เส้นทางสู่การเป็นคาทอลิก : คุณเสวนีย์ สุดที่รัก
1. ข้อมูลส่วนตัว
คุณเสาวนีย์ สุดที่รัก อายุ 31 ปี อาชีพ เจ้าหน้าที่ส่งเสริมการขายที่เซ็นทรัล สาขาศาลายา จบการศึกษาปริญญาตรีวิทยาศาสตร์บัณฑิต สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง เป็นคนวัดปราโมทย์ จ.สมุทรสงคราม สามีเป็นผู้จัดการด้านอาคารสถานที่เซ็นทรัล ปิ่นเกล้า สามีเป็นสัตบุรุษวัดคริสตพระหฤทัย วัดเพลง คบกันมา 15 ปีก่อนแต่งงาน
2. รู้จักศาสนาคริสตคาทอลิกได้อย่างไร และเหตุผลที่ตัดสินใจเป็นคาทอลิกคืออะไร
หนูมีแฟนเป็นคาทอลิก ก็เลยรู้จักศาสนาคริสต์ แต่งงานแล้วเมื่อเดือนสิงหาคม ปี 2019 แต่งงานมา 1 ปีแล้ว
ก่อนหน้านั้นแฟนได้พาไปวัดไปรู้จักศาสนาคริสต์ ซึ่งก่อนที่จะเข้าศาสนา แฟนก็พาไปร่วมงานปลงศพญาติของแฟน แฟนเขาเปิดเผยกับทุกคนว่าเขานับถือศาสนาคริสต์ และหนูไม่ได้เป็น ทุกคนก็รู้เพราะบ้านหนูอยู่ใกล้กับบ้านแฟน
3. เหตุผลที่ตัดสินใจเป็นคาทอลิกคืออะไร
หนูอยู่ใกล้ชิดกับครอบครัวของแฟน แล้วเห็นแฟนก็ไม่ค่อยเข้าวัด นาน ๆ จะไปวัดสักที หนูก็เลยคิดว่า ถ้าหนูเข้าศาสนาคริสต์ด้วย อาจจะทำให้หนูชวนแฟนไปวัดได้ง่ายขึ้น จะได้ทำกิจกรรมด้วยกันได้ง่ายขึ้น ถ้าต่างคนต่างถือ ถ้าหนูมาทางศาสนาหนู แฟนเขาก็จะมาไม่ได้ หนูก็ยอมถือศาสนาเดียวกัน เพื่อที่จะทำกิจกรรมทางศาสนากับเขาได้
4. ก่อนการเรียนคำสอนคริสต์คาทอลิก มีความคิดและความรู้สึกอย่างไรกับศาสนาคริสต์และชาวคริสต์ บ้านเธอรู้จักศาสนาคริสต์บ้างหรือเปล่า
รู้จักผ่านทางคุณอา ซึ่งก็มาเข้าศาสนาคริสต์เหมือนกัน บ้านคุณอาก็อยู่ทางบ้านศรีสุวรรณ อาเป็นอาของทนายอาร์ต แต่ก่อนที่มีการเสกบ้านก็จะไปด้วย แต่ก็ไม่ค่อยรู้อะไร แต่อาให้ไปช่วยทำขนมและก็สวดสายประคำ
5. เมื่อมารู้ศาสนาพ่อแม่เธออนุญาตไหม
อนุญาตค่ะ พ่อกับแม่ไม่มีปัญหาค่ะ แต่ว่าก็จะมีปัญหาที่ยายนิดหน่อย คือยายไม่เข้าใจเรื่องศาสนาก็คิดถึงหลักของศาสนาว่า จะได้เผาหรือจะได้ฝัง จะยังไง กลัวไม่มีที่ไป ก็เลยอธิบายให้เขาฟังตั้งแต่เรียนคำสอนหนูก็มีความศรัทธาในศาสนาอยู่ก่อนแล้ว
6. หลังจากได้เรียนรู้ฯแล้วรู้สึกอย่างไร มีความแตกต่างจากศาสนาเดิมบ้างไหม
แตกต่างนิดนึง มีคำถามบางอย่างตอนเรียนก็ยังงง เช่น คาทอลิกรู้อย่างหนึ่งว่าตายแล้วเราจะไปไหน หนูก็ยังงงว่าตายแล้วเราไปไหน แต่ก็หาคำตอบได้จากครูอี้ด (ครูคำสอนประจำวัด) สอนคำสอน หนูกระจ่างขึ้น ถามว่าหนูขัดศาสนาคริสต์ไหม หนูก็ไม่ได้ขัดกับศาสนาคริสต์ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เพราะหนูเข้าใจตนเองตั้งแต่แรกอยู่แล้วว่าหนู ต้องแต่งงานกับเขา ก็จะตั้งใจเรียนและเข้าศาสนา ก็เลยไม่ต่อต้าน เพราะฉะนั้นสิ่งที่ศาสนาสอน หนูก็จะน้อมรับและเชื่อฟัง
7. หลักคำสอนสำคัญอะไรที่รู้สึกดี มีประโยชน์ต่อชีวิต
เรื่องกฎของความรัก คือคนพุทธมักจะสอนเรื่องกฎแห่งกรรม ซึ่งมันจะสอดคล้องกับกฎแห่งความรักของศาสนาคริสต์ คือ พื้นฐานของการที่คนเราจะอยู่ร่วมกันได้ต้องมีความรัก แม้จะไม่ใช่แฟน แม้จะไม่ใช่คนในครอบครัวเราก็ต้องรักเขา รักเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน หนูรู้สึกว่ากฎของความรักมันสามารถทำให้หนูอยู่ในสังคมได้ง่ายขึ้นแล้วก็เหมือนมีชีวิตอยู่กับคนอื่นได้ง่ายขึ้น มันไม่ได้ฝืนอะไร
8.เราก็มีนิสัยบุคลิกอย่างนี้อยู่แล้วใช่ไหม
คือเมื่อก่อน ไม่ค่อยชอบไม่ค่อยชอบยุ่งกับใคร แต่พอมาเรียนคำสอนหนูจำได้ว่าเคยเรียนคำสอนอยู่ เรื่องศีลอภัยบาป ว่ามีคุณพ่อท่านหนึ่งที่เป็นคนเกาหลีเขาต้องอภัยบาปให้กับชายคนที่เขาต้องโทษ ที่เขาขับรถชนพ่อของบาทหลวง ก็เลยเข้าใจตรงนั้นมากขึ้นแล้วก็มันก็จริงว่าเราสามารถที่จะรักใครก็ได้ โดยที่เขาเป็นแค่เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เราก็จะสามารถอยู่ได้โดยไม่ทะเลาะกับใคร โดยไม่ขัดแย้งกับใคร ชีวิตมันก็ง่าย
9. คำสอนนี้มีผลกับคนรอบข้างกับเพื่อนร่วมงานไหม
มีผลค่ะ ใช่ค่ะ แม้แต่กับแฟนก็อภัยง่ายขึ้นเพราะเรารักเขามากขึ้น
10. แล้วเพื่อนๆ รู้ไหมว่าเรามานับถือศาสนาคริสต์ เขาแปลกใจไหม
ไม่ค่ะ เขาทราบอยู่แล้วว่าหนูคบกับแฟนคนนี้มานานแล้ว เขาทราบว่าแฟนเป็นคริสต์ ยังไงหนูก็ต้องเข้าคริสต์ ก็ไม่ได้ต่อต้านและก็ไม่ได้แปลกใจค่ะ เพราะว่าเวลาหนูเล่าเรื่องคริสต์หนูก็จะเล่าเรื่องที่หนูชื่นชอบให้เพื่อน ๆ ฟัง คือเขาก็ไม่ได้ต่อต้านและเขาก็ไม่ได้เรียนรู้อะไรเกี่ยวกับศาสนาเราเยอะ เพียงแค่หนูดูแปลกใหม่สำหรับเขา แต่เมื่อหนูเจอเพื่อนที่เป็นคาทอลิกด้วยกัน เพื่อนก็จะสอนหนู ส่งพระวาจาของพระเจ้าให้หนูทุกวัน
11. มีใครถามหรือพูดอะไรเกี่ยวกับว่า เพราะเราจะแต่งงาน จึงมาเป็นคริสต์ใช่ไหม
ไม่มีค่ะ เข้าใจว่าเรื่อศาสนาปัจจุบันนี้ คนก็ไม่ค่อยรังเกียจแล้วนะ คนในรุ่นหนู จะไม่ค่อยกีดกันเรื่องศาสนา สามารถอยู่ร่วมกันได้
12. วิธีการเรียนคำสอนที่คิดว่าเหมาะสมกับคนยุคปัจจุบันคืออะไร
สิ่งแรกคิดว่า เป็นตัวของผู้ใหญ่ที่มาเรียน คือ ศรัทธา ต้องปรับที่ตัวของคนที่มาเรียนก่อน สำหรับหนูสิ่งที่หนูอยากรู้คือ พิธีกรรมต่าง ๆ คนที่เป็นผู้ใหญ่แล้วไม่มีเวลามีเรียนรู้เหมือนเด็ก ๆ ที่จะได้เข้าวัดได้เป็นเด็กช่วยจารีต หนูว่าเรื่องของการสอน การประพฤติตนในวัด เรียนรู้แต่เรื่องของวิธีการปฏิบัติในวัด แนะนำว่าในแต่ละพิธีกรรมต้องทำอย่างไรค่ะ ควรสอนแบบนี้ด้วย เพราะถ้าเขามีศรัทธาแล้ว เรื่องของกฎระเบียบเป็นเรื่องง่ายที่จะเรียนรู้ สำหรับหนูทำยังไงเพราะว่าถ้าหนูคิดว่าถ้าปฏิบัติถูกต้องมันจะดูเป็นระเบียบเรียบร้อยเหมือนคนทั่วไป ที่เขาเป็นคริสต์ตั้งแต่แรกมาแล้ว เราจะดูไม่แตกต่าง ถ้าเกิดว่าเราไปถ้าเราทำผิดทำถูกเราจะดูแตกต่างจากเขา
13. รู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับการไปวัดในวันอาทิตย์ เมื่อต้องไปวัดวันอาทิตย์ เรามีความรู้สึกลำบากไหม
ไม่เลยค่ะ สำหรับหนูไม่เลยค่ะ ตอนที่หนูเป็นพุทธก็ไปวัดบ่อย ๆ ไปวันสำคัญทางศาสนาหนูก็ไปร่วมอยู่แล้ว หนูว่าการไปวัดทำให้เราได้ใกล้ชิดกับพระเจ้ามากขึ้น อาจเป็นเพราะหนูมีความศรัทธาอยู่แล้ว หนูก็เลยรู้สึกว่าการเป็นคริสตชนต้องทำ การปฏิบัติตนอย่างนี้คือสิ่งที่ดี หนูอยู่แถวนครปฐมใช่ไหมคะ ช่วงคริสตมาสหนูก็ชวนแฟนไปวัดนักบุญเปโตร สามพราน ถ้าติดธุระอะไร ไม่สามารถเดินทางไปที่วัดพระคริสตหฤทัย วัดเพลงได้ แต่ถ้ามีอะไรที่มันสำคัญที่วัดเรา ก็จะกลับมา เช่น เสกสุสาน แต่ถ้าไปไม่ได้จะไปที่วัดนักบุญเปโตร
14. พ่อแม่เป็นห่วงหรือเปล่าว่าถ้ามาเป็นคริสต์แล้ว เดี๋ยวพ่อแม่มีงานศาสนาพุทธจะไม่สามารถไปร่วมได้
หนูไปนะคะ หนูแค่ไม่ได้ออกไปทำอะไรเหมือนเมื่อก่อน ไปร่วมเฉย คุณพ่อเจ้าวัดเคยบอกว่า หนูไปได้ แค่ไม่ได้ออกไปเหมือนแต่ก่อน เราสามารถไปร่วมงานได้ เช่นไปร่วมงานศพหนูก็ไป แต่ไม่ได้นำสวดอะไรอย่างนี้ (เหมือนคนพุทธมาวัดเรา เวลารับศีลก็ไปรับไม่ได้)
15.แล้วก็ต้องมีการแก้บาป รับศีล รู้สึกอย่างไรบ้าง
ตอนแรกจะเขิน ไปแก้บาป ไปรับศีลก็จะเขินนิดนึง กลัวมีอะไหนผิด มือไหนวางตรงไหน แต่พอไปบ่อย ๆ ก็ไม่เขินแล้ว กลับรู้สึกดีที่ได้ทำ มันรู้สึกเหมือนอิ่มใจที่ได้ทำ
16.ตอนเข้าพิธีล้างบาปรู้สึกอย่างไร และเวลาเพื่อนถามว่านับถือศาสนาใด กล้าบอกไหม
เวลาเข้าพิธีศีลล้างบาป ขนลุกเลยค่ะ และถ้าเพื่อนถามก็กล้าค่ะ พอรับศีลล้างบาปได้ 2 อาทิตย์ ก็ไปเปลี่ยนบัตรประชาชนว่าเป็นศาสนาคริสต์เลย