คนชอบธรรมเป็นคนอย่างไร
1พกษ. 3:5-12; โรม 8:28-30; มัทธิว 13:44-52
ข่าวดีของพระเจ้าที่เราได้รับฟังในวันนี้ เป็นคำสัญญาของพระเจ้าที่มอบให้แก่เรามนุษย์ทุกคนว่า ใครก็ตามที่เป็น “คนชอบธรรม” คนผู้นั้นจะได้รับ “พระสิริรุ่งโรจน์” ของพระองค์เป็นรางวัล หรือจะพูดอีกด้านหนึ่งก็ว่า ใครที่ไม่เป็นคนที่ชอบธรรม คนนั้นก็จะไม่ได้รับพระสิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้า
เมื่อเป็นดังนี้ เราทุกคนต้องคนจึงต้องพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะดำเนินชีวิตให้เป็นผู้ชอบธรรม แต่ความชอบธรรมคืออะไร? หมายความว่าอะไร? ....คนที่ได้ชื่อว่าเป็น “คนชอบธรรม” ก็คือ บุคคลที่กระทำถูกต้องในสายตาของพระเจ้า ประพฤติตนดีงามโดยไม่ยึดติดกับบาปหรือความเลวร้ายต่างๆ มีชีวิตที่อยู่ในศีลและพระพรของพระเจ้า ผูกพันอยู่กับพระเจ้า เป็นผู้ที่มีความศักดิ์สิทธิ์เหมือนกับอาดัมในระยะแรกที่พระเจ้าทรงสร้างเขามา เขาเป็นคนที่บริสุทธิ์อย่างแท้จริง นี่แหละเป็นเงื่อนไขของบุคคลที่จะได้รับพระสิริรุ่งโรจน์จากพระเจ้า
บางคนอาจจะสงสัยว่า เรื่องนี้จะเป็นไปได้หรือ หรือเป็นไปไม่ได้ ใครจะทำได้ ขอให้เราได้ทบทวนคำสอนจากพระคัมภีร์ที่สอนเราเกี่ยวกับเรื่องของความชอบธรรม พระคัมภีร์ได้สอนเราว่าเราสามารถเป็นผู้ชอบธรรมในพระคริสตเจ้าได้ในสองช่วงเวลา คือ การได้รับความชอบธรรมระหว่างการรับศีลล้างบาป กับการได้รับความชอบธรรมหลังจากการรับศีลล้างบาป ซึ่งทั้งสองต่างมีความจำเป็นที่จะทำให้เราได้เป็นทายาทแห่งเมืองสวรรค์ ได้เป็นบุตรบุญธรรมของพระเจ้า และได้รับพระสิริรุ่งโรจน์
พี่น้องที่เคารพ เราอาจจะพูดว่า ผม/ฉันรู้พระธรรมคำสอนดีแล้ว ฉันเรียนมาหมดแล้ว ฉันนี้แหละเป็นคนชอบธรรมและสมควรได้รับพระสิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้าแล้ว แต่แท้จริงแล้ว แค่เป็นรู้หรือฟังมาเท่านั้นยังไม่พอ เพราะ “เพราะผู้ที่พระเจ้าจะทรงบันดาลความชอบธรรมนั้น มิใช่ผู้ที่ได้ยินได้ฟังธรรมบัญญัติเท่านั้น แต่เป็นผู้ที่ปฏิบัติตามธรรมบัญญัติด้วย” (รม.2:13)
เราอาจจะได้ยินบางคนบอกว่า ผม/ฉันมีความเชื่อในพระเจ้า ฉันสวดภาวนาทุกวัน ฉันมีรูปพระติดตัวตลอดเวลา ฉันนี้แหละเป็นผู้ชอบธรรมและสมควรจะไดรับสิริรุ่งโรจน์จากพระเจ้า ฉันสามารถเอาตัวรอดไปสวรรค์ได้แล้ว แต่แท้จริงแล้ว ความเชื่ออย่างเดียวก็ไม่ได้นำความชอบธรรมมาสู่ตัวของเราเพราะ “มนุษย์จะเป็นผู้ชอบธรรมได้ก็ด้วยการกระทำมิใช่ด้วยความเชื่อแต่อย่างเดียว”(ยก.2:24)
บางคนบอกว่า ผม/ฉัน รับศีลล้างบาปแล้ว ฉันเป็นผู้คนชอบธรรมแล้ว แน่นอน โดยผ่านทางศีลล้างบาป พระเยซูเจ้าได้ทรงยอมตายบนไม้กางเขน หลั่งโลหิต เป็นเครื่องบูชาชดเชยบาป หรือจ่ายค่าปรับจากความผิดบาปของเรามนุษย์แล้ว ทำให้เราเป็นอิสระไม่ถูกลงโทษจากบาปในอดีตของเรา(รม.3:25) นอกจากนั้นพระเยซูเจ้าทรงตรัสอีกว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่าไม่มีใครเข้าสู่พระอาณาจักรของพระเจ้า ถ้าเขาไม่เกิดจากน้ำและพระจิต”(ยน.3:5) การได้รับพิธีล้างบาปนั้นทำให้เราเป็นผู้ชอบธรรมแล้วก็จริง แต่หลังจากนั้น เราได้ประพฤติตนอย่างไร เราได้ใช้อิสรภาพของเราอย่างไร ความชอบธรรมที่เราได้รับมานั้น เราได้รักษาไว้อย่างดี วิญญาณของเรายังคงบริสุทธิ์ผุดผ่องหรือไม่ ดังนั้น ศีลล้างบาปจึงเป็นก้าวแรกของการเป็นผู้ชอบธรรม ชีวิตแห่งการเป็นบุตรของเจ้าได้เริ่มต้นจากจุดนี้เอง
ดังนั้นใครล่ะจะเป็น “ผู้ชอบธรรม และได้รับพระสิริรุ่งโรจน์จากพระเจ้า” อย่างแท้จริง ผมจะพยายามเรียบเรียงการดำเนินชีวิตตามคำสอนของพระศาสนจักรเพื่อเราจะได้ตรวจสอบตนเอง และมั่นใจว่าเราเป็นผู้ชอบธรรมและเหมาะสมจะได้รับพระสิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้า หรือพูดง่ายๆว่าได้ไปสวรรค์ ดังนี้ บุคคลที่จะได้รับความชอบธรรมนั้นจะต้องเป็นผู้ที่ได้รับพระหรรษทาน(ความช่วยเหลือ)จากองค์พระผู้เป็นเจ้า โดยที่พระเจ้าทรงเรียกเราทุกคนให้เข้าหาหรือแสวงหาพระองค์ พระเจ้าประทานอิสระให้แก่เรา หลายคนรู้แล้วเลือก แต่อีกหลายคนไม่เลือก เมื่อเราเลือกพระองค์และฝากชีวิตไว้กับพระองค์ ยอมเข้ามาร่วมชีวิตกับพระเจ้าโดยผ่านทางศีลล้างบาป เข้าเป็นส่วนหนึ่งแห่งพระวรกายศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซูเจ้า ซึ่งทรงทำให้เราเป็นสิ่งสร้างใหม่ เป็นคนใหม่ โดยพระหรรษทานของพระเจ้า ผ่านทางฤทธิ์อำนาจของพระจิตเจ้า อาศัยความเชื่อศรัทธาในองค์พระเยซูเจ้าและศีลล้างบาป เราได้รับหัวใจใหม่และจิตใจใหม่ซึ่งทำให้เราหลุดพ้นจากบ่วงแร้วของความบาปต่างๆที่เราได้หลงผิดทั้งจากการกระทำของตัวเราเองและผลของบาปที่ติดตัวมาอันเนื่องมาจากบาปกำเนิด เราได้เกิดใหม่ด้วยพระจิตเจ้า(ยน.3:5) เราได้รับพระจิตเจ้า พระจิตเจ้าทรงเป็นผู้นำทางเราให้สามารถดำเนินชีวิตในฐานะคริสตชนได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม การเป็นสิ่งสร้างใหม่หรือคนใหม่นี้แหละที่เป็นหลักประกันถึง “ความหวังในชีวิตนิรันดรของเรา”
แต่นี้ยังไม่จุดหมายปลายทางของการเป็นคริสตชน นี้เป็นเพียงการเริ่มต้นบนถนนแห่งความเชื่อของเราในฐานะคริสตชนเท่านั้น เราจะต้องดำเนินชีวิตใหม่ในฐานะที่เป็นคนใหม่ของพระคริสตเจ้า นั้นก็คือ เราต้องดำเนินชีวิตตามความเชื่อที่เรามีนั้น เราต้องเป็นคนชอบธรรมในสายพระเนตรของพระเจ้า นั้นคือ เราต้อง “รักพระเจ้าเหนือสิ่งอื่นใด” เหนือสิ่งของฝ่ายโลก และเราต้อง “รักเพื่อนมนุษย์เหมือนหนึ่งรักตนเอง” และเราต้องเข้ารับศีลศักดิ์สิทธิ์ต่างๆของพระศาสนจักรคาทอลิกอย่างสม่ำเสมอ
หลังจากการรับศีลล้างบาปแล้ว เราอาจจะหลงผิดไปได้อีก เราจึงต้องเข้ารับศีลอภัยบาป เพื่อให้เรากลับมาเป็นผู้ชอบธรรมอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่ต้องสูญเสียความชอบธรรมไปเพราะบาปของเรา แต่เท่านี้ยังไม่พอ เราต้องรับศีลมหาสนิท ซึ่งพระเยซูเจ้าทรงบอกกับเราว่านี้คือพระกายของพระองค์เอง พระองค์ทรงเป็นอาหารทรงชีวิต ถ้าเราไม่รับประทานอาหารทรงชีวิตนี้แล้ว จิตวิญญาณของเราจะแห้งแล้ง และจะต้องตายอย่างแน่นอน การรับศีลมหาสนิทอย่างสม่ำเสมอนี้แหละจะเป็นหลักประกันเพื่อการรับพระสิริรุ่งโรจน์จากพระเจ้า
แล้วเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับบทอ่านในวันนี้อย่างไร พี่น้องที่เคารพพระอาณาจักรของพระเจ้าเปรียบเหมือนขุมทรัพย์ที่ซ่อนไว้ในดิน ไม่ใช่ทุกคนจะรู้และเข้าใจถึงข่าวดีที่พระเยซูเจ้าต้องการที่จะบอกเรา บางคนมองแต่ไม่เห็น ได้ยินแต่ไม่เข้าใจ เพราะพวกเขาต้องการดูและฟังเฉพาะเรื่องที่พวกเขาสนใจเท่านั้น
ในบทอ่านที่หนึ่งจากหนังสือพงศ์กษัตริย์ เราได้รับฟังว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าประทานรางวัลให้กษัตริย์ซาโลมอนเพราะเขาเป็นกษัตริย์ที่ไม่แก่ตนเอง เขาต้องการเป็นคนชอบธรรมต่อหน้าพระเจ้า และพระเจ้าไม่ทรงเปลี่ยนแปลง พระองค์ยังคงประทานพระพรให้กับบุคคลที่ดำเนินชีวิตแบบไม่เห็นแก่ตัวตลอดไป พระองค์ทรงห่วงใยบุคคลที่มีความต้องการหรือขัดสนทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ
ส่วนบทอ่านที่สองจากบทจดหมายของนักบุญเปาโลถึงชาวโรมนั้น เราได้ฟังว่าพระเจ้าทรงรู้จักเราก่อนที่เราจะเกิดมาแล้ว และเราจะต้องตอบสนองพระคุณของพระองค์ด้วยใจอันอิสระ พระองค์ทรงรู้จักเราและทรงประทานความชอบธรรมให้แก่เรา นี้เป็นเกียรติที่เราทุกคนจะต้องรักษาไว้ เราจะต้องสำนึกอยู่เสมอว่า ท่ามกลางประชากรมากมายพระเจ้าทรงเรียกเราให้มารู้จักพระองค์ รักพระองค์และปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระองค์ มีหลายคนที่ได้รับการเรียกจากพระเจ้าแต่ไม่เขาไม่ตอบรับเสียงเรียกนั้น ในวันนี้พระวรสารจึงต้องการที่จะเปิดดวงตาของเราให้มองเห็นถึงความสำคัญของการเป็นผู้ชอบธรรม การเรียกของพระองค์ และตอบสนองต่อการเรียกของพระองค์
พระอาณาจักรสวรรค์เปรียบได้กับขุมทรัพย์ที่ซ่อนอยู่ในทุ่งนา เมื่อใครพบเข้าก็จะมีความยินดี จะขายทุกอย่างเพื่อรวบรวมเงินมาซื้อที่ดินบริเวณนั้น ขุมทรัพย์ที่ว่านั้นคือชีวิตแห่งความสุขนิรันดร ซึ่งจะเป็นสิริรุ่งโรจน์ของชีวิตที่พระเจ้าประทานให้ แต่การจะได้มาซึ่งความสุขแท้จริงนี้จะต้องขายทุกอย่าง คือ ไม่ยึดติดกับสิ่งต่างๆฝ่ายโลก สละความสนุกฝ่ายเนื้อหนัง ความเห็นแก่ตัว ความโลภ ฯลฯ เราต้องขายสิ่งเหล่านี้ออกไป แล้วรวบรวมสรรพกำลังทั้งหมดของเราเพื่อเอาสวรรค์มาครอบครองให้ได้
พระอาณาจักรสวรรค์ยังเปรียบได้กับอวนที่หย่อนลงในทะเล ติดปลามากมาย แต่ปลาที่ได้มานั้นเป็นทั้งปลาดีและปลาที่ไม่เป็นประโยชน์ เขาเก็บปลาดีๆไว้ ส่วนปลาที่ไม่ดีเขาก็จะโยนทิ้งไป คำอุปมานี้หมายถึงอะไร ปลาดีกับปลาไม่ได้ดีหมายถึงใคร แน่นอนตามความเชื่อของเรา เมื่อถึงวันแห่การพิพากษา วันที่พระคริสตเจ้าจะเสด็จกลับมาอีกครั้งหนึ่งนั้น พระองค์จะเสด็จมาเพื่อพิพากษาเราแต่ละคน และจะทรงคัดเลือกเรา ใครจะเป็นปลาดีหรือปลาเน่าก็ขึ้นอยู่กับความประพฤติของเรา นี้เป็นเรื่องที่เราแต่ละคนจะต้องรับผิดชอบตนเอง
พี่น้องที่เคารพ ข่าวดีของพระเจ้าประจำสัปดาห์นี้ เตือนใจของเราแต่ละคน ให้คิดถึงอนาคตที่แท้จริงของตัวเรา เราทุกคนจะต้องเป็นผู้ชอบธรรม เพื่อเราจะได้รับพระสิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้า เราจะต้องอาศัยความช่วยเหลือจากพระเจ้า ที่เราเรียกว่าพระหรรษทาน พระศาสนจักรได้ให้อุปกรณ์ต่างๆมาช่วยเหลือเราเพื่อให้เราสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างปลอดภัย ได้แก่ ศีลศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ การสวดภาวนา การอ่านพระคัมภีร์ การทำกิจเมตตา การดำเนินชีวิตตามที่พระศาสนจักรได้กำหนดไว้ นี้แหละเป็นข่าวดีที่เราจะต้องรับรู้และปฏิบัติตาม และเราจะต้องนำไปประกาศข่าวดีให้กับผู้ที่ยังไม่รู้ที่ยังมีอีกเป็นจำนวนมาก
---------------------------------------------------
บทบัญญัติพื้นฐานของพระศาสนจักร
1. จงร่วมพิธีบูชาขอบพระคุณ และหยุดทางานในวันอาทิตย์ และวันฉลองบังคับ
2. จงรับศีลอภัยบาปอย่างน้อยปีละครั้ง
3. จงรับศีลมหาสนิทอย่างน้อยปีละครั้งในกาหนดปัสกา
4. จงอดอาหาร และอดเนื้อ ในวันที่กาหนด
5. จงบำรุงพระศาสนจักรตามความสามารถ