทษให้ผู้อื่นด้วย
วันนี้เราต้องขอบคุณชายใจดีสี่คนนั้นที่นำคนง่อยมาหาพระเยซูเจ้า แม้ว่าจะมีอุปสรรคมากมาย เราได้เห็นแบบอย่างของภรรยาที่ชวนสามีมารับศีลอภัยบาปได้ แล้วเราล่ะ เราจะช่วยคนอื่นๆให้กลับมาหาพระเจ้า นักบุญยากอบสอนว่า “จงรู้ไว้เถิดว่าผู้ที่ช่วยคนบาปให้กลับมาจากความผิด ก็จะช่วยวิญญาณของตนให้รอดพ้นจากความตาย และจะได้รับการอภัยบาปทั้งปวง” (ยากอบ 5:20)