ข้อคิดวันอาทิตย์ที่ 27 พฤษภาคม 2012
พระคัมภีร์ประจำสัปดาห์นี้เล่าถึงเหตุการณ์สำคัญอีกประการหนึ่งของคริสต์ศาสนา วันนั้นเป็นวัน “เปนเตกอสเต” (คำๆนี้มีความหมายถึงจำนวนวันที่ “ห้าสิบ” คือวันที่ห้าสิบหลังจากที่พระเยซูเจ้าเสด็จกลับเป็นขึ้นมา) วันที่บรรดาอัครสาวกได้มาร่วมตัวกันอยู่ที่ห้องชั้นบนของบ้านหลังหนึ่ง ทันใดนั้นมีเสียงดัง “เหมือนเสียงลมพัดแรงกล้า” ที่ทุกคนได้ยินกัน นอกจากนั้นพวกเขายังได้เห็น “เปลวไฟลักษณะเหมือนลิ้น” แยกไปอยู่เหนือศีรษะของเขาแต่ละคน ทุกคนได้รับพระจิตเจ้าเต็มเปี่ยม และเริ่มพูดภาษาอื่นๆตามที่พระจิตเจ้าประทานให้พูด
เรื่องเหล่านี้หมายความว่าอย่างไร
พระจิตของพระเจ้าไม่ได้ประทับอยู่ในรูปแบบของมนุษย์อีกต่อไป เหมือนอย่างที่พระเยซูเจ้าประทับอยู่ พระเยซูเจ้าเคยตรัสไว้ครั้งหนึ่งว่าเป็นการดีที่พระองค์จะเสด็จจากไปเพื่อให้พระจิตเจ้าเสด็จลงมาประทับอยู่กับเรา เราลองคิดแบบมนุษย์ธรรมดา ว่าเหตุใดพระเยซูเจ้าจึงตรัสว่าเป็นการดีที่พระองค์จะจากไป จะไม่เป็นการดีกว่าหรือไม่ถ้าพระองค์จะทรงอยู่กับมนุษย์ต่อไปในลักษณะเดิมๆแบบที่พระองค์ประทับอยู่กับบรรดาอัครสาวกในสมัยโน้น ถ้าพระองค์ยังคงอู่กับเราแบบนั้น พระองค์ก็ยังคงมีสภาพเป็นมนุษย์ที่มีขอบเขตจำกัด พระองค์ยังทรงเป็นลูกของช่างไม้ เกิดในหมู่บ้านของคนยากจน เกิดแบบจนๆ ยังคงเป็นชาวยิวคนหนึ่ง และในฐานะมนุษย์พระองค์จะต้องตายและถูกฝังไว้ ณ ที่ใดที่หนึ่ง กล่าวโดยสรุปถ้าพระองค์ไม่จากเราไป พระองค์ก็ไม่สามารถที่จะเป็นบุคคลเพื่อคนมนุษย์ทุกคนได้นั้นเอง
ดังนั้นการจากไปของพระองค์จึงเป็นการเปลี่ยนแปลงการประทับอยู่ของพระเจ้าท่ามกลางมนุษย์ โดยที่แสดงให้เห็นว่าพระเจ้าไม่ได้เพียงแต่อยู่เคียงข้างหรืออยู่ใกล้มนุษย์เท่านั้น แต่พระเจ้าประทับอยู่ในตัวของมนุษย์เลยทีเดียว เป็นพระจิตเจ้าที่ประทับอยู่ภายในตัวของเรา
เป็นไปตามพระวาจาของพระเยซูเจ้าที่ว่า “เราบอกความจริงกับท่านทั้งหลายว่า ที่เราไปนั้นก็เป็นประโยชน์กบท่าน เพราะถ้าเราไม่ไป พระผู้ช่วยเหลือก็จะไม่เสด็จมาหาท่าน”(ยน. 16:7) และอีกตอนหนึ่งว่า “เราจะไม่ทิ้งท่านทั้งหลายให้เป็นกำพร้า เราจะกลับมาหาท่าน”(ยน. 14:18)
มีเรื่องเล่าที่ช่วยทำให้เราเข้าใจถึงการเปลี่ยนสถานการประทับอยู่ของพระเจ้าเรื่องหนึ่งดังนี้
ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ทหารอเมริกันจำนวนมากถูกส่งไปประจำฐานที่ตั้งอยู่ในหมู่เกาะแปซิฟิก พวกเขาต้องนอนในเต้นและกินอาหารแบบง่ายๆ เพราะไม่มีตู้เย็นหรือมีอาหารที่หรูหราอย่างที่เคยรับทานที่บ้านหรือค่ายทหารในเมือง ฝ่ายโภชนาการของกองทัพเองต้องการให้ทหารได้ดื่มนม และรับทานไข่ แต่เป็นไปไม่ได้เพราะที่ฐานทัพแห่งนั้นไม่มีตู้เย็นที่จะถนอมอาหาร เขาจะทำอย่างไร และที่สุดพวกเขาก็ได้ผลิตอาหารใน “รูปแบบใหม่” คือ “อาหารผง” พวกเขาได้คิดค้นนมผงและไข่ผงบรรจุใส่ถุงนำไปส่งให้กองทัพ เวลาที่ต้องการจะรับทานก็เพียงแต่เติมน้ำร้อนลงไป ทหารก็จะได้ดื่มนมและกินไข่ได้ทุกวันโดยไม่ต้องพึ่งตู้เย็น
วันฉลองพระจิตเจ้าเสด็จลงมาจึงเป็นการฉลองการประทับอยู่ของพระเจ้าท่ามกลางมนุษย์ในรูปแบบใหม่
ประเด็นต่อมาที่เกี่ยวกับการเสด็จลงมาของพระจิตเจ้าก็คือ การประทับอยู่ของพระเจ้านั้น พระองค์ไม่ได้ประทับอยู่กับเราแต่เพียงผู้เดียวหรือแบบ “ส่วนตัว” เท่านั้น พระองค์ยังทรงประทับอยู่ในลักษณะของ “หมู่คณะ” อีกด้วย
เพราะว่าพระเยซูเจ้าประทับอยู่กับเรา เราจึงผูกยึดเป็นหนึ่งเดียวกัน พระเยซูตรัสกับสาวกของพระองค์ว่า “ในวันนั้น ท่านจะรู้ว่า เราอยู่ในพระบิดาของเรา ท่านอยู่ในเรา และเราอยู่ในท่าน”(ยน. 14:20) การที่เราเป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูเจ้า เราจึงเป็นเสมือนเป็นกายเดียวใจเดียวกับพระเจ้า พระจิตเจ้าทรงหลอมรวมเราให้เป็นไปตามที่นักบุญเปาโลเรียกว่า “พระกายของพระคริสตเจ้า” เราทุกคนต่างเป็นอวัยวะส่วนหนึ่งของพระกายของพระเยซูเจ้า เราทุกคนเป็นพี่น้องกัน เราเป็นครอบครัวเดียวกัน
แล้วเราควรปฏิบัติตนอย่างไร
พระวาจาของพระเจ้าหรือการฉลองวันพระจิตเสด็จลงมานี้จะต้องทำให้เราตระหนักถึงความสัมพันธ์ระหว่างเรากับพระเจ้า เป็นความสัมพันธ์ที่ทำให้เกิดความรับผิดชอบ นั้นก็คือการประกาศความรักกันฉันพี่น้อง ประกาศการเป็นคนของพระเจ้า คนในครอบครัวเดียวกัน นี้เป็นข่าวดีที่เราจะต้องนำไปปฏิบัติจริงในชีวิตและประกาศด้วยวาจา เหมือนบรรดาอัครสาวกที่มี “เปลวไฟลักษณะเหมือนลิ้น” อยู่เหนือศีรษะ ขอให้ลิ้นของเราประกาศความรักของพระเจ้าด้วยความร้อนร้นเช่นนี้เทอญ