คำสอนเรื่องความโลภ (Avarice)คำสอนเรื่องความโลภ (Avarice)
         ความโลภคือความรักทรัพย์สมบัติของโลกนี้มากเกินไป   ถูกแล้วลูกรัก  ความโลภคือความรักทรัพย์สินเงินทองและที่ดินโดยปราศจากการควบคุมซึ่งนำสู่ความตายได้ เพราะจะทำให้เราลืมพระเจ้า, ลืมการสวดภาวนา และศีลศักดิ์สิทธิ์.   คนโลภเปรียบได้กับหมูที่หาอาหารในโคลนตมโดยไม่สนใจถึงที่มาของอาหาร   คนโลภมีแต่ก้มหน้าลงสู่พื้นดินและคิดถึงแต่เรื่องของโลก  คนโลภไม่มองขึ้นไปยังสวรรค์เบื้องบนเพราะความสุขของเขามิได้อยู่ในสวรรค์อีกต่อไป.  

คนโลภจะไม่ทำกิจการที่ดีจนหมดลมหายใจ เขาสะสมแต่ความมั่งคั่งด้วยความโลภและเก็บรักษาไว้อย่างใจจดใจจ่อ  เขาจะเป็นทุกข์อย่างหนักหากทรัพย์สมบัติของเขาสูญหายไป   ขณะที่คนโลภนั่งอยู่บนกองเงินกองทอง เขาก็หามีความสุขไม่ เปรียบได้กับผู้ที่กำลังตายด้วยความกระหายน้ำทั้งๆ ที่กำลังดำน้ำอยู่ในลำธาร  หรือผู้ที่กำลังตายด้วยความหิวขณะที่นั่งอยู่บนกองข้าวโพด  เขามีข้าวของทุกสิ่งแต่เขาไม่กล้านำไปใช้ประโยชน์  ทองคำของเขาเป็นสมบัติที่ศักดิ์สิทธิ์ที่เขาบูชา จนไม่กล้าแตะต้อง...

          ลูกรัก  ทุกวันนี้มีคนมากมายบูชาเงินทองราวกับพระเจ้า  หลายคนคิดถึงการหาทรัพย์สมบัติมากกว่าการรับใช้พระเจ้าพระผู้พระทัยดี!   พวกเขาขโมย, คดโกง, ลากคอเพื่อนบ้านไปขึ้นศาล,  พวกเขาไม่ถือพระบัญญัติ  ทำงานในวันอาทิตย์และวันหยุด  หยิบฉวยทุกอย่างด้วยความโลภและอยุติธรรม.   คริสตังที่ดีต้องไม่คิดถึงเรื่องฝ่ายกายที่จะเปื่อยเน่าไปในที่สุด   คิดถึงแต่เพียงเรื่องของวิญญาณที่เป็นอมตะ.   ขณะที่อยู่ในโลก คริสตังที่ดีจะสาละวนเรื่องของวิญญาณแต่เพียงอย่างเดียว  พวกเขาจะขยันทำวัตรและสวดภาวนาอยู่ต่อหน้าพระเจ้าผู้พระทัยดี  ทำวันอาทิตย์ให้เป็นวันศักดิ์สิทธิ์  ฟังมิสซาด้วยความสำรวมและมีจิตใจที่เป็นสุข!  วันเดือนปีไม่มีความหมายสำหรับคริสตังที่ดี  พวกเขาใช้เวลาไปในการรักพระและเพ่งสายตาไปสู่นิรันดรภาพ...

           การที่เห็นพวกเราเพิกเฉยต่อความรอด และวุ่นวายอยู่กับการเก็บสะสมโคลนตม  จะมีคนถามเราไหมว่าเราจะไม่มีวันตายกันหรือ?  เราทำตัวเหมือนกับคนที่สะสมอาหารไว้อย่างมากมายในระหว่างฤดูร้อน ไม่ว่าจะเป็นน้ำเต้าหรือแตงโมเพื่อไว้เป็นเสบียงในการเดินทางไกล  แต่เมื่อฤดูหนาวผ่านไป  สิ่งที่เราสะสมไว้นั้นยังคงจะเหลืออะไรอีกบ้าง?  ไม่เหลืออะไรเลย.    ในทำนองเดียวกัน ทรัพย์สมบัติที่คนโลภสะสมไว้นั้น เมื่อเขาเกิดตายอย่างกระทันหัน แล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับทรัพย์สมบัติเหล่านั้น?  ก็คงเหลือแต่ไม้กระดานที่ใช้ทำโลงและความสิ้นหวังที่ไม่สามารถเอาทองคำไปด้วยได้.   ปกติคนที่ตระหนี่จะตายด้วยความสิ้นหวังเช่นนี้ และต้องไปจ่ายเป็นค่าความกระหายในทรัพย์สมบัติให้แก่ปีศาจตลอดนิรันดร  พวกเขาบางคนถูกลงโทษตั้งแต่ขณะที่อยู่ในโลกนี้

           ครั้งหนึ่งนักบุญนักพรตไฮลาเรียน (Hilarion : 291-371) พร้อมกับศิษย์ติดตามเป็นจำนวนมากออกเดินทางเยี่ยมอารามต่างๆ ที่ปฏิบัติตามแนวทางของท่าน  ท่านได้มาถึงเจ้าของไร่แห่งหนึ่งในที่ห่างไกล  เมื่อเข้ามาใกล้ไร่ก็พบว่ามีคนเฝ้าไร่องุ่นอยู่โดยรอบ  พวกเขาขว้างปาก้อนดินและก้อนหินเพื่อมิให้ท่านนักพรตและผู้ติดตามเข้าไปในไร่องุ่น  เจ้าของไร่องุ่นถูกลงโทษในที่สุด เพราะปรากฏว่าผลผลิตองุ่นในปีนั้นเกือบไม่ได้ผลเลยและเมื่อนำไปทำเป็นเหล้าองุ่นก็กลับกลายเป็นน้ำส้มหมด

           ในทางกลับกัน นักบุญนักพรตซับบัส (Sabbas :  439-532) เชิญนักพรตไฮลาเรียนมาที่ไร่องุ่นของอารามและเชื้อเชิญให้เก็บกินองุ่นได้ตามสบาย  ท่านนักพรตไฮลาเรียนเก็บกิน ทรงอวยพรไร่องุ่นและเก็บองุ่นส่งไปเลี้ยงผู้คนที่อดอยากอีก 3000 คน  21 วันต่อมาปรากฏว่าไร่องุ่นนี้ให้ผลผลิตใช้ทำเหล้าองุ่นได้ถึง 300 หน่วยจากที่ปกติให้ผลผลิตเพียง 10 หน่วย.   ดังนั้นให้เราเจริญรอยตามนักบุญนักพรตซับบัสที่ไม่ผูกใจกับทรัพย์สมบัติของโลก  แล้วพระเจ้าผู้พระทัยดีจะทรงอวยพระพรให้เอง และหลังจากที่พระองค์ทรงอวยพระพรแก่เราในโลกนี้แล้ว พระองค์ยังจะประทานรางวัลแก่เราในโลกหน้าด้วย

**** ขอบคุณข้อมูลจากคุณพ่อวิจิตต์ แสงหาญ เจ้าอาวาสวัดเซนต์จอห์น
แปลจาก
http://saints.sqpn.com/stj18029.htm