ขั้นที่ 1 กิจกรรม
ครูเล่าเรื่องต่อไปนี้ให้ผู้เรียนฟัง
จะเรียกว่าอย่างไรดี
เศรษฐีใจบุญสุนทาน ชอบช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก วันหนึ่งมีขอทานคนหนึ่งมาขอความช่วยเหลือขากท่าน ท่านก็หยิบยื่นความช่วยเหลือให้ด้วยความเต็มใจ ขอทานคนนั้นจึงเฝ้าวนเวียนมาขอความช่วยเหลือจากเศรษฐีคนนี้อยู่เป็นประจำ เศรษฐีคนนี้ฉวยโอกาสสั่งสอนตักเตือนให้คนขอทานให้รู้จักทำมาหากินช่วยเหลือตัวเองบ้างเพราะเห็นว่ายังมีพลังวังชาพอที่จะทำการทำงานได้ ทำให้ขอทานคนนั้นไม่สู้จะพอใจ
วันหนึ่งขอทานคนนั้นก็ไปขอความช่วยเหลือจากเศรษฐีอีก เศรษฐีก็ให้เงินจำนวนหนึ่งเป็นทานไป แล้วก็สั่งสอนอบรมตามเคย ขอทานคนนั้นรับเงินแล้วก็เอาเงินจำนวนนี้ไปซื้อมีดเล่มหนึ่งมา พอสบโอกาสก็แอบย่องเข้าไปในบ้านเศรษฐีแล้วฆ่าเศรษฐีคนนั้นตายด้วยมีดเล่มนั้น
ขั้นที่ 2 วิเคราะห์
ครูถามผู้เรียนว่า
- รู้สึกอย่างไรต่อเหตุการณ์นี้ ?
- การกระทำของขอทานคนนี้ผิดหรือถูกอย่างไร ?
ถ้าผิดผิดในข้อใดบ้าง ?
( ผิดต่อความยุติธรรม ความรัก ความกตัญญูรู้คุณ )
- ความผิดดังกล่าวหนักหนาสาหัสเพียงใด ?
- ในความเป็นจริงคนชนิดนี้มีจริงหรือไม่ ?
สรุป การทำผิดต่อผู้ที่มีพระคุณเป็นบาปที่สังคมประณามว่าหนักหนา ไม่สมกับชื่อว่าเป็นคนเลย
ขั้นที่ 3 คำสอน
1.สิ่งที่ไม่สมควรจะเกิดขึ้นในสังคมมนุษย์ และถ้าหากเกิดขึ้นก็ได้รับการประณาม อย่างหนักนี้ กลับเกิดขึ้นเป็นว่าเล่นกับพระเป็นเจ้าผู้ทรงมีพระคุณต่อมนุษย์อย่งหาที่เปรียบมิได้ นั่นก็คือมนุษย์ที่พระเป็นเจ้าได้ทรงสร้างมาตามพระแายาของพระองค์ ผู้ที่พระองค์ทรงไถ่มาด้วยพระโลหิตของพระบุตร พระเยซูคริสต์ ผู้ซึ่งพระองค์ประทานพระหรรษทานและความช่วยเหลือมากมายอยู่เป็นประจำ แต่มนุษย์กลับใช้พระคุณเหล่านั้นมาประหัตประหารพระเป็นเจ้าด้วยการทำบาป เพราะบาปคือการตรึงพระเยซูคริสต์กับไม้กางเขนอีกครั้งหนึ่ง บาปจึงเป็นสิ่งเลวร้ายและหนักหนาสาหัสยิ่งกว่าความเลวร้ายใด ๆ ในโลกนี้ เพราะเป็นการจงใจทำร้ายผู้มีพระคุณยิ่งชีวิตคือพระเป็นเจ้าเอง
2.การทำบาปก็คือการที่มนุษย์ทำคล้าย ๆ กับขอทานคนนั้นคือเนรคุณต่อผู้มีพระคุณ ซึ่งได้แก่พระเป็นเจ้า คนที่ทำบาปก็คือคนที่ได้รับพระคุณจากพระเป็นเจ้า และแทนที่จะใช้พระคุณนั้นกระทำสิ่งที่ดีงามเป็นการขอบพระคุณพระองค์ กลับใช้เพื่อทำผิดฝ่าฝืนพระประสงค์ของพระองค์อย่างจงใจ ความผิดเช่นนี้เราเรียกว่า “บาป”
บาปอาจเข้าใจได้สองลักษณะคือ
ก.”การทำผิดต่อพระเป็นเจ้าโดยรู้ตัวและเต็มใจ” แก่นแท้หรือสาระของความผิดในลักษณะนี้อยู่ที่มนุษย์ตัดสินใจเลือกน้ำใจของตนเองเป็นใหญ่ ไม่ขึ้นกับพระเป็นเจ้า ซึ่งเท่ากับยกตนเองขึ้นเป็นพระเป็นเจ้าเสียเอง ไม่สนใจใยดีต่อพระเป็นเจ้าและน้ำพระทัยของพระองค์อีกต่อไป การกระทำดังกล่าวเท่ากับเป็นการเหยียบย่ำพระเป็นเจ้า ไม่มีพระเป็นเจ้าอยู่ในสายตาอีกต่อไป
ข.”การทำผิดต่อพระบัญญัติของพระเป็นเจ้าโดยรู้ตัวและเต็มใจ” พระบัญญัติคือคำสั่ง การผิดต่อคำสั่งก็เท่ากับผิดต่อผู้ออกคำสั่งดังเช่นที่มนุษย์คู่แรกได้ทำผิดต่อคำสั่งห้ามกินผลไม้ของพระเป็นเจ้า ดังนั้นโดยเนื้อแท้ การทำผิดต่อพระบัญญัติก็เป็นการทำผิดต่อพระเป็นเจ้าเช่นกัน
3.พูดถึงบาปควรจะใช้หมายถึงการทำผิดตามที่กล่าวในข้อ 2 ก. ซึ่งเป็นบาปจริง ๆ หรือที่เรียกว่า “บาปหนัก” ส่วนที่เรียกกันว่า “บาปเบา” นั้น โดยเนื้อแท้แล้วบาปเบาไม่ใช่บาป เป็นแต่เพียงความบกพร่อง ความอ่อนแอ ความเหนื่อยหน่าย ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นกับมนุษย์ทุกคน แต่ไม่ถึงกับเป็นเรื่องใหญ่โตถึงขั้นจงใจยกตนขึ้นเหนือพระเป็นเจ้า อาจจะเป็นการสะดุดหยุดชะงักในการทำคุณงามความดี หรือการเฉไฉออกไปจากเส้นทางความดีบ้างแต่ก็ยังไม่อยู่ในวิสัยที่จะแก้ไขให้กลับคืนมาได้ เพราะมิได้จริงจังกับสภาพดังกล่าว แต่อย่างไรก็ดี การปล่อยปละละเลยทำบาปเบาไปเรื่อย ๆ ก็จะเป็นโอกาสที่ชักพาไปสู่การทำบาปหนักได้
4.ทั้งนี้และทั้งนั้น ผู้ที่ทำบาปก็มิใช่ว่าจะหมดหวัง หรือหมดสิ้นอนาคตไปแล้ว นักบุญเปาโลกล่าวว่า“ที่ใดมีบาปปรากฎมากขึ้น ที่นั่นพระคุณก็จะไพบูลย์ยิ่งขึ้น” ( รม 5,20 )หมายความว่า พระคุณของพระเป็นเจ้านั้นยังมีอยู่มากมายเหลือล้นพอที่จะล้างบาปเหล่านั้น เมื่อผู้ทำบาปสำนึกผิด กลับใจ และเข้าพึ่งพระมหากรุณาของพระองค์ผ่านทางศีลแก้บาป นิทานเปรียบเทียบเรื่อง “ลูกล้างผลาญ” ย่อมเป็นอุทาหรณ์ได้เป็นอย่างดีในเรื่องนี้
5. เมื่อบาปมีความเลวร้ายในตัวมันเอง และถ้าหากไม่สำนึกผิดและแก้ไขก็จะมีผลถึงความสูญเสียตลอดนิรันดร จึงสมควรที่จะหาวิธีป้องกันเพื่อมิให้ทำบาปอีกต่อไป พระเจ้าเป็นผู้สร้างมนุษย์มาพระองค์ย่อมทราบโครงสร้างหรือแก่นแท้ของมนุษย์ดีว่าอ่อนแอและอ่อนเชิงเพียงใด พระองค์จึงประทานความช่วยเหลือมากมายเพื่อช่วยมนุษย์ให้สามารถยืนหยัดในการทำคุณงามความดี ไม่หันไปทำบาปตามแรงดึงดูดของตัณหา ความช่วยเหลือเหล่านั้นมี เช่น
ก.การภาวนา พระเยซูคริสต์ตรัสว่า “จงขอแล้วจะได้ จงหาแล้วจะพบ จงเคาะแล้วประตูจะเปิดให้แก่ท่าน” (มธ 7,7) การภาวนาจึงเป็นเครื่องมือสำคัญและมีผลสำหรับเปิดประตูรับความช่วยเหลือจากพระเจ้า นักบุญอัลฟอนโซถึงกับกล้ายืนยันว่า “ใครภาวนาก็รอด ใครไม่ภาวนาก็พินาศ”
ข.ศีลศักดิ์ศิทธิ์ ที่พระเยซูคริสต์ทรงตั้งขึ้นก็มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยมนุษย์ตามสถานะต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับบาปก็มีศีลศักดิ์สิทธิ์ 2 ประการเป็นต้น คือศีลอภัยบาป ซึ่งมีไว้เพื่อช่วยผู้ที่ทำบาปโดยตรง เพื่อลบล้างบาปที่ได้ทำไปโดยที่ผู้ทำได้สำนึกผิด กลับใจ และมาสารภาพบาปนั้น และศีลมหาสนิท ซึ่งมีไว้เพื่อเป็นพลังเสริมความแข็งแกร่ง คือยึดมนุษย์ให้สนิทแนบแน่นกับพระเจ้า อันจะเป็นการป้องกันมิให้มนุษย์นั้นแตกแยกหรือหันกลับไปหาบาปได้อีกง่าย ๆ
ค.การหลีกหนีโอกาสที่จะทำบาป “ท่านทั้งหลายจงสงบใจและจงระวังระไวไว้ให้ดีด้วยว่าศัตรูของท่านคือมารที่วนเวียนอยู่รอบ ๆ ดุจสิงโตคำราม คอยเสาะหาคนที่มันจะกัดกินได้” (1ปต 5,8) นักบุญเปโตรเปรียบมารหรือปีศาจเป็นเหมือนสิงโตที่ล่ามโซ่วนเวียนไปมาเพื่อหาช่องตะครุบเหยื่อ ฉะนั้นวิธีเดียวที่จะไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของสิงโตตัวนี้ก็คือ อยู่ให้ห่าง อย่าเข้าใกล้ในรัศมีที่มันจะตะครุบเอาได้ นั่นก็คือการหลีกหนีโอกาสที่จะทำบาป ซึ่งได้แก่การมัธยัสถ์กายใจ การละเว้นบุคคล สถานที่ การกระทำที่ยั่วยุไปในทางบาป ฯลฯ
ขั้นที่ 4 ปฏิบัติ
ก.ข้อควรจำ
1. บาปคือการทำผิดต่อพระเป็นเจ้า โดยรู้ตัวและเต็มใจ
2. บาปคือสิ่งเลวร้ายอย่างทีสุด เพราะเป็นการทำผิดต่อผู้มีพระคุณอย่างสูงสุด คือ พระเป็นเจ้า
3. “ที่ใดมีบาปปรากฎมากขึ้น ที่นั่นพระคุณก็จะไพบูลย์มากยิ่งขึ้น” ( รม 5,20 )
4. สิ่งที่จะช่วยมิให้ตกในบาป ได้แก่ การภาวนา การับศีลแก้บาป การรับศีลมหาสนิท การหลีกหนีโอกาสที่จะทำบาป
ข.กิจกรรม
ร้องเพลง “ความเกรงกลัวต่อบาป”
ตั้งใจที่จะหลีกหนีบาปโดยหมั่นสวดภาวนา รับศีลแก้บาป ศีลมหาสนิท และไม่ปล่อยให้อยู่ในโอกาสที่จะทำบาป
เพลง “ความเกรงกลัวต่อบาป”
บาป บาป บาป เราเกรงกลัวต่อบาป
ความชั่วทุกอย่างเป็นบาปถ้าทำผิดบทบัญญัติอย่างเจตนา
กลัว กลัว กลัว กลัวความชั่วกันเถิดหนา
คนดีย่อมเกรงกลัวว่าจะนำความเดือดร้อนมาให้แก่ผู้อื่น