ศูนย์คริสตศาสนธรรมสังฆมณฑลราชบุรี
CATECHETICAL CENTER OF RATCHABURI DIOCCESE

พระเยซูคริสต์
      
พระเยซูคริสต์ทรงเป็นช่างไม้คนหนึ่ง พระองค์มาจากครอบครัวของช่างไม้ที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆในประเทศทางตะวันออกกลาง พระองค์ทรงเลือกที่ได้สมญานามว่า “เยซูชาวนาซาเร็ธ” ไม่ทรงเลือกที่จะให้ใครๆเรียกท่านว่า “เยซูแห่งกรุงเยรูซาเล็ม” หรือ “เยซูแห่งกรุงโรม”

       ท่านทรงเลือกใช้ชีวิตอย่างจนๆทำงานในฐานะผู้เทศนาโดยไม่มีหลักแหล่งที่แน่นอน ค่ำไหนนอนที่นั้น มีชีวิตอยู่โดยอาศัยความรักและความเผื่อแผ่ของชาวบ้านที่ได้พบพระองค์

       ท่านไม่มีเงินที่จะจ่ายภาษีอากรให้กับรัฐบาล ท่านและลูกศิษย์ไม่มีอะไรจะกินจนบางครั้งต้องเก็บเมล็ดข้าวในท้องทุ่งมากิน

       ท่านไม่ได้รับการศึกษาอย่างเป็นระบบ ไม่มีปริญญา และตลอดชีวิตทั้งสิ้นของพระองค์ พระองค์ไม่เคยเดินทางไปไหนเกินเลย 300 ไมล์ จากบ้างของพระองค์ เพื่อนสนิทๆของพระองค์ล้วนแต่เป็นคนยากจน(Aloysius Schwartz)

จากบทข้าพเจ้าเชื่อ
           นักบุญเปาโลเตือนใจพวกเราทุกคนว่า เมื่อถึงเวลาที่กำหนดไว้ พระเจ้าทรงส่งพระบุตรของพระองค์ให้มาเกิดจากหญิงผู้หนึ่งเพื่อไถ่บาปของเรา (เทียบ กท 4:4-5)
           พระนามของพระองค์ คือ “เยซู” นามนี้ได้มาจากการแจ้งข่าวของทูตสวรรค์กาเบรียนแก่พระแม่มารีเพื่อให้เป็นพระมารดา คำว่า “เยซู” หมายความว่า “พระเจ้าทรงช่วยเหลือ”(God saves) เพื่อบ่งบอกว่าสถานะที่แท้จริงของพระเยซูคือ “ความเป็นพระเจ้า” และ พันธกิจของพระเยซูคือการช่วย “ไถ่บาป” ให้มนุษย์ทุกคน
อีกพระนามหนึ่งคือ “คริสต์”(Christ) ซึ่งมาจากภาษาฮิบรูที่หมายถึง “การเจิม”(anointed) การเจิมเป็นการแต่งตั้งบุคคลใดบุคคลหนึ่งเพื่อเข้ามาทำงานรับใช้พระเจ้าซึ่งเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของชาติอิสราเอล ในกรณีนี้พระเยซูเจ้าทรงได้รับการเลือกและการเจิมจากพระบิดาเจ้าเพื่อให้มาทำงานพิเศษสุดของพระองค์คือ การไถ่บาปมนุษย์

           “พระบุตรของพระเจ้า”(Son of God) พระนามนี้มาจากคำที่ใช้ในพันธสัญญาเดิมเพื่อบ่งบอกถึงความสัมพันธ์และความใกล้ชิดระหว่างองค์พระผู้เป็นเจ้ากับสิ่งสร้างของพระองค์ ในกรณีของพระเยซูนี้ ความสนิทสัมพันธ์ของพระองค์กับพระบิดาแนบแน่นจนเป็นหนึ่งเดียวกัน จนเรียกว่าพระองค์ทรงเป็น “หนึ่งในพระตรีเอกภาพ” พระองค์ทรงสนิทแนบแน่นกับพระเจ้ามากกว่ามนุษย์ใดๆ พระบิดาเจ้าทรงเรียกพระเยซูเองว่าเป็นบุตรของพระเจ้าถึงสองครั้งคือในระหว่างที่พระเยซูทรงรับพิธีล้างที่แม่น้ำจอร์แดนและในขณะที่พระเยซูเจ้าทรงจำแลงพระกายบนภูเขาต่อหน้าสาวก

          “องค์พระผู้เป็นเจ้า”(Lord) เป็นอีกพระนามหนึ่งของพระเยซู พระนามนี้มาจากพันธสัญญาเดิมเช่นกัน คำว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าถูกใช้เพื่อแทนพระนามของพระเจ้าซึ่งแต่ดั่งเดิมนั้นห้ามออกพระนามของพระเจ้าโดยตรง พระนามนี้จึงแสดงให้เห็นถึงความเป็นพระเจ้าของพระเยซูเจ้า

          ดังนั้นคำว่าพระบุตรของพระเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้า พระผู้ไถ่ ผู้รับเจิม เป็น “พระวาจาของพระเจ้า” ที่ลงมาบังเกิดเป็นมนุษย์จากพระนามมารีพรหมจารีย์ ทรงรับธรรมชาติมนุษย์เพื่อจะได้กระทำพันธกิจการไถ่บาปมนุษย์ให้สำเร็จไป

          พระเยซูเจ้าทรงเป็นทั้งพระเจ้าแท้และมนุษย์แท้ ตลอดเวลาตามประวัติศาสตร์ พระศาสจักรได้เฝ้าพิทักษ์รักษาความจริงนี้ท่ามกลางความคิดที่คัดค้านหรือไม่เห็นด้วยเพราะพวกเขาเชื่อว่าพระเยซูทรงเป็นแค่มนุษย์คนหนึ่งเท่านั้น เราเชื่อว่าพระเยซูทรงเป็นทั้งพระเจ้าแท้และมนุษย์แท้ ความเป็นพระเจ้าของพระองค์ช่วยเสริมความเป็นมนุษย์ให้สูงเด่นขึ้น

ความสำคัญ
        1. พระเยซูคริสต์ทรงเป็นจุดกำเนิดและจุดจบของโลก ทรงเป็นอัลฟาและโอเมก้า ทรงเป็นพระมหากษัตริย์แห่งสากลโลก ทรงเป็นความลึกลับแห่งประวัติศาสตร์ ทรงเป็นกุญแจไขชะตากรรมของมนุษย์ ทรงเป็นสะพานระหว่างโลกกับสวรรค์ ทรงเป็นผู้ที่มีความสมบูรณ์แบบมากกว่าใครๆในโลก เพราะพระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า ผู้ทรงคงอยู่นิรันดรไม่สิ้นสุด พระองค์ทรงเป็นบุตรของพระแม่มารีผู้ที่มีบุญกว่าหญิงใดๆ ผู้ทรงเป็นแม่ฝ่ายเนื้อหนัง และทรงเป็นแม่ของเราโดยผ่านทางพระจิตเจ้าแห่งพระกายทิพย์ของพระองค์(เปาโล 6)

        2. โดยการลงมาบังเกิดเป็นมนุษย์ พระเยซูคริสตเจ้าพระบุตรของพระเจ้าได้ทรงมีวิธีการที่ชัดเจนที่จะทรงมาลงประทับอยู่กับมนุษย์ทุกคนอย่างแนบแน่น “พระบุตรของพระเจ้าได้ทรงทำงานด้วยมือมนุษย์ พระองค์ได้ทรงคิดด้วยดวงปัญญาของมนุษย์ พระองค์ทรงประพฤติปฏิบัติด้วยเจตจำนงของมนุษย์ พระองค์ทรงรักด้วยหัวใจของมนุษย์ เมื่อทรงบังเกิดจากพระนางพรหมจารีมารีอา พระองค์ได้ทรงกลายมาเป็นมนุษย์คนหนึ่งในหมู่เราอย่างแท้จริง คล้ายคลึงกับเราในทุกสิ่ง ยกเว้นในเรื่องบาป” (พระศาสนจักรในยุคปัจจุบัน ข้อ 22.2)

          ในฐานะที่เป็นลูกแกะที่บริสุทธิ์ผุดผ่องพระองค์ทรงยอมพลีชีวิตเลือดและเนื้อเพื่อไถ่บาปเรา ไถ่เราให้พ้นจากการเป็นทาสของปีศาจและบาป ดังนั้นเราเองจึงพูดได้เต็มปากว่าเช่นเดียวกับนักบุญเปาโลที่ว่า “พระบุตรของพระเจ้าทรงรักข้าพเจ้าและมอบชีวิตของพระองค์ให้ข้าพเจ้า”
โดยความทุกข์ทรมานของพระองค์ไม่ได้เป็นเพียงทำเพื่อเราเท่านั้น แต่ยังเป็นแบบอย่างเพื่อให้เราได้เดินตามรอยเท้าของพระองค์ ซึ่งพระองค์ได้ทรงให้แนวทางในการดำเนินชีวิต ถ้าเราเดินตามแนวทางนี้ ด้วยชีวิตและความตายจะทำให้เราเป็นคนศักดิ์สิทธิ์และมีชีวิตใหม่(GS 22)

        3. ไม่มีใครจะยึดเอาชีวิตของพระองค์ลงมาได้ แต่เป็นพระองค์ที่ทรงโน้มตัวลงมาหาเรามนุษย์

        4. พระเยซูคริสตทรงเสด็จลงมาเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มเก่าแก่ลง แล้วพระองค์ทรงทำให้สิ่งเก่าๆนั้นกลับใหม่ขึ้นมา(St.Augustine)

       5. ตั้งแต่วันแรกที่พระเยซูเจ้าทรงบังเกิดได้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างโลกและสวรรค์ การเป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสต์ก็คือการเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า และการมีความสัมพันธ์กับองค์พระผู้เป็นเจ้าโดยผ่านทางพระเยซูคริสต์นี้เป็นความลับและพื้นฐานของอาณาจักรแห่งจิตใจที่มีองค์พระเยซูเจ้าทรงเป็นพื้นฐานและทรงครองราชย์(H.P.Liddon)

คริสตชน
         1. การเป็นคริสตชนหมายถึงการมีความสัมพันธ์ส่วนตัวอย่างแนบแน่นกับพระเยซูคริสต เจ้า และเมื่อไรที่เป็นได้เช่นนี้สิ่งอื่นๆก็เป็นเรื่องรอง(L.Nelson Bell)
         2. ความเชื่อทำให้เราเป็นคริสตชน การดำเนินชีวิตเป็นการพิสูจน์การเป็นคริสตชน การทดลองเป็นการยืนยันการเป็นคริสตชน ความตายเป็นมงกุฎของคริสตชน(นิรนาม)
         3. ถ้าการเป็นคริสตชนเป็นเรื่องที่ผิด ชีวิตก็ไม่มีความสำคัญอะไรเลย แต่ถ้าคริสตชนเป็นเรื่องจริงแท้ ก็ย่อมจะเกิดคุณประโยชน์อย่างยิ่งใหญ่ไม่สิ้นสุด ดังนั้นไม่มีสิ่งใดที่จะมีความสำคัญแบบครึ่งๆกลางๆได้(C.S.Lewis)
         4. มีบันทึกในวิหารแห่งหนึ่งทีประเทศเยอรมัน
พวกเขาพูดถึงพระคริสตพระเจ้าให้เราฟังดังนี้

เขาเรียกเราว่าอาจารย์ แต่ท่านไม่เคยเชื่อฟังเราเลย
เขาเรียกเราว่าแสงสว่าง แต่ไม่เคยมองเราเลย
เขาเรียกเราว่าหนทาง แต่ไม่เคยเดินตามเลย
เขาเรียกเราว่าชีวิต แต่ไม่เคยมีความต้องการเราเลย
เขาเรียกเราว่าผู้มีปรีชาญาณ แต่เขาไม่ได้ติดตามเราเลย
เขาเรียกเราว่าผู้ทรงไว้ซึ่งความยุติธรรม แต่เขาไม่กลัวเราเลย
ฯลฯ

เนื้อหาและบทเรียน

Download พิธีศีลศักดิ์สิทธิ์สำหรับเด็กและเยาวชน

Download พิธีโปรดศีลศักดิ์สิทธิ์