คำสอนเรื่องความทุกข์ทรมาน
ความทุกข์ทรมานอยู่คู่กับมนุษย์ ไม่ว่าเราจะเต็มใจรับหรือไม่ก็ตาม บางคนก็ยอมรับเหมือนกับ “โจรที่ดี” บางคนก็ยอมรับเหมือนกับ “โจรที่ไม่ดี” แต่ทั้งคู่ก็ต้องทุกข์ทรมานเท่ากัน โจรคนหนึ่งรู้จักเปลี่ยนความทุกข์ทรมานของตนให้เป็นบุญกุศล เขายอมรับเพื่อเป็นการใช้โทษบาปและหันหน้าเข้าหาพระเยซูเจ้าที่ถูกตรึงกางเขน และได้รับคำตอบด้วยถ้อยคำที่รื่นหูว่า “วันนี้เจ้าจะอยู่กับเราในสวรรค์” ขณะที่โจรอีกคนหนึ่งตะโกนด่าว่าและเสียชีวิตด้วยความโกรธแค้นอย่างสิ้นหวัง ดังนั้นจึงมีความทุกข์ทรมาน 2 ประเภทๆ แรกเป็นการรับความทุกข์ทรมานด้วยความรัก ส่วนอีกประเภทหนึ่งปราศจากความรัก
นักบุญทั้งหลายยอมรับความทุกข์ทรมานทุกอย่างด้วยความชื่นชมยินดี, อดทนเพราะรัก ขณะที่พวกเรารับความทุกข์ทรมานด้วยความโกรธและหัวเสีย หรือเหนื่อยล้า เพราะเราขาดความรัก. หากเรารักพระ เราก็ควรรักกางเขนและปรารถนาที่จะแบกกางเขนด้วยความยินดีเพื่อเห็นแก่พระองค์ผู้ทรงรับความทุกข์ทรมานเพื่อเรามาแล้ว... เราจะบ่นแสดงความไม่พอใจไปเพื่ออะไร? คนที่ไม่มีความเชื่อที่ไม่รู้จักพระและไม่รู้จักความรักที่ไม่มีที่สิ้นสุดของพระองค์ช่างเป็นคนที่น่าสงสาร เพราะถึงอย่างไรพวกเขาก็ต้องแบกกางเขนเหมือนกับเรา แต่พวกเขาไม่ได้รับสิ่งปลอบใจเช่นเดียวกับเรา เราคิดว่าความทุกข์ทรมานเป็นสิ่งที่ยากลำบากหรือ? ไม่ใช่สิ่งยากเลย กางเขนคือสิ่งปลอบใจเรา เป็นความหวานและความสุข ขอเพียงแต่เราต้องมีความรักขณะที่เราแบกกางเขนอยู่เท่านั้น
ลูกรัก ลูกจะเจ็บปวดเฉพาะก้าวแรกที่แบกกางเขนเท่านั้น เพราะกางเขนที่หนักที่สุดสำหรับเราคือความกลัวกางเขน... พวกเราไม่กล้าที่จะแบกกางเขนของเราซึ่งเป็นเรื่องการเข้าใจผิดอย่างหนัก เพราะทุกสิ่งที่เราทำมีกางเขนติดอยู่กับเราเสมอ เราหลีกหนีกางเขนไปไม่ได้ ดังนั้นเราจะสูญเสียอะไรมากไปกว่านั้นอีกหรือ ทำไมเราไม่ยอมรับและรักกางเขนและใช้นำทางเราไปสู่สวรรค์เล่า? คนส่วนมากหันหลังให้กับกางเขนและหลีกหนีไป ทั้งที่จริงยิ่งวิ่งหนี กางเขนก็ยิ่งตามไปติดๆ และยิ่งทับถมพวกเขาให้หนักยิ่งขึ้น... หากเราเป็นคนฉลาด เราก็ควรจะยอมรับกางเขนเช่นเดียวกับนักบุญแอนดรูเมื่อแลเห็นกางเขนที่พวกเขาเตรียมไว้ให้และยกตั้งขึ้นกลางอากาศ ท่านกล่าวว่า “ยินดีต้อนรับกางเขนที่น่ารัก กางเขนแห่งความชื่นชมยินดี โปรดรับลูกไว้ในอ้อมแขนและฉุดลูกออกจากหมู่ผู้คน โปรดนำลูกคืนสู่พระอาจารย์ผู้ทรงไถ่ลูกด้วยกางเขนด้วยเทอญ”
ลูกรัก จงตั้งใจฟังให้ดี ผู้ที่เดินไปหากางเขน กลับเดินอยู่ในทางตรงข้ามกับกางเขน บางทีเขาอาจพบกางเขน แต่เขาก็ดีใจที่ได้พบ เขารักกางเขนและแบกด้วยความกล้าหาญ. กางเขนทำให้ผู้นั้นร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูคริสตเจ้า กางเขนทำให้เขาบริสุทธิ์และออกห่างไปจากโลกนี้ กางเขนขจัดอุปสรรคทั้งหลายที่อยู่ในใจและช่วยให้ผู้นั้นเดินข้ามชีวิตในโลกนี้เช่นเดียวกับการเดินบนสะพานข้ามสายน้ำ...
จงดูบรรดานักบุญทั้งหลาย เมื่อไม่ถูกข่มเหงเบียดเบียน ก็จะเบียดเบียนตนเอง วันหนึ่งมีนักบวชท่านหนึ่งบ่นกับพระเยซูคริสตเจ้าว่า เขาถูกกลั่นแกล้ง “พระเจ้าข้า ลูกได้ทำอะไรหรือจึงถูกกลั่นแกล้งเช่นนี้?” พระองค์ตรัสตอบว่า “แล้วเราล่ะ เราได้ทำอะไรเมื่อถูกนำตัวไปสู่เขากัลวาริโอ?” เมื่อได้รับคำตอบเช่นนี้ นักบวชผู้นั้นก็เข้าใจ ร้องไห้และขอโทษต่อพระองค์ เลิกบ่นไปตลอดชีวิต. ชาวโลกเป็นผู้น่าสงสารเมื่อได้รับกางเขน ส่วนคริสตังที่ดีจะเป็นคนน่าสงสารเมื่อไม่มีกางเขนจะแบก เพราะชีวิตของเขาอยู่คู่กับกางเขน เช่นเดียวกับปลาที่มีชีวิตอยู่ในน้ำ
จงดูนักบุญคัธรินแห่งอเล็กซานเดรีย(282-305) เธอได้รับมงกุฎ 2 อัน มงกุฎแรกสำหรับความบริสุทธิ์ และมงกุฎที่สองสำหรับการเป็นมรณสักขี เธอมีความสุขมากในการมีโอกาสได้รับความทุกข์ทรมาน แทนที่จะยอมทำบาป! ครั้งหนึ่งมีนักบวชท่านหนึ่งที่ชอบทำพลีกรรมที่เจ็บปวด ท่านเอาเชือกจากบ่อน้ำมาผูกไว้รอบตัวแน่นมากจนเชือกบาดลึกเข้าไปในเนื้อ ทำให้เนื้อเน่าและเป็นที่อยู่ของหนอน เพื่อนนักบวชขอร้องให้ท่านออกไปจากคณะ ท่านก็จากไปอย่างเป็นสุขและไปอาศัยอยู่ในถ้ำ และในค่ำคืนนั้นเอง พระเยซูคริสตเจ้าได้ประจักษ์มาหาคุณพ่ออธิการและตรัสว่า “ท่านสูญเสียสมบัติของคณะไปแล้ว” ชาวคณะจึงออกตามหานักบวชผู้นั้นกลับ จากนั้นก็ตรวจหาตัวหนอนที่บาดแผลของท่าน คุณพ่ออธิการให้แก้เชือกแต่กลับไม่พบร่องรอยบาดแผลใดๆ เลย
อีกเรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้นในเขตวัดที่ติดกับวัดของเรา มีหนูน้อยคนหนึ่งกำลังป่วยหนัก ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลและอยู่ในสภาพที่น่าสงสาร พ่อจึงถามเขาว่า “หนูเอ๋ย หนูเจ็บมากไหม?” --- เด็กคนนั้นตอบพ่อว่า “ไม่หรอกครับ วันนี้ผมไม่รู้สึกเจ็บของความเจ็บเมื่อวาน และพรุ่งนี้ผมก็จะไม่เจ็บของความเจ็บในวันนี้”--- “หนูอยากหายไหม?” --- “ไม่หรอกครับ วันก่อนผมซนมากจึงป่วย ถ้าผมหายผมก็อาจเป็นอย่างนั้นอีก ดีแล้วครับคุณพ่อที่ผมเป็นอยู่อย่างนี้” --- เราคงไม่เข้าใจเรื่องนี้เนื่องจากใจของเราผูกอยู่กับโลกมากเกินไป จนเรารู้สึกอายพวกเด็กๆ ที่มีพระจิตเจ้าประทับอยู่
หากพระเจ้าทรงส่งกางเขนมาให้เรา แล้วเราต่อต้านและบ่นว่า เราเป็นปฏิปักษ์กับทุกสิ่งที่ไม่เห็นด้วยกับเรา เราชอบอยู่ในลังใหญ่ที่มีผ้าฝ้ายปูรองเพื่อความสบาย ทั้งๆ ที่เราควรจะอยู่ในลังที่ปูด้วยหนามแหลม เพราะเราต้องอาศัย กางเขนเพื่อไปสวรรค์. ความเจ็บป่วย, การผจญล่อลวงและปัญหายุ่งยากต่างๆ คือกางเขนในระดับต่างๆ ที่จะนำเราไปสู่สวรรค์ กางเขนเหล่านี้อยู่กับเราไม่นานก็จะหมดไป...
จงดูบรรดานักบุญที่อยู่ในโลกมาก่อนเรา... พระเจ้าผู้พระทัยดีไม่ทรงโปรดให้เราเป็นมรณสักขีทางกาย แต่ทรงโปรดให้เราเป็นมรณสักขีทางใจและทางความตั้งใจของเรา... พระเยซูคริสตเจ้าทรงเป็นต้นแบบของเรา ให้เราแบกกางเขนและตามพระองค์ไปเหมือนกับทหารของนโปเลียน พวกเขาเดินข้ามสะพานทั้งที่ถูกระดมยิงด้วยปืนใหญ่ที่ใช้ “กระสุนพวงองุ่น” (grapeshot) ที่ฆ่าคนได้มากในการยิงแต่ละครั้งจนไม่ใครกล้าเดินข้ามสะพาน แต่นโปเลียนคว้าธง เดินนำหน้าโดยมีพวกทหารเดินตามไปติดๆ
ทหารคนหนึ่งเล่าให้พ่อฟังว่า วันหนึ่งระหว่างการสู้รบ เขาเดินประมาณครึ่งชั่วโมงไปบนร่างของคนตายที่เรียงติดกันแน่นจนไม่มีช่องเดิน, มีแต่โลหิตที่ไหลนองอยู่บนพื้นดินทั่วไปหมด บนถนนแห่งชีวิตเราก็ต้องเดินผ่านกางเขนต่างๆ เพื่อไปให้ถึงบ้านเกิดเมืองนอนที่แท้จริงของเรา กางเขนจึงเป็นบันไดพาดขึ้นสู่สวรรค์... เป็นความสุขใจเพียงใดที่ได้รับความทุกข์ทรมานภายใต้สายพระเนตรของพระเจ้าและสามารถกล่าวในตอนค่ำขณะที่พิจารณามโนธรรมของเราว่า “วิญญาณเอ๋ย วันนี้เจ้าได้ใช้เวลา 2-3 ชั่วโมงเลียนแบบพระเยซูคริสตเจ้า เจ้าได้ถูกลงแซ่, ถูกสวมมงกุฎหนาม, ถูกตรึงกางเขนกับพระองค์!” เมื่อถึงวาระสุดท้ายเราก็คงมีสมบัติที่มีค่าอยู่กับตัว การตายก็จะเป็นสิ่งที่น่ายินดีหลังจากที่ได้ใช้ชีวิตอยู่กับกางเขน! เราควรวิ่งไล่ตามกางเขนเช่นเดียวกับคนโลภที่ไล่ตามเงินตรา... มีแต่กางเขนเท่านั้นที่จะทำให้เรามั่นใจในวันพิพากษาประมวลพร้อม เมื่อวันนั้นมาถึง เราจะมีความสุขกับการที่เคยโชคร้าย เราจะภูมิใจกับความอัปยศอดสูที่เคยได้รับและจะร่ำรวยที่เคยสละสมบัติต่างๆ ให้แก่คนยากจน!
หากมีคนถามท่านว่า “เพื่อที่จะร่ำรวย จะต้องทำอย่างไร?” ท่านก็คงจะตอบว่า “ต้องทำงาน”. การไปสวรรค์ก็เช่นกัน เราต้องรับความทุกข์ทรมาน พระเยซูคริสตเจ้าทรงแสดงให้เราเห็นโดยผ่านทางซีมอนชาวซีเรน พระองค์ตรัสเรียกมิตรสหายให้แบกกางเขนตามพระองค์ไป พระองค์ทรงมีพระประสงค์มิให้เราคลาดสายตาไปจากพระมหากางเขน ดังนั้นกางเขนจึงมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง ไม่ว่าจะเป็นตามข้างถนน บนภูเขาและตามสี่แยกต่างๆ เพื่อว่าเมื่อเรามองเห็นกางเขน เราจะกล่าวได้ว่า “ดูสิ พระเจ้าทรงรักเรานะ!”. พระมหากางเขนโอบอุ้มโลกไว้ และถูกฝังอยู่ในโลกทั้ง 4 มุม มนุษย์ทุกคนจึงสามารถมีส่วนร่วมกับพระมหากางเขนได้เสมอ. กางเขนต่างๆ มีอยู่ตามเส้นทางที่นำไปสู่สวรรค์ คล้ายกับการเดินบนสะพานหินข้ามแม่น้ำ ขณะที่คริสตังที่ไม่ผ่านความทุกข์ทรมานจะเดินบนสะพานไม้ที่พร้อมที่จะพังเมื่อมีผู้ข้าม
ผู้ที่ไม่รักพระมหากางเขนก็อาจได้รับความรอดด้วยความยากลำบากที่สุด เหมือนกับดาวดวงน้อยในท้องฟ้าที่กว้างใหญ่ ขณะที่ผู้ที่ผ่านความทุกข์ทรมานและต่อสู้เพื่อพระเจ้าจะเป็นเหมือนกับดวงอาทิตย์ที่ส่องสว่างอย่างรุ่งโรจน์ กางเขนต่างๆ เมื่อถูกเปลวไฟแห่งความรักเผาจะเปลี่ยนไปเหมือนกับกอหนามที่ถูกโยนเข้ากองไฟและเปลี่ยนสภาพ เป็นเถ้าธุลี หนามที่แหลมคมจะกลายเป็นเถ้าธุลีที่อ่อนนุ่ม วิญญาณที่เคยผ่านความทุกข์ทรมานเพื่อพระเจ้าจะกลายเป็นวิญญาณที่หอมหวานมากสักเพียงใด!
เมื่อเราไม่มีกางเขน เราก็จะแห้งเหี่ยว แต่เมื่อเรายอมแบกกางเขนโดยดี เราจะรู้สึกชื่นชมยินดี มีความสุขและสดชื่น... นี่คืออารัมภบทของการขึ้นสวรรค์. พระเจ้าผู้พระทัยดี, พระนางพรหมจารี, นิกรเทวดาและบรรดานักบุญจะห้อมล้อมเรา อยู่เคียงข้างเราและแลเห็นเรา ทางเดินในชีวิตหน้าของคริสตังที่ผ่านการทดลองเป็นเหมือนกับการนั่งบนเสลี่ยงและมีผู้แบกไปตามทางที่โรยด้วยกลีบกุหลาบ หนามแหลมทั้งหลายจะกลั่นเป็นน้ำหอม และพระมหากางเขนจะส่งกลิ่นหอมออกมา แต่เราต้องบีบเค้นหนามด้วยมือของเราเสียก่อน และกดพระมหากางเขนให้อยู่ชิดกับหัวใจของเราเพื่อจะได้คั้นน้ำหวานที่ซ่อนอยู่ภายในออกมา
พระมหากางเขนนำสันติสุขมาสู่โลกและสู่จิตใจของเรา ความทุกข์ทั้งหลายเกิดจากการที่เราไม่รักพระมหากางเขน ความกลัวกางเขนยิ่งเพิ่มความทุกข์มากขึ้น กางเขนที่แบกได้อย่างสบาย แบกโดยปราศจากความรักไม่ถือว่าเป็นกางเขน เช่นเดียวกับความทุกข์ทรมานที่ผ่านไปด้วยความสุขสบายก็ไม่ถือว่าเป็นความทุกข์ทรมาน. เมื่อเราบ่นว่าความทุกข์ทรมานได้ เราก็ควรจะมีเหตุผลมากยิ่งกว่าในการบ่นว่า “การที่ไม่ทุกข์ทรมาน” เนื่องจากไม่มีสิ่งใดทำให้เราเลียนแบบพระเยซูคริสตเจ้าได้มากกว่าการได้แบกพระมหากางเขนของพระองค์. ช่างเป็นความสนิทสัมพันธ์ที่สวยงามจริงๆ เมื่อได้เป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูคริสตเจ้าในความรักและในบุญกุศลแห่งพระมหากางเขนของพระองค์! พ่อไม่เข้าใจจริงๆ ว่าคริสตังไม่รักพระมหากางเขนและเผ่นหนีไปจากไปได้อย่างไร! เขามิได้หนีไปจากพระองค์เมื่อพระองค์ทรงถ่อมองค์ลงมาถูกตรึงกางเขนและสิ้นพระชนม์เพื่อเราหรือ?
ความขัดแย้งต่างๆ นำเรามาสู่บริเวณเชิงกางเขนที่ปักอยู่ที่ประตูสวรรค์ และเราต้องถูกเหยียบย่ำ ถูกบดขยี้จนไม่เหลืออะไรก่อนที่จะเข้าไปยังสวรรค์ได้... ในโลกนี้ไม่มีผู้คนที่เป็นสุขนอกจากผู้ที่มีจิตใจที่สงบท่ามกลางมรสุมชีวิต พวกเขาลิ้มรสความชื่นชมยินดีในการเป็นลูกของพระ... ความเจ็บปวดทั้งหลายเป็นสิ่งหอมหวานเมื่อเรานำเข้าร่วมสนิทสัมพันธ์กับพระเยซูคริสตเจ้า... ความทุกข์ทรมานมีความหมายอย่างไร? เป็นระยะเวลาที่สั้นมาก หากเราสามารถอยู่บนสวรรค์ได้ 1 สัปดาห์ เราจะเข้าใจคุณค่าของเวลาที่เราทุกข์ทรมานในโลกนี้ว่าเป็นระยะเวลาที่แสนสั้นจนเทียบไม่ได้เลยกับเวลาที่นานแสนนานของ 1 สัปดาห์บนสวรรค์ และเราจะเข้าใจว่ากางเขนที่เราแบกอยู่ในโลกนั้นไม่หนักพอกับรางวัลที่ได้รับบนสวรรค์เลย... ดังนั้นพระมหากางเขนจึงเป็นของกำนัลที่พระเจ้าประทานให้แก่มิตรสหายของพระองค์
เป็นความสวยงามทีเดียวในการถวายตัวทุกเช้าเป็นเครื่องบูชาแด่พระเจ้าผู้พระทัยดี และยอมรับทุกสิ่งเพื่อชดเชยบาปของเรา เราต้องสวดขอให้เรารักกางเขน แล้วกางเขนก็จะเป็นสิ่งที่น่ารัก
พ่อพยายามแบกกางเขนมา 4-5 ปี พ่อถูกผู้คนด่าว่า ถูกคัดค้าน และถูกตำหนิมากมาย พ่อแบกกางเขนจริงๆ แบกหนักจนแทบจะแบกไม่ไหว แต่แล้วพ่อก็สวดขอความรักกางเขนและพ่อก็เป็นสุข พ่อบอกกับตัวเองว่า ไม่มีความสุขอื่นใดนอกจากกางเขน เราต้องไม่คิดถึงที่มาของกางเขนต่างๆ ที่เราได้รับ ถูกแล้วกางเขนมาจากพระ พระให้กางเขนเราเพื่อให้เราพิสูจน์ความรักของเราที่มีต่อพระองค์
**** ขอบคุณข้อมูลจากคุณพ่อวิจิตต์ แสงหาญ เจ้าอาวาสวัดเซนต์จอห์น
แปลจาก http://saints.sqpn.com/stj18020.htm