จงให้ความเคารพต่อความรู้สึกของผู้อื่น
คำพูดทีเรามักจะได้ยินบ่อยๆ เช่น “ฉันจะทำของฉันอย่างนี้แล้วใครจะทำไม” “ฉันไม่สนหรอกว่าเขาจะรู้สึกอย่างไร” “จะไปเกรงใจใครทำไม เราไม่ได้ขอใครกิน” ฯลฯ ถ้านึกภาพตามไปแล้ว คงจะเห็นถึงสภาพจิตใจของผู้ที่พูดเช่นนี้
การที่เราไม่สนใจใยดี หรือแคร์ต่อความรู้สึกของผู้อื่นนั้น ไม่ใช่คุณลักษณะของผู้ที่เป็นศิษย์ของพระเยซูเจ้า
พระวรสารประจำอาทิตย์นี้(มาระโก 1:40-45) เล่าถึงเหตุการณ์ที่พระเยซูเจ้าทรงเข้าไปสัมผัสกับคนโรคเรื้อน ธรรมดาคนปรกติมักจะมีความคิดในแง่ลบต่อบรรดาพี่น้องที่เป็นโรคเรื้อน ในพระคัมภีร์พันธสัญญาเดิมได้พูดชัดเจนถึงข้อปฏิบัติระหว่างคนปรกติกับคนโรคเรื้อน เช่น ต้องไปอาศัยอยู่ในสถานที่เฉพาะ ห้ามปะปนกับคนปรกติ ต้องมีกระดิ่งแขวนคอเพื่อว่าเมื่อเดินไปไหนมาไหนคนปรกติจะได้รู้แล้วหลบได้ ต้องอยู่ห่างจากคนปรกติ 10 เมตร คนมักจะรังเกียจ สำหรับเมืองไทยก็เช่นกัน บางแห่งไม่ยอมให้คนโรคเรื้อนมาปลูกบ้านอยู่ใกล้ๆ หรือไม่ยอมให้ลูกหลานมาเล่นกับเด็กที่เป็นโรคเรื้อน
พฤติกรรมเช่นนี้เกิดขึ้นในสมัยของพระเยซูเจ้าเช่นกัน แต่เมื่อได้เห็นถึงวิธีปฏิบัติของพระเยซูเจ้าแล้ว ทำให้เราได้รับคำตอบ “พระเยซูเจ้าทรงยื่นพระหัตถ์สัมผัสเขา” นี้แหละพระอาจารย์ของเราได้สอนเราด้วยชีวิตจริงของพระองค์เอง นี้เป็นการแสดงความรักอีกรูปแบบหนึ่งของคริสตชน คือ “เคารพต่อความรู้สึกของผู้อื่น”
ลองพิจารณาดูซิ ถ้าเราโดนใครต่อใครรังเกียจ เราจะรู้สึกอย่างไร
โรคเรื้อนในพระวรสารของวันนี้จึงเป็นสัญลักษณ์หมายถึง การรังเกียจ การยกตนข่มท่าน การเห็นว่าตนเองดีกว่าคนอื่น การดูถูกคนอื่น การแบ่งแยก ฯลฯ พฤติกรรมต่างๆเหล่านี้ไม่ควรเกิดขึ้นกับพวกเราเลย ตรงกันข้ามนักบุญเปาโลสอนเราว่า “อย่าทำสิ่งใดให้เป็นที่ขุ่นเคืองใจแก่ผู้อื่น”(1 โครินธ์ 11:321)