มหาพรตผ่านไปครึ่งทางแล้ว ยังตั้งใจดีกันอยู่ไหม
ขอพระวาจาขององค์พระเยซูเจ้าผู้เป็นความสว่าง ช่วยให้การเดินทางสู่ปัสกาของเรามีความหมายมากยิ่งขึ้น
ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระองค์ประทานแสงแก่ประทีปของข้าพเจ้า พระเจ้าของข้าพเจ้าทรงส่องความมืดของข้าพเจ้าให้สว่างไสว (สดด. 18:28)
พระยาห์เวห์ทรงเป็นความสว่างและทรงช่วยข้าพเจ้าให้รอดพ้น ข้าพเจ้าจะกลัวผู้ใด? พระยาห์เวห์ทรงเป็นป้อมปราการปกป้องชีวิตของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะหวาดกลัวผู้ใดเล่า? (สดด. 27:1)
พระวาจาของพระองค์เป็นโคมส่องทางของข้าพเจ้า เป็นแสงสว่างส่องทางเดินให้ข้าพเจ้า (สดด. 119:105)
ผู้ที่ตรึกตรองคำสอนเหล่านี้ย่อมเป็นสุข ผู้ที่เก็บรักษาคำสอนนี้ไว้ในใจจะเป็นผู้มีปรีชา ถ้าเขานำไปปฏิบัติ เขาก็จะเข้มแข็งในทุกกรณี เพราะแสงสว่างขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะชี้ทางให้เขา (บสร. 50:28-29)
พงศ์พันธุ์ของยาโคบเอ๋ย จงมาเถิด เราจงเดินตามพระยาห์เวห์ พระองค์ทรงเป็นแสงสว่างของเรา (อสย. 2:5)
วิบัติจงเกิดแก่คนที่เรียกความชั่วร้ายว่าเป็นความดี และเรียกความดีว่าเป็นความชั่วร้าย วิบัติจงเกิดแก่ผู้ที่คิดว่าความมืดเป็นแสงสว่าง และแสงสว่างเป็นความมืด ผู้ที่คิดว่าสิ่งขมมีรสหวาน และสิ่งหวานมีรสขม (อสย. 5:20)
่พระยาห์เวห์จะทรงเป็นความสว่างของเจ้าตลอดไป พระเจ้าของเจ้าจะเป็นความรุ่งโรจน์ของเจ้า (อสย. 60:19)
ท่านทั้งหลายเป็นแสงสว่างส่องโลก เมืองที่ตั้งอยู่บนภูเขาจะไม่ถูกปิดบัง (มธ. 5:14)
ไม่มีใครจุดตะเกียงแล้วเอามาวางไว้ใต้ถัง แต่ย่อมตั้งไว้บนเชิงตะเกียง จะได้ส่องสว่างแก่ทุกคนในบ้าน (มธ. 5:15)
ในทำนองเดียวกัน แสงสว่างของท่านต้องส่องแสงต่อหน้ามนุษย์ เพื่อคนทั้งหลายจะได้เห็นกิจการดีของท่าน และสรรเสริญพระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์ (มธ. 5:16)
จงระวังอย่าให้ความสว่างในท่านมืดไป ถ้าสรรพางค์กายของท่านสว่างไสว ไม่มีส่วนใดมืด สรรพางค์กายของท่านก็จะสว่างไสว เหมือนตะเกียงส่องสว่างท่านด้วยลำแสงของมัน (ลก. 11:35-36)
แสงสว่างส่องในความมืด และความมืดกลืนแสงสว่างนั้นไม่ได้ (ยน. 1:5)
ประเด็นของการตัดสินลงโทษก็คือความสว่างเข้ามาในโลกนี้แล้ว แต่มนุษย์รักความมืดมากกว่ารักความสว่าง เพราะการกระทำของเขานั้นชั่วร้าย (ยน. 3:19)
ทุกคนที่ทำความชั่วย่อมเกลียดความสว่าง และไม่เข้าใกล้ความสว่าง เกรงว่าการกระทำของตนจะปรากฏชัดแจ้ง (ยน. 3:20)
แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามความจริงย่อมเข้าใกล้ความสว่าง เพื่อให้เห็นชัดว่าสิ่งที่เขาทำได้ทำโดยพึ่งพระเจ้า (ยน. 3:21)
พระเยซูเจ้าตรัสกับประชาชนอีกว่า เราเป็นแสงสว่างส่องโลก ผู้ที่ตามเรามา จะไม่เดินในความมืด แต่จะมีแสงสว่างส่องชีวิต (ยน. 8:12)
ตราบใดที่ท่านยังมีแสงสว่าง จงเชื่อในแสงสว่างเถิด เพื่อท่านจะกลายเป็นบุตรของแสงสว่าง’ เมื่อตรัสดังนี้แล้ว พระเยซูเจ้าเสด็จจากไป และทรงหลบซ่อนไม่ให้ประชาชนเห็น (ยน. 12:36)
เราเข้ามาในโลกเป็นแสงสว่าง เพื่อให้ทุกคนที่เชื่อในเราไม่อยู่ในความมืด (ยน. 12:46)
กลางคืนล่วงไปมากแล้ว กลางวันก็ใกล้จะมาถึง ดังนั้น เราจงละทิ้งกิจการของความมืดมนเสีย แล้วสวมเกราะของความสว่าง (รม. 13:12)
ในอดีตท่านเคยเป็นความมืด แต่บัดนี้ท่านเป็นความสว่างในองค์พระผู้เป็นเจ้า จงดำเนินชีวิตเช่นบุตรแห่งความสว่างเถิด (อฟ. 5:8)
ผลแห่งความสว่างคือความดี ความชอบธรรมและความจริงทุกประการ (อฟ. 5:9)
ทุกสิ่งที่ถูกประณามนั้นย่อมปรากฏชัดในความสว่าง (อฟ. 5:13)
ทุกสิ่งที่ปรากฏชัดนั้นคือความสว่าง จึงมีคำกล่าวไว้ว่า “ผู้หลับใหล จงตื่นเถิด จงลุกขึ้นจากบรรดาผู้ตายและพระคริสตเจ้าจะทรงส่องสว่างเหนือท่าน (อฟ. 5:14)
ทุกท่านเป็นบุตรแห่งความสว่างและบุตรแห่งทิวากาล เรามิได้อยู่ฝ่ายราตรีกาลหรือความมืด ดังนั้น เราอย่าหลับใหลเหมือนคนอื่น จงตื่นอยู่เสมอและจงรู้จักประมาณตน (1ธส. 5:5-6)
ของประทานทุกอย่างที่ดีและบริบูรณ์ย่อมมาจากเบื้องบน ลงมาจากพระบิดาผู้ทรงสร้างความสว่าง พระองค์ไม่ทรงเปลี่ยนแปลง ไม่ทรงมีแม้แต่เงาแห่งความแปรปรวนใด ๆ (ยก. 1:17)
นี่คือสิ่งที่เราได้ฟังจากพระองค์ และเรากำลังประกาศให้ท่านทั้งหลายรู้ คือ พระเจ้าทรงเป็นความสว่าง และไม่มีความมืดใด ๆ อยู่ในพระองค์เลย (1ยน. 1:5)
แต่ถ้าเราดำเนินชีวิตในความสว่าง ดังที่พระองค์ทรงดำรงอยู่ในความสว่างแล้ว เราทุกคนก็สนิทสัมพันธ์กันด้วย และพระโลหิตของพระเยซูเจ้า พระบุตรของพระองค์ ก็ชำระเราให้สะอาดจากบาปทั้งปวง (1ยน. 1:7)
ผู้ที่อ้างว่าตนอยู่ในความสว่าง แต่เกลียดชังพี่น้องของตน ผู้นั้นยังจมอยู่ในความมืด (1ยน. 2:9)
ส่วนผู้ที่รักพี่น้องของตน ก็ดำรงอยู่ในความสว่าง และไม่มีสิ่งใดในตัวเขาที่ทำให้เขาล้มลงได้ (1ยน. 2:10)