saint_athanasiusคำสอนเรื่องคุณธรรมหลัก (Cardinal Virtues)
          คุณธรรมแห่งความรอบคอบ (prudence) เป็นคุณธรรมที่พระเจ้าทรงโปรดปรานที่สุด และเป็นคุณธรรมที่มีประโยชน์ที่สุดสำหรับความรอดของวิญญาณ   เราต้องเลือกสรรสิ่งที่สมบูรณ์ที่สุด   หากมีงาน 2 อย่างให้เลือกทำ งานแรกเป็นของคนที่เรารัก งานที่สองเป็นของคนที่เคยทำไม่ดีต่อท่าน  เราต้องเลือกทำงานที่สอง  ทั้งนี้เพราะเมื่อเราทำงานที่เราชอบทำอยู่แล้ว เราย่อมไม่ได้รับบุญกุศลในการทำงานนั้น  

สตรีนางหนึ่งต้องการหาแม่ม่ายมาอยู่ด้วยเพื่อดูแลเธอ  เธอจึงได้ขอ ให้พระสังฆราชอะธานาซีอุส (Saint Athanasius : 293-373)  ให้ช่วยหาคนดูแลเธอโดยเลือกจากกลุ่มแม่ม่ายที่ยากจน  ต่อมาเมื่อเธอพบพระสังฆราชอะธานาซีอุส  เธอได้ต่อว่าพระคุณเจ้าที่จัดหาแม่ม่ายที่มีคุณสมบัติดีเกินไป ทำให้เธอไม่มีโอกาสได้สร้างบุญกุศลสะสมไว้ในสวรรค์เลย  แล้วเธอก็ขอให้พระคุณเจ้าช่วยหาแม่ม่ายคนใหม่มาแทน  พระคุณเจ้าจึงหาให้อีกคนหนึ่งที่มีข้อบกพร่องมากที่สุดเท่าที่จะหาได้  เป็นแม่ม่ายที่เอาแต่ใจ  ขี้โมโหและไม่เคยพอใจเลยเมื่อเธอทำอะไรให้  นี่แหละคือวิถีทางที่เราควรกระทำ  เพราะเราจะไม่ได้บุญกุศลที่ยิ่งใหญ่จากการทำความดีแก่คนที่ดีอยู่แล้วหรือคนที่รู้จักขอบคุณและรู้คุณผู้อื่น

          มีบางคนคิดว่าตนไม่เคยได้รับการปฏิบัติที่ดีเลย  พวกเขาทำตัวเป็นผู้มีสิทธิที่จะทำอะไรก็ได้ตามใจชอบ  พวกเขาไม่เคยพอใจเมื่อได้รับบริการและตอบแทนผู้อื่นด้วยความอกตัญญู...  นี่แหละคือผู้ที่เราควรทำความดีให้ก่อน    เราต้องรอบคอบในการทำกิจการทั้งหลายของเรา  และไม่แสวงหาสิ่งที่ตัวเองชอบ แต่สิ่งที่พระเจ้าทรงพอพระทัยมากที่สุด   สมมติว่าลูกมีเงินอยู่ 1 เหรียญและตั้งใจจะใช้เพื่อขอมิสซา  แต่เผอิญมีคนยากจนผ่านมาและต้องการอาหาร  ลูกควรต้องนำเงินนั้นให้แก่คนยากจนก่อน เพราะถึงอย่างไรการถวายมิสซาบูชาก็ยังจะคงมีการถวายอยู่  เนื่องจากไม่ว่าจะอย่างไรพระสงฆ์ก็ถวายมิสซาอยู่แล้ว ขณะที่คนยากจนอาจรออีกไม่ได้และอาจเสียชีวิตเพราะความหิว... หรือว่าลูกอยากจะเฝ้าศีลในวัดทั้งวัน แต่ก็คิดว่าจะเป็นประโยชน์มากทีเดียวถ้าได้ไปช่วยทำงานให้คนจนที่ลูกรู้จักซึ่งผู้นั้นจะเดือดร้อนมากทีเดียวหากลูกไม่ไปช่วย  ลูกก็ควรไปช่วยเขาเพราะจะเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงพอพระทัยมากกว่าการไปเฝ้าศีลอยู่ทั้งวัน

          คุณธรรมแห่งความมัธยัสถ์ (temperance) เป็นคุณธรรมหลักประการหนึ่ง  เราสามารถควบคุมตนเองมิให้สร้างมโนภาพเกินขอบเขตในการใช้สายตาหรือการรับประทานอาหาร  บางคนต้องมีของขบเคี้ยวที่อร่อยอยู่ในปากตลอดเวลา  เราสามารถควบคุมการฟังของเราโดยไม่ฟังเพลงและการสนทนาที่ไร้สาระ  เราสามารถควบคุมการใช้จมูกของเรา  บางคนใช้น้ำหอมมากจนผู้คนที่อยู่รอบข้างทนกลิ่นไม่ไหว  เราสามารถควบคุมการใช้มือของเรา  บางคนใช้มือจับต้องแต่สิ่งของที่นุ่มสบายมือ...  สรุปคือเราสามารถปฏิบัติคุณธรรมแห่งความมัธยัสถ์กับร่างกายของเราได้ทุกส่วน  ต้องไม่ปล่อยตัวทำตามความต้องการของร่างกาย เหมือนกับการใช้บังเหียนควบคุมการเดินหรือวิ่งของม้ามิให้ไปเร็วเกินควร  บางคนก็นอนเล่นอย่างสบายบนเตียงที่อ่อนนุ่ม  ผู้ที่เป็นนักบุญมิได้เป็นเช่นนั้น  พ่อเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าจะเจริญรอยตามบรรดานักบุญทันได้อย่างไร... พวกเราเมื่อทราบว่าไม่ตกนรกแล้วก็พอ และอาจเต็มใจที่จะอยู่ในไฟชำระไปไม่โดยไม่มีที่สิ้นสุด  ขณะที่พวกนักบุญบินตรงไปสวรรค์เพื่อจะพบพระเจ้าผู้พระทัยดี

นักบุญชารส์ บอรโรเมโอ (Charles Borromeo : 1538-1584  พระคาร์ดินัลผู้ต่อต้านการปฏิรูปทางศาสนา)          นักบุญชารส์ บอรโรเมโอ (Charles Borromeo : 1538-1584  พระคาร์ดินัลผู้ต่อต้านการปฏิรูปทางศาสนา) ผู้มีที่นอนที่โอ่อ่าและอบอุ่นในห้องทำงานที่ทุกคนเห็น โดยที่ไม่มีผู้ใดทราบว่าข้างที่นอนนั้นมีกองฟืนที่ท่านใช้เป็นที่นอนจริงๆ อยู่ทุกคืน  นี่คือการเจริญชีวิตของนักบุญ  พวกท่านมีชีวิตเพื่อการไปสวรรค์ มิใช่เพื่อจะอยู่บนโลกนี้  พ่อชอบการพลีกรรมเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น เช่นการลุกขึ้นจากที่นอนก่อนเวลา 15 นาที หรือลุกขึ้นกลางดึกเพื่อสวดภาวนาชั่วครู่เป็นต้น  ขณะที่หลายคนเข้านอนโดยไม่คิดถึงสิ่งอื่นใดเลยนอกจากการนอน   เคยมีนกพรตท่านหนึ่ง สร้างที่นอนโดยใช้ไม้โอ๊คทำเป็นกล่องใหญ่และใส่หนามแหลมไว้ภายใน  จากนั้นก็นำก้อนหิน 3 ก้อนผูกติดกับศีรษะ  ทุกครั้งที่ท่านลุกขึ้นหรือพลิกตัวก็จะรู้สึกถึงน้ำหนักถ่วงของก้อนหินหรือไม่ก็ถูกหนามตำ  ขณะที่พวกเราคิดถึงแต่ที่นอนที่อ่อนนุ่มเพื่อจะได้นอนหลับสบายเท่านั้น

          หากเรากำลังนั่งในท่านั่งที่ไม่สบายนัก  เราก็ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนไปนั่งท่าอื่นที่ดีกว่า  หรือหากเราเดินอยู่ในสวน เราอาจไม่เลือกเก็บผลไม้ผลที่เราอยากรับประทาน   ขณะเตรียมอาหารเราอาจงดไม่กินเศษที่เกินออกมา  เวลาเดินไปตามท้องถนนที่มีร้านรวงต่างๆ  เราอาจหันไปทางอื่นแทนที่จะดูแต่สิ่งของที่ดึงดูดสายตา.  มีสุภาพบุรุษท่านหนึ่งบางครั้งเมื่อมาที่เมืองนี้  ท่านจะสวมแว่นตา 2 คู่เพื่อจะได้มองไม่เห็นอะไร...  ขณะที่บางคนใช้สายตาสอดส่ายดูสิ่งต่างๆ ตลอดเวลา...  เมื่อเราเดินไปตามถนนในเมือง ให้เรากำหนดสายตาไปหาพระเยซูคริสตเจ้ากำลังแบกกางเขนอยู่ต่อหน้าเรา, มองไปหาพระนางพรหมจารีผู้ที่กำลังมองหาเราอยู่, มองไปยังอารักขเทวดาที่อยู่เคียงข้างเรา   นี่แหละคือชีวิตภายในที่สวยสดงดงาม!  เป็นชีวิตที่สนิทอยู่กับพระเจ้าผู้พระทัยดี... ดังนั้นเมื่อปีศาจมองเห็นวิญญาณที่สนิทอยู่กับพระ  มันจะพยายามฉุดผู้นั้นออกจากพระองค์ด้วยการสร้างมโนภาพร้อยแปดในสมองของเรา   คริสตังที่ดีต้องไม่ฟังเสียงของปีศาจแต่จะพยายามก้าวไปข้างหน้า  เช่นเดียวกับปลาที่แหวกว่ายลงสู่ทะเลลึก... ช่างน่าสงสารที่พวกเรามัวแต่ลากสังขารไปเหมือนกับปลิงที่อยู่ในโคลนตม

         มีนักบุญแห่งทะเลทราย 2 องค์ที่ใช้หนามแหลมมาเย็บติดกับเสื้อผ้าทุกตัวของท่าน ขณะที่เราแสวงหาแต่ความสะดวกสบาย!  กระนั้นก็ดี เรายังอยากจะไปสวรรค์โดยมีสิ่งอำนวยความสะดวกฟุ่มเฟือยเหล่านี้ไปด้วยโดยไม่รู้สึกเคอะเขินเลย  นี่มิใช่วิถีทางที่บรรดานักบุญกระทำ   พวกท่านคิดหาวิธีต่างๆ นานาที่จะทำพลีกรรม และขณะที่ทำพลีกรรมเหล่านั้น พวกท่านก็ได้ลิ้มรสความหอมหวานอย่างไร้ขอบเขต  ผู้ที่รักพระเจ้าผู้พระทัยดีมีความสุขเสียนี่กระไร!  พวกเขาไม่เคยยอมเสียโอกาสแม้แต่ครั้งเดียวในการทำความดี  ขณะที่คนตระหนี่ทำทุกวิถีทางในการสะสมทรัพย์สมบัติในโลกนี้  ส่วนผู้ที่มั่งคั่งในสวรรค์ก็ทำตามวิถีทางของท่าน  เราคงจะประหลาดใจทีเดียวในวันพิพากษาประมวลพร้อมที่เห็นวิญญาณเหล่านั้นเป็นมหาเศรษฐีกัน!

**** ขอบคุณข้อมูลจากคุณพ่อวิจิตต์ แสงหาญ เจ้าอาวาสวัดเซนต์จอห์น
แปลจาก http://saints.sqpn.com/stj18022.htm