คำสอนเรื่องการสารภาพบาป
ลูกรัก เมื่อวิญญาณของลูกมีสิ่งสกปรกเล็กน้อย ลูกต้องรีบทำเหมือนกับคนที่รักษาลูกแก้วให้สวยงามเสมอ เมื่อลูกแก้วสกปรก เขาจะนำไปล้างและเช็ดถูจนใสและเป็นประกายเช่นเดิม ในทำนองเดียวกันเมื่อลูกสังเกตว่าวิญญาณของลูกแปดเปื้อนไปบ้าง ลูกต้องจิบน้ำเสกเล็กน้อยด้วยความเคารพและทำกิจการดีเพื่อใช้โทษบาปที่ลูกได้กระทำ เช่นการให้ทาน, การย่อเข่าเคารพศีลมหาสนิทและการร่วมพิธีมิสซาบูชาขอบพระคุณ เป็นต้น
ลูกรัก ลูกต้องปฏิบัติตนเหมือนกับผู้ป่วยที่เริ่มเจ็บป่วยเล็กน้อย เขายังไม่จำเป็นต้องไปหาหมอ และอาจรักษาให้หายได้เอง เช่นถ้าปวดศีรษะก็อาจใช้วิธีนอนพักผ่อน หรือถ้าหิวก็แค่รับประทานอาหารเท่านั้น แต่ถ้าเป็นการป่วยหนัก หรือมีบาดแผลสาหัส ก็ต้องไปพบแพทย์และกินยา ดังนั้นหากลูกตกอยู่ในบาปหนัก ลูกก็ต้องไปแก้บาปกับพระสงฆ์เพื่อรักษาแผลในวิญญาณเช่นกัน
ลูกรัก เราไม่สามารถเข้าใจพระเมตตาของพระต่อเราในการตั้งศีลอภัยบาปที่ยิ่งใหญ่นี้ได้ หากเราเกิดโชคดีมีโอกาสตั้งคำถามกับพระคริสตเยซู เราก็คงจะไม่คิดถามพระองค์ในเรื่องนี้ แต่เนื่องจากพระองค์ทรงทราบล่วงหน้าถึงสภาพที่อ่อนแอและการมีจิตใจที่ไม่มั่นคงของมนุษย์ ความรักของพระองค์ทำให้พระองค์ทรงกระทำ สิ่งที่เราคงไม่กล้าแม้แต่จะถามถึง หากมีใครสักคนบอกกับวิญญาณที่อยู่ในนรกนานแล้วว่า “เราจะจัดให้มีพระสงฆ์ที่ประตูนรก ผู้ที่อยากจะแก้บาปก็ออกจากนรกไปแก้บาปได้” ลูกคิดว่าจะมีวิญญาณสักดวงจะยังเหลืออยู่ในนรกอีกไหม? คนที่ทำผิดหนักที่สุดก็คงจะไม่กลัวที่จะสารภาพบาปของตน แม้จะให้ร้องตะโกนสารภาพบาปของตนต่อหน้าคนทั้งโลก นรกก็คงจะกลายเป็นทะเลทราย ขณะที่สวรรค์ก็คงมีผู้อาศัยอยู่เต็มไปหมด! ขณะนี้เรายังมีเวลาและมีเครื่องมือพร้อมเพื่อการกลับใจ ขณะที่วิญญาณในนรกไม่มีโอกาสอีกแล้ว และพ่อแน่ใจว่า พวกเขาคงจะพูดกันในนรกว่า “ไปให้พ้น พระสงฆ์! เพราะหากฉันไม่รู้จักพระสงฆ์ตอนที่มีชีวิตอยู่ ฉันก็คงไม่ต้องตกนรกหนักขนาดนี้!”
ลูกรัก เป็นความคิดที่ดีทีเดียวที่เรามีศีลอภัยบาปที่ช่วยสมานบาดแผลของวิญญาณได้ แต่เราก็ต้องรับศีลนี้ด้วยการเตรียมตัวเป็นอย่างดี มิฉะนั้นเราจะมีบาปทับซ้อนบาปที่มีอยู่แล้วเพิ่มขึ้นอีก. ลูกคิดอย่างไรกับคนเจ็บที่มีผู้แนะนำให้ไปหาหมอผ่าตัดที่โรงพยาบาลเพื่อรักษาให้หาย แต่คนเจ็บกลับคว้ามีดและแทงตัวเองเข้าไปอีกและทำให้ตัวเองเจ็บหนักยิ่งขึ้น? นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับคนหลายคนเมื่อออกจากที่แก้บาป
ลูกรัก คนบางคนแก้บาปด้วยความเคยชิน และพูดว่า “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมจึงทำเช่นนั้น...” คนพวกนี้บาดเจ็บอยู่แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร พวกเขาไม่กระฉับกระเฉงในการเดินตรงไปหาพระ แต่มีหินถ่วงอยู่ทำให้อ่อนเพลีย ทั้งนี้เพราะหลังแก้บาปแล้ว ก็ยังคงมีบาปอยู่ ขณะที่บางคนก็สารภาพบาปครบถ้วนโดยมิได้รู้สึกสำนึกผิดเลย จากนั้นก็เดินตรงไปรับศีลมหาสนิทและทุราจารพระโลหิตของพระเยซูคริสตเจ้า พวกเขาเดินไปยังโต๊ะศักดิ์สิทธิ์ในลักษณะของคนอ่อนเพลียและพูดว่า “แต่ฉันก็รับผิดทุกประการแล้วนะ.... ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าฉันมีอะไรผิดปกติ” นี่คือการรับศีลโดยไม่สมควร ซึ่งเป็นสิ่งที่สังเกตได้ยาก!
ลูกรัก คนบางคนก็ทุราจารศีลศักดิ์สิทธิ์ในลักษณะอื่น พวกเขาปิดบังบาปหนักไว้นานถึง 10 ปี หรือ 20 ปี พวกเขารู้สึกไม่สบายใจ และรู้สึกว่ามีบาปในใจอยู่เสมอ พวกเขาคิดอยู่เสมอว่าจะต้องไปแก้บาปแต่ก็ไม่ได้ไปสักที สภาพเช่นนี้คือการตกนรกนั่นเอง เมื่อใดที่มีความรู้สึกเช่นนี้ บางคนก็ถือโอกาสขอ “สารภาพบาปมูล” คือสารภาพบาปทั้งหลายเหมือนกับเป็นบาปที่เพิ่งได้กระทำ เพื่อจะไม่ต้องสารภาพว่าได้ปิดบังบาปเหล่านั้นไว้หลายสิบปีแล้ว นี่ก็เป็นการแก้บาปที่ผิด!
ลูกรัก นี่ก็อาจเป็นการทุราจารศีลแก้บาปเช่นกัน คือการถือโอกาสรีบบอกบาปหนักทั้งหลายขณะที่มีเสียงอึกทึกดังอยู่ข้างที่แก้บาป จากนั้นก็พูดกับตัวเองในใจว่า “ฉันสารภาพบาปครบอย่างถูกต้องแล้ว เป็นโชคร้ายของพระสงฆ์ผู้โปรดบาปที่ไม่ได้ยินเอง” การทำเช่นนี้ยิ่งเป็นโชคร้ายสำหรับตัวเองที่เจ้าเล่ห์ ถือโอกาสสารภาพบาปหนักตอนที่พระสงฆ์ไม่ทันได้ตั้งใจฟัง ซึ่งเป็นเหมือนกับบ้านที่ถูกปล่อยทิ้งไว้นานโดยไม่มีการทำความสะอาด สภาพเช่นนี้ การปัดกวาดคงช่วยไม่ได้มาก เพราะกลิ่นอับหืนยังคงมีอยู่ เช่นเดียวกับการสารภาพบาปของเรา วิญญาณจะสะอาดได้เมื่อมีการใช้น้ำตาล้างทำความสะอาด ลูกรัก เราต้องมีความรู้สึกเสียใจจริงๆ หลังจากการแก้บาปแล้ว เราต้องฝังหนามแหลมเอาไว้ในหัวใจและต้องระวังที่จะไม่ตกในบาปอีก เราต้องทำเหมือนกับที่เทวดากระทำแก่นักบุญฟรังซิสแห่งอัสซีซี (1181/2-1226) ที่ฝังลูกดอกไว้ 5 ดอกและไม่เคยถอนออกเลยจนตลอดชีวิต
**** ขอบคุณข้อมูลจากคุณพ่อวิจิตต์ แสงหาญ เจ้าอาวาสวัดเซนต์จอห์น
แปลจาก http://saints.sqpn.com/stj18019.htm