คุณธรรมความเชื่อ (Faith)
คุณธรรมที่เกี่ยวกับพระเจ้า
หรือ ความจริงของพระเจ้าในจิตวิญญาณของเรา
เรื่องคุณธรรมหลักสี่ประการ (Cardinal Virtues) คุณธรรมประการแรกคือ ความรอบคอบ เพราะเป็นคุณธรรมของความรู้ และความรู้จะต้องมาก่อนกิจกรรมอื่น ๆ เสมอ ท่านต้องรู้ว่าจะทำอะไรก่อนจึงจะสามารถลงมือกระทำสิ่งนั้น เป็นความจริงเช่นเดียวกันกับเรื่องในระดับเหนือธรรมชาติ ท่านต้องมีความเข้าใจเรื่องเหนือธรรมชาติก่อนแล้วท่านจึงสามารถดำเนินชีวิตเหนือธรรมชาติได้ ความเข้าใจเรื่องเหนือธรรมชาติก็คือ ความเชื่อ
ความเชื่อ: ตามคำสอนพระศาสนจักรคาทอลิก (ข้อที่ 1814)
ความเชื่อเป็นคุณธรรมเกี่ยวกับพระเจ้าที่ทำให้เราเชื่อในพระเจ้าและทุกสิ่งที่พระเจ้าตรัสและทรงเปิดเผยให้เรารู้และที่พระศาสนจักรเสนอให้เราเชื่อ เพราะพระเจ้าเองทรงเป็นความจริง อาศัยความเชื่อ “มนุษย์ยอมมอบตนเองโดยเสรีแก่พระเจ้าอย่างสิ้นเชิง” ดังนั้นผู้ที่เชื่อจึงพยายามที่จะรู้และปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระเจ้า “ผู้ชอบธรรมจะมีชีวิตโดยอาศัยความเชื่อ” (รม. 1:17) ความเชื่อที่มีชีวิต “ย่อมแสดงออกเป็นการกระทำอาศัยความรัก” (กท. 5:6)
ความเชื่อศรัทธา (Faith) กับ ความเชื่อ (Belief)
ความเชื่อศรัทธา (Faith) กับ ความเชื่อ (Belief)
ก่อนที่จะอธิบายความหมายของคำว่า ความเชื่อ (Faith) ซึ่งต่อไปขอใช้คำว่า “ความเชื่อศรัทธา” เพื่อแยกกับคำว่า “ความเชื่อ” (Belief) ขอเริ่มต้นด้วยการอธิบายถึงความหมายของ "ความเชื่อ”(belief) ก่อน ทุกวันนี้เรามักใช้คำว่า ความเชื่อ (belief) เพื่อแสดงออกถึงความคิดที่ยังไม่แน่นอน เช่น เมื่อพูดคุยกันว่า "วันนี้ฝนจะตกหรือไม่" "ผมยังไม่แน่ใจ แต่ผมเชื่อเช่นนั้น"
หมายความว่า อะไรก็ตามที่ท่านเชื่อว่าเป็นเรื่องจริงนั้นตั้งอยู่บนพื้นฐานของการเป็นพยานจากผู้อื่น ความเชื่อเกิดขึ้นเมื่อมีคนบอกเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่ท่านยังไม่รู้ด้วยตัวท่านเอง แล้วท่านเองเลือกที่จะยอมรับว่ามันถูกต้อง ตัวอย่างเช่น สามีต้องจากภรรยาเพื่อไปทำธุรกิจต่างประเทศเป็นเวลาหลายเดือน ในขณะที่อยู่ห่างไกลนั้นเขาได้รับโทรศัพท์จากภรรยาว่าเธอตั้งครรภ์ ซึ่งเป็นไปตามที่พวกเขาได้คาดหวังไว้ นี่เป็นเรื่องที่อยู่เหนือประสบการณ์ตรงของสามี คือ เขาไม่ได้อยู่ตรงนั้นที่ภรรยาของเขาได้รับการตรวจแล้วรู้ว่าตั้งครรภ์ และเขาก็ไม่ได้เห็นผลการทดสอบนั้นด้วยตาของตนเอง แต่เป็นภรรยาที่ให้ความมั่นใจว่าเขาทั้งสองจะมีลูกด้วยกัน และสามีได้ตัดสินใจเลือกที่จะเชื่อภรรยาของเขา ผลของความเชื่อ เขาได้เพิ่มความรู้ของเขาเองโดยมีส่วนร่วมในความรู้ของเธอ เวลานี้เขามีความรู้ในเรื่องที่เธอรู้ และการได้รับความรู้ใหม่นี้มีผลอย่างใหญ่หลวงต่อชีวิตของเขา คือ เขาต้องเตรียมตัวที่จะเป็นพ่อ
นี่เป็นความจริงที่งดงามของการสื่อสารระหว่างบุคคลที่ให้แก่กันและกัน เราทุกคนร่วมมีส่วนในความรู้กับผู้อื่นได้ และเราต้องอาศัยพวกเขาเพื่อแบ่งปันความรู้ให้เรา แต่เพื่อให้การสื่อสารเช่นนี้เกิดขึ้นได้ ผู้ฟังจะต้องเลือกที่จะให้ความไว้วางใจในความจริงของผู้พูด ลองคิดดูว่าชีวิตของเราจะเป็นอย่างไรถ้าเราไม่เชื่ออะไรใครเลย ใครบอกอะไรเราก็ไม่เชื่อ เราไม่เชื่ออะไรหรือใครนอกจากความรู้ที่มาจากประสบการณ์ตรงของเราเท่านั้น ถ้าโลกมีความรู้แค่นี้ก็คงเป็นโลกที่คับแคบและเป็นโลกที่ประหลาด ความเชื่อจึงเป็นความจำเป็นอย่างยิ่งเพื่อประสิทธิภาพของสังคม
คราวนี้เรามาทำความเข้าใจเรื่อง “ความเชื่อศรัทธา” (faith) ซึ่งเป็นความเชื่อ(belief) ที่มีลักษณะพิเศษ ความเชื่อศรัทธาเป็นความจริงที่ท่านยึดถือบนพื้นฐานของการเป็นประจักษ์พยานของพระเจ้าเอง ด้วยคุณธรรมทางเทววิทยานี้ พระเจ้าทรงเปิดเผยบางสิ่งบางอย่างที่มนุษย์เราไม่สามารถรู้ได้ด้วยตัวเองมาก่อน และบุคคลนั้นตัดสินใจยอมรับสิ่งที่พระเจ้าตรัสว่าเป็นความจริง ดังนั้นความเชื่อศรัทธาจึงเป็นคุณธรรมที่โน้มน้าวเราให้มีความรู้เกี่ยวกับเมืองสวรรค์เพิ่มขึ้น เราจึงสามารถรู้ในเรื่องที่พระเจ้ารู้ และข้อมูลนี้ได้เปลี่ยนแปลงชีวิตของเราอย่างถึงรากถึงแก่น
เราเชื่อใคร
เราเชื่อใคร
ความเข้าใจแรกของความเชื่อศรัทธา (faith) เกี่ยวข้องกับคำถามที่ว่า “เราเชื่อใคร” ก่อนอื่นหมดทุกกิจการของเชื่อคือ ความไว้วางใจในตัวบุคคลที่พูด หรือผู้พูด เราวางความเชื่อของเราในตัวบุคคล ไม่ใช่สิ่งอื่น ให้เราย้อนกลับไปที่ตัวอย่างเรื่องของภรรยาที่โทรศัพท์บอกสามีว่าตนเองตั้งครรภ์แล้ว ถ้าสามีตอบภรรยาว่า "นี่เธอ ฉันไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องจริงตามที่เธอพูดหรอกนะ ฉันมั่นใจว่ามันไม่เป็นความจริง” อะไรจะเกิดขึ้นเมื่อสามีคนนี้กลับมาถึงบ้าน ภรรยาคงจะโกรธ (ซึ่งเธอก็ทำถูกต้องแล้ว) และบางทีเธออาจจะพูดแบบที่ไม่น่าเชื่อว่า "เธอไม่เชื่อฉันหรือ" ประเด็นก็คือ ความเชื่อและความไม่เชื่อมักเป็นเรื่องส่วนบุคคล เป็นการยอมรับหรือปฏิเสธบุคคลและข้อมูลที่ได้รับ
แต่ในกรณีของความเชื่อศรัทธา มันเป็นเรื่องของความไว้วางใจส่วนบุคคลต่อพระเจ้าเอง ความจริงคือว่าพระเจ้าได้ตรัสกับเราแต่ละคน และเรามีทางเลือกที่จะยอมรับประจักษ์ของพระองค์หรือปฏิเสธ พระองค์ทรงสื่อสารอย่างมหัศจรรย์กับเราถึงความรู้เรื่องที่เหนือธรรมชาตินี้ สิ่งนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร
แน่นอนการสื่อสารของพระองค์กับเรามนุษย์นั้นมีความแตกต่างกันในแต่ละบุคคล และยากที่จะระบุได้อย่างชัดเจนว่าพระเจ้าทรงเผยแสดงพระองค์ที่ไหนและอย่างไร โดยปกติแล้วพระเจ้าทรงใช้สื่อกลางเพื่อสื่อสารติดต่อกับเรา เช่น อาจจะเป็น คุณพ่อ คุณแม่ เพื่อน หนังสือ บทเพลง คำเทศน์ของบาทหลวง… บางทีความเชื่อของท่านอาจจะเกิดขึ้นอย่างฉับไว ด้วยประสบการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างทันทีทันใด เหมือนพระเยซูทรงเรียกมัทธิว เขาลุกขึ้นแล้วติดตามพระองค์ทันที หรืออาจจะใช้เวลานานหลายปีเพื่อการแสวงหาและรับฟังความจริงของพระเจ้า เหมือนในกรณีของนักบุญออกุสติน หรืออาจจะมาจากครอบครัวที่ศรัทธาดั่งเช่นนักบุญเทเรซาแห่งเลอร์ซิเออร์
สิ่งสำคัญที่เราต้องระวังคือ เรื่องของความเชื่อศรัทธานั้น ท่านเชื่อไม่ใช่เพราะคุณแม่หรือคุณพ่อหรือเพื่อนหรือคุณพ่อเจ้าอาวาส แต่เพราะสิ่งที่พระเจ้าได้ตรัสกับท่าน ท้ายที่สุดแล้วพระเจ้าแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้นที่ทรงรู้จริง ๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับท่าน พระองค์เท่านั้นทรงเป็นองค์ความรู้ในเรื่องพระตรีเอกภาพ การเสด็จลงมาบังเกิดเป็นมนุษย์ โครงสร้างครอบครัวที่สวยงามของพระศาสนจักร ดังนั้นพระองค์เท่านั้นที่ทรงเป็นบ่อเกิดของการเปิดเผยที่ทำให้เรายอมรับด้วยความเชื่อศรัทธา
ดังนั้นความเชื่อศรัทธาของเรานั้นขึ้นอยู่กับสิทธิอำนาจของพระเจ้าเท่านั้น เราเชื่อเพราะว่าพระเจ้าตรัสไว้ดังนี้ โดยทางปฏิบัติแล้ว นี่หมายความ ถ้าพ่อแม่ของท่านหรือคุณพ่อเจ้าวัดหรือพ่อแม่ทูนหัวศีลล้างบาปหรือศีลกำลัง หรือใครก็ตามที่มีความเกี่ยวข้องกับความเชื่อศรัทธาของท่าน บางคนอาจจะเป็นที่สะดุด เช่น ละทิ้งพระศาสนจักร ซึ่งอาจทำให้เราเสียใจได้แต่ไม่ควรทำให้ความเชื่อศรัทธาของเราสั่นคลอนไป ความเชื่อของเราไม่ควรวางพื้นฐานไว้บนประจักษ์พยานชีวิตของพวกเขา แต่ต้องวางบนฐานที่มั่นคงคือพระเจ้า จงจำเรื่องหญิงชาวสะมาเรียที่วิ่งกลับหมู่บ้านเพื่อเล่าเรื่องพระเยซูเจ้าให้เพื่อนบ้านฟัง เธอเป็นสื่อกลางที่พระเจ้าทรงใช้ให้ไปเผยแผ่ความเชื่อให้คนในหมู่บ้าน แต่หลังจากที่พวกเขาได้รับฟังพระเยซูเจ้าโดยตรงแล้ว พวกเขาพูดกับผู้หญิงนั้นว่า "เรามีความเชื่อไม่ใช่เพราะคำพูดของท่านอีกแล้ว เราเองได้ยินและรู้ว่า พระองค์เป็นพระผู้ไถ่ของโลกโดยแท้จริง”(ยน. 4:42) นี่ควรเป็นทัศนคติของเราและเป็นความจริงของพระศาสนจักรด้วยเช่นกัน พระเจ้าทรงส่งผู้ส่งสารแห่งความจริงจำนวนมากมาให้เรา แต่เราต้องยอมรับว่าเจ้าของสารแห่งความจริงนั้นยิ่งใหญ่กว่าผู้ส่งสารมากนัก
ความเชื่อศรัทธาสัมพันธ์กับบุคคลและความจริง
ความเชื่อศรัทธาสัมพันธ์กับบุคคลและความจริง
ในขั้นนี้จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งที่จะพิจารณาถึงหลักที่ชัดเจนของความเชื่อที่ขึ้นอยู่กับความน่าเชื่อถือของประจักษ์พยาน ดังนั้นถ้าบางคนที่เป็นที่รู้กันว่าเป็นคนที่โกหก ท่านก็คงไม่เชื่อสิ่งที่เขาพูดออกมาอย่างแน่นอน ถึงอย่างไรก็ตาม ความเชื่อในบุคคลที่ซื่อสัตย์ย่อมมีความมั่นคงกว่าอย่างแน่นอน แต่ถ้าคนที่พูดกับเราเป็นคนที่มีความสัตย์จริงโดยธรรมชาติ เป็นคนเสมอต้นเสมอปลาย ตัวเขาเองก็เป็น “ความจริง” ด้วย ท่านยิ่งเชื่อสิ่งที่เขาพูดอย่างหมดหัวใจแน่นอน นี่แหละการเป็นประจักษ์พยานที่เราพูดด้วยความเชื่อศรัทธา ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่ผิดพลาดอย่างมากที่จะต่อต้านความเชื่อศรัทธาต่อความรู้ที่ถูกต้อง ตรงกันข้าม ความเชื่อศรัทธาเป็นความรู้ที่ถูกต้องที่เราสามารถยึดถือได้ เพราะความรู้นี้มาจากพระเจ้าเอง
ตัวอย่าง เช่น นักโบราณคดีจำนวนมากประกาศว่าพวกเขาได้ค้นพบร่างกายของพระเยซูคริสต์เจ้า พวกเขาอ้างว่าได้พิสูจน์พบว่าพระเจ้าของเราไม่ได้ทรงกลับฟื้นคืนชีพในวันที่สามหลัง จากความตายของพระองค์แล้วจึงได้เสด็จขึ้นสวรรค์ การพิสูจน์แบบมนุษย์นี้ขัดแย้งกับประจักษ์พยานแบบพระเจ้า ที่มาถึงเราโดยผ่านทางพระคัมภีร์ไบเบิ้ลและคำสอนของพระศาสนจักร ในกรณีเช่นนี้ คุณธรรมความเชื่อศรัทธาจะทำให้เราตระหนักว่าพระเจ้ามีความเชื่อถือมากกว่า พระเจ้ามีสิทธิอำนาจมากว่าผู้เชี่ยวชาญหรือผู้ชำนาญการอื่นใดทั้งสิ้น ดังนั้นบุคคลที่มีความเชื่อศรัทธาจะรู้อย่างมั่นใจ (ไม่ว่าจะมีเหตุผลใดมาอ้างก็ตาม) ว่านักโบราณคดีนั้นผิดพลาด ถ้าใครพูดอะไรที่ขัดแย้งกับสิ่งที่พระเจ้าตรัส ท่านรู้ไว้ก่อนเลยว่าสิ่งนั้นผิด นี่เป็นความถูกต้องที่มาจากพื้นฐานบนความเชื่อศรัทธาของคนที่มีต่อประจักษ์พยานของพระเจ้า
เราเชื่ออะไร
เราเชื่ออะไร
แม้ว่าความเชื่อศรัทธาจะต้องมอบความไว้วางใจในพระบุคคลของพระตรีเอกภาพ ซึ่งนี่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด มีเนื้อหาของความเชื่อที่เป็นสิ่งที่เราต้องยึดถือว่าเป็นจริง ให้เราย้อนไปพิจารณาถึงตัวอย่างเรื่องที่ภรรยาโทรฯ บอกสามีว่าตั้งครรภ์อีกครั้งหนึ่ง ลองนึกดูว่าหลังจากที่ภรรยาบอกข่าวที่น่าตื่นเต้นยินดีแล้ว สามีตอบกลับไปว่า "ที่รัก ผมเชื่อเธออย่างแท้จริง แต่ผมไม่คิดว่าเราจะมีลูกด้วยกัน เธอไม่โกหกก็อาจจะเข้าใจผิดก็ได้ และเรื่องที่เธอพูดนั้นไม่เป็นความจริง แต่อย่างไร ผมก็เชื่อเธอหมดใจเลย” แน่นอนคำตอบเช่นนี้ดูจะไร้สาระหรือซื่อบริสุทธิ์ไปสักหน่อย ภรรยาของเขาอาจจะโมโหเขามากกว่า (ในเหตุการณ์นี้) เธออาจจะอุทานว่า "เธอหมายความว่าอย่างไรที่บอกว่าเชื่อฉัน เธอแกล้งบอกว่าเชื่อฉันในขณะที่เธอไม่เชื่อสิ่งที่ฉันพูดได้อย่างไร"
เธออาจจะถูกต้องทีเดียว ถ้าท่านไว้วางใจผู้พูด ท่านก็จะยอมรับเรื่องที่เขาพูดว่าเป็นความจริง นี่คือข้อเรียกร้องของคุณธรรมความเชื่อ คุณธรรมทางเทววิทยานี้ หลายคนพยายามที่จะลดความเชื่อศรัทธาลงไปเป็นแค่อารมณ์ความรู้สึก "ความรู้สึกภายในที่แสดงออกมา" ความรู้สึกเช่นนี้ไม่เกี่ยวข้องและไม่มีความหมายในตัวของมันเอง ความเชื่อศรัทธายังคงไม่เกิดขึ้นจริงถ้าไม่มาจากสิทธิอำนาจของพระเจ้า
คำถามคือ เราจะพบเนื้อหาของความเชื่อศรัทธาได้ที่ไหน ที่จริงแล้ว แหล่งที่ดีที่สุดที่เราจะพบความจริงของความเชื่อศรัทธาของเราอยู่ที่บทยืนยันความเชื่อของสภาสังคายนานิเชอา-คอนสแตนติโนเปิ้ล ซึ่งเราคาทอลิกสวดทุก ๆ วันอาทิตย์ในระหว่างพิธีมิสซาฯ เราเรียกว่า "การประกาศยืนยันความเชื่อ" ในบทยืนยันความเชื่อนี้เราประกาศความเชื่อของเราในพระตรีเอกภาพ ในการที่พระเจ้าเสด็จลงมาบังเกิดเป็นมนุษย์ การไถ่บาปของพระคริสต์โดยผ่านทางความตายและการกลับคืนชีพ พระศาสนจักรคาทอลิก และศีลศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ นี้เป็นหัวข้อทั่วไปของสิ่งที่พระเจ้าทรงตรัสไว้และเป็นสิ่งที่เรายึดถือว่าเป็นความจริงด้วยสิทธิอำนาจของพระองค์ รายละเอียดของข้อความจริงต่าง ๆ อยู่ในหนังสือคำสอนของพระศาสนจักรคาทอลิก ในหนังสือนี้เราสามารถพบเนื้อหาสาระทั้งหมดของความเชื่อศรัทธาทั้งหมด
เราเชื่อข้อความเชื่อเหล่านี้ว่าเป็นความจริง เรามีความรู้ที่ถูกต้องว่าข้อความเชื่อเหล่านี้จริง แต่เราไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าข้อความเชื่อเหล่านี้จริง เพราะเราไม่ได้มีประสบการณ์ตรงกับเรื่องเหล่านี้ เราไม่ได้เห็นพระเยซูคริสต์กลับคืนชีพจากความตาย และเราก็ไม่ได้พบกับพระตรีเอกภาพแบบหน้าต่อหน้า หรือไม่ได้เข้าไปร่วมโต้แย้งเพื่อเป็นการพิสูจน์ด้วยเหตุด้วยผลของความจริงเหล่านี้ นี้แหละที่ทำให้ความเชื่อศรัทธาน่าสรรเสริญ และสูงค่าอย่างมาก "ผู้ที่เชื่อแม้ไม่ได้เห็น ก็เป็นสุข” (ยน 20:29)
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเราไม่สามารถพิสูจน์ความเชื่อศรัทธาของเราได้ แต่เรายังคงแสดงความไว้เนื้อเชื่อใจ นี้แหละที่จะกล่าวได้ว่าเราสามารถแสดงให้เห็นว่ามันสมเหตุสมผลแค่ไหน มันช่างงดงามเพียงใด และแม้กระทั่งความน่าจะเป็นเพียงไร ยิ่งกว่านั้น เราสามารถปกป้องความเชื่อศรัทธาจากการโจมตี แสดงให้เห็นว่ามันไม่ใช่เรื่องโง่งมงายหรือไร้สาระ ในแง่หนึ่ง คุณธรรมความเชื่อในเรื่องการเผยแสดงเหนือธรรมชาติเป็นเรื่องที่คล้ายกับความเชื่อของชาวอเมริกันในเหตุการณ์ปฏิวัติประเทศของพวกเขา พวกเขาเชื่อว่าทั้งเป็นเรื่องจริงและเชื่อได้อย่างแน่นอน ทั้งมีเอกสารจำนวนมากที่เป็นประจักษ์พยานถึงความจริงนี้ และแม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้มีประสบการณ์กับเหตุการณ์นี้ด้วยตัวของตนเอง หรือเข้าร่วมพิสูจน์ด้วยเหตุด้วยผลว่าเหตุการณ์นี้เป็นความจริง
นี่หมายความว่าถ้าท่านต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับบุคคลที่ต้องการข้อเท็จจริงเชิงเหตุผลของความเชื่อจึงจะยอมรับข้อความเชื่อนี้ ท่านไม่สามารถทำให้เขามั่นใจได้ สิ่งที่ดีที่สุดคือพูดกับบุคคลเช่นนี้ว่า "ขอให้ท่านอธิษฐานเพื่อให้พระเจ้าเผยแสดงพระองค์และความจริงของพระองค์แก่ท่านอย่างเต็มเปี่ยม ขอให้ท่านจงเปิดหัวใจรับฟังสิ่งที่พระองค์พยายามตรัสกับท่าน ฉันไม่สามารถแสดงความจริงแห่งความเชื่อศรัทธา แต่พระองค์ทรงกระทำได้ ดังนั้นจงมาและดูเอาเองเถิด แต่ท่านจะต้องเปิดใจ”
เราเชื่อในความจริงทุกข้อที่พระเยซูเจ้าและพระศาสนจักรสั่งสอน
เราเชื่อในความจริงทุกข้อที่พระเยซูเจ้าและพระศาสนจักรสั่งสอน
เป็นเรื่องธรรมดา เมื่อเราพูดถึงความเชื่อศรัทธา หลายคนต้องการรู้ว่าพวกเขาต้องรู้ข้อความเชื่อทุกอย่างที่เชื่อหรือไม่ ความเชื่อศรัทธาเรียกร้องให้ท่านเชื่อทุกสิ่งทุกอย่างที่พระคัมภีร์และพระศาสนจักรสั่งสอน หลายคนคิดว่า "ถ้าฉันเชื่อเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์ที่พระศาสนจักรสอน หรือเก้าสิบห้าเปอร์เซนต์ล่ะ ถ้าฉันปฏิเสธคำสอนพระศาสนจักรบางเรื่องล่ะ ฉันจะได้คะแนน A+ หรือบางทีอาจจะได้ A ไหม และนี่ก็เป็นสิ่งที่ดีพอแล้วใช่ไหม”
เท่านี้ยังไม่ดีพอ เพราะบุคคลเช่นนี้กำลังปฏิเสธความจริงที่มาจากพระเจ้า และพระวาจาที่ทรงประสิทธิภาพ "ข้าแต่พระเจ้า ลูกยอมรับสิ่งที่พระองค์ตรัสเพียงบางเรื่อง แต่ไม่ทั้งหมด ในประเด็นเหล่านี้ ลูกคิดว่าพระองค์ผิด” เมื่อคนหนึ่งพูดว่า เขาแทนที่พระเจ้าและหนังสือของพระองค์ และพระศาสนจักรของพระองค์ในฐานะที่เป็นมาตรฐานสูงสุดของความจริงและความเท็จ และทดแทนตัวของพระองค์เอง มันเหมือนการไปหาหมอ เพื่อการวินิจฉันโรค แล้วท่านก็บอกคุณหมอว่า "ที่คุณหมอพูดนั้น ถูกครึ่งหนึ่ง แล้วก็ผิดอีกครึ่งหนึ่ง” คุณหมออาจจะต่อต้านและอาจจะพูดตอบว่า "คุณรู้ได้อย่างไร คุณเรียนโรงเรียนแพทย์มาหรือ ยิ่งกว่านั้น ทำไมคุณจึงมาที่นี่และมาขอความเห็นของผม หรือคุณเป็นผู้พิพากษาสูงสุด แล้วคุณมาหาผมทำไม"
เรื่องนี้เปรียบได้เช่นเดียวกับความเชื่อ ถ้าคนหนึ่งหยิบและเลือกสิ่งที่เขาเชื่อ เขาก็ทำลายความสัมพันธ์ของความไว้วางใจกับพระเจ้า พระวาจาของพระองค์ และพระศาสนจักร นอกจากนั้น เป็นเรื่องที่เราแสดงความหยิ่งออกมา เราไม่ได้อยู่ที่นั้นตอนที่พระเจ้าทรงสร้างโลก เมื่อพระองค์ทรงส่งพระบุตร เมื่อพระองค์ทรงสร้างเราและทรงวางแผนชีวิตของเรา ดังนั้นมันอาจที่จะคิดว่าความรู้ของเราเท่าเทียมกับความรู้ของพระเจ้านี้ไม่ได้หมายความว่าเราไม่สามารถทำความเข้าใจสิ่งเหล่านี้ให้มากขึ้นและลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น แต่เราไม่ควรทำในระดับความเข้าใจส่วนตัวของเราเองมาเป็นเครื่องวัดความถูกต้องของความจริง สิทธิพิเศษนั้นสงวนไว้สำหรับพระเจ้าผู้ทรงเป็นองค์แห่งความจริงแต่ผู้เดียวเท่านั้น
ความเชื่อศรัทธาต้องมีการกระทำ
ความเชื่อศรัทธาต้องมีการกระทำ
ความเชื่อของเราจะต้องมีผลต่อชีวิตของเราถ้ามันจะมีคุณค่ายิ่งกว่าสิ่งใด ๆ เมื่อเราได้เรียนรู้คุณธรรมความรอบคอบ เราได้ชี้ให้เห็นว่าบุคคลรู้ว่าอะไรถูกที่จะกระทำ แต่ไม่ทำ พวกเขาก็ขาดคุณธรรม เช่นเดียวกันสำหรับความเชื่อศรัทธา ถ้าท่านยึดถือว่าเป็นจริงแต่ไม่เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของท่าน แล้วมันจะมีคุณค่าสูงสุดอะไร อย่างที่นักบุญยากอบสอนว่า “ความเชื่อก็เช่นกัน หากไม่มีการกระทำ ก็เป็นความเชื่อที่ตาย” (ยก 2:17)
เรามักจะได้ยินสิ่งที่แปลกๆ ที่ว่าเพียงเราเชื่ออย่างจริงใจเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว เราไม่จำเป็นต้องปฏิบัติอะไรอีก นี่เป็นความแปลกที่สุดโต่ง และเป็นคนที่แปลกแยกไปจากทั้งพระคัมภีร์และคำสอนของพระศาสนจักร
ตรงกันข้าม ตัวอย่างที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของคุณธรรมความเชื่อ คือ "ท่านอับราฮัม" บิดาแห่งความเชื่อที่ได้พิสูจน์ความเชื่อศรัทธาของท่านด้วยการกระทำ ท่านดำเนินชีวิตอย่างกระตือรือร้นโดยแสดงน้ำใจนบนอบเชื่อฟังคำสั่งของพระเจ้าโดยถวายบุตรสุดที่รักเพียงคนเดียวให้แด่พระองค์ นี่คือเสียงที่พระเจ้าทรงเรียกเราให้กระทำเช่นเดียวกัน ให้เชื่อพระเจ้า เชื่อสิ่งที่พระองค์ทรงเปิดเผยให้เรา และปฏิบัติตามความรู้ที่ได้รับมาจากพระองค์ด้วยความกล้าหาญโดยไม่คิดมูลค่าอะไรทั้งสิ้น