การสร้างการสอนคำสอน วันอาทิตย์ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2007
ณ วัดนักบุญยวงบอสโก ราชบุรี
บทนำ : วันนี้เป็นการสอนครั้งที่ 3 ให้กับผู้สนใจเข้าเรียนคำสอนตามหลักสูตร RCIA มีผู้สนใจเข้าเรียนคำสอน 7 คน
จุดประสงค์การสอนในวันนี้ คือ
1.เรียนรู้ถึงความหมายของคำสอนเรื่องพระเจ้าทรงเป็นพระผู้สร้างทุกสิ่งทุกอย่างในโลก จากพระคัมภีร์ปฐมกาล 1:1-31 ; 2:1-3
2.เรียนรู้ถึงความสำคัญและบทบาทของการนับถือศาสนา (ก้าวไปด้วยกันบทที่ 3)
3.ฝึกการสวดภาวนาบทภาวนาทางการของพระศาสนาจักร(ก้าวไปด้วยกัน หน้า 220) เวลา 1.30 ชั่วโมง

ดำเนินการ

1. เราเริ่มด้วยการสวดภาวนาพร้อมกัน ตั้งแต่การทำเครื่องหมายสำคัญมหากางเขน สิริพึงมี ข้าแต่พระบิดา วันทามารีอา และจบด้วยเดชะพระนาม

2.ให้สมาชิกเปิดพระคัมภีร์ ปฐมกาล 1:1-31; 2:1-3 แล้วให้อาสาสมัครพลัดกันอ่านคนละตอน จากนั้นผู้นำสรุปสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างในแต่ละวันดังนี้

วันที่ 1 กลางวันและกลางคืน
 
วันที่ 2 ท้องฟ้า-ทะเล(น้ำบนฟ้ากับน้ำเบื้องล่าง)
 
วันที่ 3 น้ำเบื้องล่างมารวมกันจนเกิดพื้นแผ่นดิน แล้วให้มีพืช ผัก ผลไม้ ต่างๆเกิดขึ้นจากแผ่นดินนั้น
 
วันที่ 4 ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์
 
วันที่ 5 สัตว์ในน้ำ และบรรดานกในอากาศ และทรงอวยพรให้มีลูกดกเต็มทะเลและแผ่นดิน
 
วันที่ 6  ฝูงสัตว์ต่างๆทั้ง สัตว์ใช้งาน สัตว์ป่า สัตว์เลื้อยคลาน และเมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ชายและหญิงขึ้นมา แล้วทรงอวยพรให้มีลูกดกเต็มแผ่นดิน ให้มีอำนาจเหนือแผ่นดิน ให้ปกครองฝูงปลา ฝูงนก และฝูงสัตว์ต่างๆทุกชนิด
 
วันที่ 7 พระเจ้าทรงพักผ่อนจากการงานทั้งสิ้นที่ได้ทรงกระทำ และทรงอวยพระพรแก่วันนี้ ทรงตั้งให้เป็นวันบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์
 
3. อธิบายคำสอนเรื่องการสร้างในประเด็นต่อไปนี้

        3.1   เรื่องการสร้างโลกและสรรพสิ่งต่างๆในโลกนี้ถูกบันทึกขึ้นเพื่อตอบคำถามสำคัญของชีวิตที่ว่า มนุษย์มาจากไหน ตายแล้วจะไปไหน มนุษย์เกิดมาเพื่ออะไร ฯลฯ คำตอบสำหรับเรื่องเหล่านี้ก็คือ มนุษย์มาจากพระเจ้า พระเจ้าทรงสร้างทุกสิ่ง และเมื่อเราตายแล้วเราก็จะกลับไปหาพระเจ้า พระผู้สร้างเราอีกครั้งหนึ่ง

        3.2   การบรรยายเรื่องการสร้างนี้มีความหมายหรือคำสอนที่ซ่อนอยู่ในอย่างมากมาย ซึ่งเราจะต้องทำความเข้าใจอย่างเหมาะสม ไม่ใช่อ่านแล้วตีความตามตัวอักษรเท่านั้น

        3.3   ถ้าจะถามว่าทำไมพระเจ้าจึงสร้างโลกและมนุษย์ขึ้นมา คำตอบก็คือ เพราะพระเจ้าทรงรักมนุษย์และทรงประสงค์ให้มนุษย์ได้รู้จักและรักพระองค์ พร้อมกับสิ่งสร้างต่างๆของพระองค์เช่นเดียวกัน และเมื่อมนุษย์ได้พิจารณาถึงความมหัศจรรย์ของโลกนี้แล้วจะทำให้มนุษย์ยอมรับถึงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า

        3.4  ความรักของพระเจ้าที่แสดงออกให้มนุษย์ได้รับรู้นั้น เราจะเห็นได้จากข้อความในพระคัมภีร์ที่เน้นทุกครั้งเมื่อบรรยายถึงการสร้างในแต่ละวันว่า “พระเจ้าทรงเห็นว่าดี” ซึ่งหมายความว่าสิ่งต่างๆที่มีอยู่ในโลกนี้ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ดีทั้งนั้น ดังนั้น สิ่งที่มนุษย์จะต้องประพฤติปฏิบัติก็คือ เคารพต่อความดีของสิ่งสร้างทุกๆอย่าง ไม่ใช้สิ่งของหรือธรรมชาติต่างๆโดยไม่ระมัดระวัง เป็นต้นในปัจจุบันที่สภาวะแวดล้อมของโลกกำลังมีปัญหา เราทุกคนจะต้องช่วยกันดูแลโลก ตามที่พระเจ้าได้ทรงสั่งไว้เมื่อพระองค์ทรงสร้างมนุษย์

        3.5  สิ่งต่างๆที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้นมานั้น ต่างจะต้องอยู่โดยพึ่งพาอาศัยกัน ตามที่บรรยายในพระคัมภีร์ว่าพระเจ้าทรงสร้างสิ่งต่างๆอย่างเป็นลำดับขั้นตอน โดยให้แต่ละสิ่งนั้นอาศัยกันและกัน เช่น มีน้ำมีปลา มีดินมีต้นไม้ มีต้นไม้ก็ให้มีสัตว์อาศัยต้นไม้และพืชเป็นอาหาร เมื่อมีแผ่นดิน มีน้ำมีต้นไม้ใบหญ้า มีสัตว์เล็กสัตว์ใหญ่แล้ว จึงให้มีมนุษย์ แล้วที่สุดให้มนุษย์ช่วยกันบำรุงรักษาและใช้กินเพื่อยังชีพ ทุกงอย่างจึงเป็นวัฏจักรที่ลงตัว ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ด้วยกันแบบกลมกลืน และเติมเต็มให้กับกันและกัน ต่างก็มีประโยชน์ต่อกันและกัน ต่างก็เป็นทั้งผู้ให้และผู้รับต่อกันและกัน

        3.6  ในบรรดาสิ่งสร้างมนุษย์เป็นยอดของสิ่งสร้างทั้งหมด เพราะพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมาให้คล้ายกับพระองค์มากกว่าสิ่งอื่น เราจึงต้องภูมิใจในความเป็นมนุษย์ของเรา และต้องร่วมมือกับพระองค์ในการดูแลรักษาโลกใบนี้ไว้อย่างสุดความสามารถ

        3.7  พระเจ้าทรงสร้างโลกใน 6 วัน และทรงพักผ่อนในวันที่ 7 ซึ่งความจริงแล้ว พระเจ้าไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องพักผ่อน แต่ความหมายที่ซ่อนไว้สำหรับเรื่องนี้ก็คือ พระองค์ทรงปรารถนาให้เรามนุษย์ได้มีเวลาหยุดทบทวนชีวิต และคิดถึงรากเหง้าที่แท้จริงของตนเองว่าเรามาจากไหน ใครคือเจ้าของชีวิตที่แท้จริงของเรา เพื่อให้เราได้รู้จักตอบแทนพระคุณของพระเจ้าผู้ทรงอนุญาตให้เราได้เกิดมา และให้เราได้ใช้เวลากับครอบครัว ให้หยุดจากงานประจำวัน ซึ่งก็เป็นผลดีทั้งทางด้านสุขภาพ จิตใจ จิตวิญญาณ ความสัมพันธ์ในครอบครัว และเพื่อให้เราได้ทำประโยชน์ให้กับสังคมอีกด้วย

 4. เมื่อได้อธิบายคำสอนจากเรื่องการสร้างแล้ว จึงได้นำสมาชิกให้มาพิจารณาถึงเรื่องความหมายของศาสนา จากหนังสือก้าวไปด้วยกัน หน้า24-25  เรื่องที่ครูคนหนึ่งเห็นว่าการไปวัด การอ่านพระคัมภีร์หรือการปฏิบัติศาสนกิจเป็นเรื่องเสียเวลา เพราะศาสนาไม่เห็นจะทำอะไรนอกจากสอนเรื่องสวรรค์ แต่ปล่อยให้คนตกทุกข์ได้ยาก

5. คำตอบจากสมาชิกเห็นว่า ครูคนนี้มีความดีที่สนใจช่วยเหลือคนอื่นให้รู้หนังสือหรือมีวิชา แต่การที่บอกว่าศาสนาไม่มีประโยชน์นั้นเป็นความคิดที่ไม่ถูกต้อง ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะครูคนนี้อาจจะมีประสบการณ์ที่ไม่ดีกับศาสนา หรือไม่ได้เรียนรู้จริงว่าศาสนาได้ทำอะไรเพื่อช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยากบ้าง

6.ที่ประชุมได้อ่านพระคัมภีร์ ลูกา 4:16-19 ถึงเหตุการณ์ที่พระพระเยซูเจ้าทรงอ่านพระคัมภีร์ที่เผยให้เห็นว่าพระองค์ทรงเสด็จลงมาเพื่อช่วยเหลือคนที่ตกทุกข์ได้ยากอย่างแท้จริง ซึ่งศาสนามิใช่แค่วันอาทิตย์เท่านั้น ศาสนาคริสต์ยังมีกิจกรรมต่างๆเพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ที่ตกทุกข์ได้ยาก เช่น มีงานสังคมสงเคราะห์ การช่วยเด็กพิการ คนชรา การฝึกงานอาชีพ ฯลฯ

7.ที่สุดได้อ่านพระคัมภีร์ มัทธิว 26:31-46 เรื่องการพิพากษาครั้งสุดท้าย เพื่อสอนว่า เราในฐานะที่เป็นศาสนิกชนจะต้องปฏิบัติตนอย่างไรในชีวิตจึงจะเป็นคริสตชนที่แท้จริง และจะได้มีชีวิตแห่งความสุขนิรันดร์ ซึ่งก็คือ การให้อาหารแก่คนที่หิว ให้น้ำแก่คนที่กระหาย ให้การต้อนรับคนแปลกหน้า ให้เสื้อผ้าคนที่ขาดแคลน การไปเยี่ยมคนเจ็บไข้ได้ป่วย และการไปเยี่ยมคนที่ติดคุก

8.ส่วนแรงจูงใจที่ผลักดันให้เราทำเช่นนี้ก็คือ “ทุกสิ่งที่เราได้กระทำแก่พี่น้องที่ต่ำต้อย ก็เท่ากับว่าเราได้กระทำกับพระเจ้าเอง”(มธ 25:40)

9.จบการเรียนด้วยการสวดบทภาวนา ข้าพเจ้าเชื่อถึงพระเป็นเจ้า บทแสดงความเชื่อ ความไว้ใจ ความรัก ความทุกข์ เยซู มารีอายอแซฟ ข้าแต่อารักขเทวดา โอ้พระชนนีของพระเป็นเจ้า

ข้อปฏิบัติ

        ให้ทุกคนได้นำคำสอนไปปฏิบัติจริงในชีวิต คือ หาโอกาสแสดงความรักต่อเพื่อนพี่น้อง  โดยการให้อาหารแก่คนที่หิว ให้น้ำแก่คนที่กระหาย ให้การต้อนรับคนแปลกหน้า ให้เสื้อผ้าคนที่ขาดแคลน การไปเยี่ยมคนเจ็บไข้ได้ป่วย และการไปเยี่ยมคนที่ติดคุก ให้พยายามกระทำตามความสามารถแล้วครั้งหน้าให้มาคุยกัน