คำสอนเรื่องพระจิตคำสอนเรื่องพระจิต
          ลูกรัก เป็นสิ่งที่งดงามเหลือเกินที่เรามีพระบิดาเป็นผู้สร้าง  มีพระบุตรเป็นผู้ไถ่บาป  และพระจิตเป็นผู้นำทางให้เรา...  ลำพังมนุษย์จะหาคุณค่าใดๆ มิได้เลย  แต่เมื่อมีพระจิตประทับอยู่ด้วย มนุษย์ก็กลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่.   มนุษย์เป็นเพียงสิ่งของของโลกและเป็นเพียงสัตว์เดรัจฉาน  มีแต่พระจิตเจ้าเท่านั้นที่จะสามารถยกจิตใจและยกมนุษย์ขึ้นสู่สภาพที่สูงส่งได้.   ทำไมบรรดานักบุญจึงแยกตัวออกจากโลก?  เป็นเพราะพวกท่านโปรดให้พระจิตทรงเป็นผู้นำทางให้   ผู้ที่มีพระจิตเจ้าเป็นผู้นำจะมีความคิดที่ถูกต้อง และนี่แหละคือเหตุผลที่ว่าทำไมคนโง่หลายคนกลับฉลาดกว่านักปราชญ์  ทั้งนี้ก็เพราะเมื่อเรามีพระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์และทรงความสว่างเป็นผู้นำ  เราก็จะไม่หลงออกนอกลู่นอกทาง


          พระจิตทรงเป็นแสงสว่างและพละกำลัง   พระองค์ทรงสอนเราให้รู้จักแยกแยะความจริงออกจากสิ่งเท็จเทียม และแยกความดีออกจากความเลว.   เช่นเดียวกับเลนซ์ที่ใช้ส่องขยายสิ่งของ  พระจิตทรงส่องแสงให้เราเห็นความดีและความเลวอย่างชัดเจน  โดยทางพระจิต  เราแลเห็นทุกสิ่งตรงตามความจริง  เราเข้าใจถึงความยิ่งใหญ่ที่เกิดจากกิจการที่เล็กที่สุดที่เราทำเพื่อพระ และความใหญ่โตของบาปที่เกิดจากข้อบกพร่องที่เล็กน้อยที่สุดของเรา    เช่นเดียวกับช่างทำนาฬิกาที่ใช้แว่นขยายส่องเครื่องจักรกลที่เล็กจิ๋วที่สุดในการประกอบเป็นนาฬิกา  เราเองก็เช่นกันเมื่อได้รับแสงสว่างของพระจิตเจ้า  เราจะสามารถแยกแยะรายละเอียดต่างๆ ทั้งหมดในชีวิตที่น่าสงสารของเรา   และดังนั้นเราก็จะทราบถึงความไม่สมบูรณ์ที่แม้จะขาดหาดไปเพียงน้อยนิดแต่กลับกลายเป็นความผิดมหันต์  และบาปที่เบาที่สุดก็จะทำให้เรารู้สึกหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง  นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมพระนางพรหมจารีผู้บริสุทธิ์ที่สุดจึงไม่เคยทำบาปเลย  ทั้งนี้เพราะพระจิตทรงแสดงให้พระนางเข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงความน่าเกลียดของบาป  พระนางจึงหวาดกลัวการทำบาปแม้แต่บาปที่เบาที่สุด

          ผู้ที่ใฝ่ทางโลกีย์จะไม่มีพระจิต หรือหากมีก็คงเป็นแต่เพียงชั่วครู่ชั่วยาม  พระองค์จะไม่ประทับอยู่ด้วยนาน  เสียงอึกทึกครึกโครมของโลกจะขับไล่พระองค์ออกไปไกล    คริสตังที่มีพระจิตนำทาง จะรู้สึกไม่ลำบากใจในการละทิ้งทรัพย์สมบัติของโลก  แต่จะแสวงหาทรัพย์สมบัติในสวรรค์  เพราะเขาจะรู้จักข้อแตกต่างระหว่างทรัพย์สมบัติทั้งสอง   สายตาของผู้ที่ใฝ่ทางโลกจะมองไม่ไกลไปกว่าชีวิตในโลกนี้  ขณะที่สายตาของพ่อจะมองไม่ไกลไปกว่าผนังวัดนี้เมื่อประตูวัดปิด  สายตาของคริสตังมองลึกลงไปในนิรันดรภาพ  สำหรับผู้ที่มีพระจิตเป็นผู้นำทาง ดูเหมือนจะไม่มีโลก  ส่วนผู้ที่มีโลกเป็นผู้นำทาง ดูเหมือนจะไม่มีพระเจ้า...  ดังนั้นเราจึงต้องตรวจสอบดูว่าใครคือผู้นำทางของเรา  หากมิใช่พระจิตเป็นผู้นำ การทำงานของเราก็หาประโยชน์อันใดมิได้  เพราะสิ่งที่ทำล้วนไร้สาระและปราศจากรสชาติ   แต่เมื่อมีพระจิตนำทาง เราจะลิ้มรสความหอมหวาน... ซึ่งก็เพียงพอที่จะทำให้เราตายจากไปในความสุข!!

         ผู้ที่มีพระจิตนำจะมีประสบการณ์ของความสุขต่างๆ นานา  ขณะที่คริสตังที่ไม่ดีกลับเกลือกกลิ้งอยู่บนกอหนามและหินแข็ง    วิญญาณที่มีพระจิตประทับอยู่จะไม่มีวันอ่อนล้าเพราะการสถิตอยู่ของพระองค์  หัวใจของเขาหายใจด้วยลมหายใจแห่งความรัก   แต่วิญญาณที่ปราศจากพระจิต ก็จะเป็นเหมือนกับก้อนหินตามท้องถนน...  จงใช้มือข้างหนึ่งถือฟองน้ำที่ชุ่มน้ำไว้ และใช้มืออีกข้างหนึ่งถือก้อนหิน  จากนั้นก็ให้บีบมือทั้งสองข้างพร้อมกัน  จะเห็นว่าไม่มีสิ่งใดออกมาจากมือข้างที่ถือก้อนหิน แต่มือที่ถือฟองน้ำจะมีน้ำไหลออกมามากมาย   ฟองน้ำนี้คือวิญญาณที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพระจิต  ส่วนก้อนหินนั้นก็คือหัวใจที่แข็งและเย็นชา เป็นหัวใจที่ไม่มีพระจิตประทับอยู่

         วิญญาณที่มีพระจิตจะลิ้มรสความหอมหวานในคำภาวนา  และเป็นวิญญาณที่รู้สึกว่ามีเวลาไม่พออยู่เสมอ เป็นวิญญาณที่ไม่เคยพรากจากการประทับอยู่ของพระเจ้า   นี่คือจิตวิญญาณที่เฝ้าอยู่เบื้องหน้าพระผู้ไถ่ที่แสนดีของเราในศีลมหาสนิทบนพระแท่น  เป็นจิตวิญญาณที่เป็นเหมือนพวงองุ่นที่วางอยู่ในเครื่องคั้นน้ำผลไม้   พระจิตทรงเป็นความคิดและเป็นผู้เสนอแนะคำพูดในหัวใจของผู้ชอบธรรม... ผู้ที่มีพระจิตจะไม่ทำอะไรที่ไม่ดี  ผลที่บังเกิดจากพระจิตทั้งหลายล้วนเป็นสิ่งที่ดี   แต่เมื่อไม่มีพระจิต ทุกสิ่งก็จะหนาวเย็น  ดังนั้นเมื่อเรารู้สึกว่ากำลังขาดความร้อนรน   ลูกต้องทำนพวารโดยทันทีเพื่อขอความเชื่อและความรักจากพระจิตเจ้า... ลูกเข้าใจหรือยังว่าเมื่อเราเข้าเงียบหรือได้รับพระคุณการุณย์ครบบริบูรณ์ จิตใจของลูกจะเต็มไปด้วยความปรารถนาดีซึ่งเป็นลมปราณของพระจิตที่พัดอยู่เหนือจิตวิญญาณของลูก และทรงรื้อฟื้นทุกสิ่งขึ้นใหม่ เช่นเดียวกับกระแสลมอุ่นที่ละลายน้ำแข็งและนำฤดูใบไม้ผลิกลับมาอีกครั้งหนึ่ง...  ลูกซึ่งมิได้เป็นนักบุญผู้ยิ่งใหญ่ ลูกยังมีเวลาอีกมากที่จะได้ลิ้มรสความหอมหวานของการสวดภาวนาและการประทับอยู่ของพระ  นี่คือการเสด็จมาเยี่ยมเยียนของพระจิตเจ้า   เมื่อเรามีพระจิตประทับอยู่  หัวใจของเราจะพองโต และอาบอยู่ในความรักของพระองค์   ปลาไม่เคยบ่นว่ามีน้ำมากเกินไป เช่นเดียวกับคริสตังที่ดีย่อมไม่เคยบ่นว่าอยู่กับพระผู้พระทัยดีนานเกินไป   บางคนรู้สึกว่าศาสนาเป็นเรื่องน่าเบื่อก็เป็นเพราะพวกเขาไม่มีพระจิตเจ้า

            หากเราถามผู้ที่ตกนรกว่า “ทำไมคุณถึงตกนรก?  พวกเขาก็คงจะตอบว่า “เพราะเราได้ต่อต้านพระจิต”  และหากเราถามนักบุญว่า “ทำไมคุณได้ขึ้นสวรรค์?  พวกนักบุญก็คงจะตอบว่า “เพราะเราได้ฟังเสียงของพระจิต”.    พระจิตคือพละพลัง  พระจิตทรงช่วยเหลือนักบุญซีเมออน (390-459 : นักบุญนักพรตผู้โด่งดังในการใช้ชีวิตอยู่บนยอดเสาหิน 37 ปีใกล้เมืองอาเล็ปโป ประเทศซีเรีย)  พระจิตประทานความอดทนแก่บรรดามรณสักขี  หากไม่มีพระจิตช่วย บรรดามรณสักขีก็คงจะพ่ายแพ้เช่นเดียวกับใบไม้ที่หลุดลอยจากกิ่งก้าน   เมื่อพวกเขาถูกไฟเผา พระจิตก็จะทรงดับความร้อนของไฟด้วยความร้อนแรงของไฟแห่งความรัก   พระเจ้าผู้พระทัยดีผู้ทรงส่งพระจิตมาให้เรา  ทรงปฏิบัติต่อเราเช่นเดียวกับกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ที่ทรงส่งรัฐมนตรีมาช่วยนำทางพลเมืองคนหนึ่งของพระองค์โดยตรัสว่า “ให้ท่านจะอยู่เคียงข้างบุคคลผู้นี้ทุกแห่งหน  และนำเขากลับมาหาเราอย่างปลอดภัยทุกประการ”   ลูกรัก  ช่างเป็นการกระทำที่สวยงามสักเพียงใดที่มีพระจิตเจ้าประทับอยู่เคียงข้าง!  พระจิตทรงเป็นผู้นำทางที่ดีจริงๆ  แต่กระนั้นก็ยังมีบางคนไม่ติดตามพระองค์ไป   พระจิตทรงเป็นเหมือนผู้ที่มีรถเทียมม้าพร้อมที่จะพาเราไปยัง บ่อทองคำ  เราจึงควรกล่าวกับพระองค์ว่า “ตกลงครับ/ค่ะ” ....  ดังนั้นเมื่อพระจิตทรงมีพระประสงค์จะพาเราไปสวรรค์  เราก็ควรจะกล่าวแต่เพียงอย่างเดียวว่า “ตกลงครับ/ค่ะ” และปล่อยให้พระองค์พาเราไปที่นั่น

           พระจิตเป็นเหมือนกับคนทำสวนที่เพาะปลูกวิญญาณของเรา...  พระจิตเป็นข้ารับใช้ของเรา... มีปืนอยู่กระบอกหนึ่ง  เราเป็นคนใส่กระสุน แต่ต้องมีใครสักคนที่เป็นคนลั่นไกเพื่อให้ลูกกระสุนพุ่งออกจากปากกระบอก... ในทำนองเดียวกัน เรามีพละกำลังอยู่ภายในตัวของเราที่จะทำความดี... เมื่อพระจิตทรงกระตุ้นเราให้ทำงาน ผลงานที่ดีก็จะเกิดขึ้น   พระจิตทรงประทับอยู่ในวิญญาณของเราคล้ายกับนกเขาที่นอนพักอยู่ในรัง  พระองค์ทรงชักนำความปรารถนาที่ดีในจิตวิญญาณที่บริสุทธิ์เช่นเดียวกับนกเขาที่กำลังฟักไข่อยู่  พระจิตทรงนำทางเราเช่นเดียวกับมารดาจูงมือลูกน้อยวัย 2 ขวบ หรือเช่นเดียวกับคนตาดีจูงคนตาบอด

           ศีลศักดิ์สิทธิ์ที่พระคริสตเจ้าทรงสถาปนาคงจะช่วยอะไรเราไม่ได้หากปราศจากพระจิตเจ้า  แม้แต่การสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสตเจ้าของเราก็คงจะไร้ผลหากไม่มีพระจิตเจ้า  ดังนั้นพระเยซูคริสตเจ้าจึงตรัสกับคณะอัครสาวกของพระองค์ว่า “ที่เราไปนั้นก็เป็นประโยชน์แก่ท่านเพราะถ้าเราไม่ไปพระผู้ช่วยเหลือก็จะไม่เสด็จมาหาท่าน”.   การเสด็จลงมาของพระจิตจึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อนำพระพรมาให้เราอย่างอุดม  เช่นเดียวกับเมล็ดข้าวสาลี ที่หว่านลงไปในดิน  ถูกแล้วต้องมีแสงแดดและน้ำฝนช่วยให้เมล็ดงอกงามและเติบโตจนผลิตเป็นรวงข้าว    ทุกเช้าเราจึงควรกล่าวว่า “พระเจ้าข้า โปรดส่งพระจิตของพระองค์เพื่อสอนให้ลูกรู้จักสถานภาพของตัวลูกและสถานภาพของพระองค์”

**** ขอบคุณข้อมูลจากคุณพ่อวิจิตต์ แสงหาญ เจ้าอาวาสวัดเซนต์จอห์น
แปลจาก
http://saints.sqpn.com/stj18005.htm