"คำแนะนำฝ่ายจิตจากนักบุญเปโตร"
 
กิจการฯ 10:25-26, 34-35, 44-48
ข้อคิดวันอาทิตย์ที่ 13 พฤษภาคม 2012 

        ความสุขอยู่ในการให้ ตามที่นักบุญเปาโลอ้างคำสอนของพระเยซูเจ้าที่ว่า “การให้ย่อมเป็นสุขมากกว่าการรับ”  (กจ.20:35)
        ในชีวิตประจำวันของเรา เราสามารถเป็นผู้ให้ได้มากมายและให้ได้ในหลายรูปแบบด้วยกัน เช่น การให้วัตถุสิ่งของ ให้คำตักเตือน ให้กำลังใจ ให้อภัย...แต่สำหรับเราคริสตชนแล้วการให้ที่สำคัญมากที่สุดก็คือการให้คำแนะ นำฝ่ายจิตวิญญาณ ซึ่งเรามักจะไม่ค่อยได้ให้กัน ซึ่งแท้ที่จริงแล้ว พ่อแม่ต้องให้แก่ลูกๆของตน ครูต้องให้แก่ศิษย์ และพ่อแม่ทูลหัวต้องช่วยเหลือพ่อแม่ในเรื่องของจิตวิญญาณของลูกทูนหัวเช่น กัน  


        จากบทอ่านที่หนึ่งในพิธิมิสซาฯประจำอาทิตย์นี้ นักบุญเปโตร ซึ่งเป็นพระสันตะปาปาองค์แรกของพระศาสนจักรคาทอลิกได้ให้ข้อคำสอนและข้อแนะ นำฝ่ายจิตที่เป็นประโยชน์สำหรับเราคริสตชนทุกคน ให้เราได้ใช้เวลาสักเล็กน้อยเพื่อพิจารณาข้อแนะนำเหล่านี้และนำไปปฏิบัติ เพื่อตนเองและนำไปสอนลูกหลานของเราต่อไป

       ประการที่ 1 นำมาจากพระคัมภีร์ตอนนี้ ”เมื่อเปโตรเข้าไปในบ้าน โครเนลิอัสออกมาต้อนรับ กราบเท้าของเปโตรด้วยความเคารพ แต่เปโตรพยุงเขาให้ลุกขึ้น พูดว่า “ลุกขึ้นเถิด ข้าพเจ้าก็เป็นมนุษย์เหมือนท่าน”(กจ 10:25)

               ให้เราพิจารณาถึงสิ่งที่นักบุญเปโตรได้กระทำ ท่านไม่ยอมให้ใครมากราบกรานท่านดุจท่านเป็นพระเจ้าเสียเอง ในพันธสัญญาเดิม องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงมอบพระบัญญัติให้กับโมเสส “ท่านจงนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าผู้เดียวของท่าน” และพระเยซูเจ้าก็ได้ทรงอธิบายถึงความสำคัญของพระบัญญัติประการนี้ คือ “ท่านจะต้องรักองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านสุดจิตใจ สุดวิญญาณ สุดสติปัญญาของท่าน (มธ 22:38) นี้หมายความว่า เราต้องให้พระเจ้าเป็นหนึ่งในใจของเรา อยู่เหนือหัวของเรา ต้องไม่มีสิ่งอื่นมาเทียบเคียงพระองค์ได้
 
              คราวนี้ให้เราหันมามองดูการปฏิบัติตนของเราคริสตชนบ้าง เราคงเคยได้ยินบางคนที่พูดถึงความศักดิ์สิทธิ์ของนักบุญท่านใดท่านหนึ่ง อย่างมากมายหรือไม่ เราอาจะศรัทธาในนักบุญท่านใดท่านหนึ่งได้ แต่ท่านต้องถามตัวเองว่าท่านให้ความสำคัญแก่นักบุญท่านนั้นมากกว่าองค์พระ ผู้เป็นเจ้าหรือเปล่า ถ้าใครกระทำเช่นนั้น ก็เท่ากับว่าท่านยกให้นักบุญนั้นยิ่งใหญ่กว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว คนหนึ่งสามารถเป็นนักบุญได้ก็เนื่องมาจากพระหรรษทานหรือความช่วยเหลือจาก องค์พระผู้เป็นเจ้า และความศักดิ์สิทธิ์ของบรรดานักบุญก็มาจากองค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่ได้มาจากตัวของท่านเอง

              เช่นเดียวกันสำหรับเยาวชนคนหนุ่มสาวที่มักจะมีความหลงใหลในตัวของดารา นักร้อง นักกีฬา...จนบางคนถึงกับบูชาคนเหล่านี้ราวกับว่าพวกเขาเป็นเทพเจ้า ในห้องส่วนตัวของพวกเขามีรูปของดาราที่ชื่นชอบติดเต็มห้องไปหมด จนแทบจะไม่มีพื้นที่ว่างสำหรับแขวนไม้กางเขนหรือรูปพระได้ ถามว่าดาราเหล่านั้นมีความสามารถได้เพราะใคร...เป็นพระพรที่พระเจ้าประทาน ให้ทั้งนั้น แล้วเราจะบูชาพวกเขาหรือจะบูชาผู้ที่ประทานความสามารถให้แก่พวกเขา

               อีกเรื่องหนึ่งสำหรับหลายๆคนที่มีนิสัยหรือความต้องการให้ใครๆมากราบไหว้ตน เอง ยกยอปอปั้นตนเอง ชอบมียศถาบรรดาศักดิ์ จะทำอะไรต้องให้ใครๆให้เกียรติตนเอง หรือแสดงความเคารพต่อตนเอง พวกคนพวกนี้ก็เช่นกัน ยกตนเองขึ้นเป็นพระเจ้าเสียเอง คุณลักษณะเช่นนี้ไม่ใช่คนของพระเจ้าอย่างแน่นอน

         ประการที่ 2 มาจากถ้อยคำของนักบุญเปโตรที่ว่า “ข้าพเจ้าเห็นจริงแล้วว่าพระเจ้าไม่ทรงลำเอียง ทุกคนที่ยำเกรงพระองค์และปฏิบัติความชอบธรรม ไม่ว่าจะมีเชื้อชาติใด ย่อมเป็นที่พอพระทัยของพระองค์”

         นักบุญเปโตรได้ให้คำแนะนำฝ่ายจิตแก่เราว่า พระเจ้าไม่มีความลำเอียง เราคิดว่าพระเจ้าทรงลำเอียงหรือมีหลายมาตรฐานหรือไม่ เคยได้ยินบางคนกล่าวว่า “ดูคนพิการต่างๆซิ ไม่ยุติธรรมเลย ทำไมพระเจ้าจึงให้พวกเขาต้องเป็นอย่างนั้น” นี่เป็นความคิดของคนทั่วไป

         ถ้าเราจะพิจารณาตามหลักคำสอนของเรา เราต้องยอมรับว่าพระเจ้าไม่ทรงมีความลำเอียงใดๆ พระองค์ทรงอนุญาตให้เราเกิดมาเป็นมนุษย์ที่มีทั้ง “ร่างกายและวิญญาณ” มีใครบ้างที่มีแต่ร่างกายไม่มีวิญญาณ หรือใครมีแต่วิญญาณแล้วไม่มีร่างกาย

        สำหรับบุคคลที่พิการทางหนึ่งทางใด บุคคลเหล่านั้นมักจะมีความสามารถทางด้านอื่นๆมาทดแทน เช่น บุคคลที่มองไม่เห็น พวกเขาก็จะเก่งทางด้านการสัมผัส เป็นต้น

         แล้วอะไรสำคัญกว่าร่างกายหรือวิญญาณ คำสอนของพระศาสนจักรสอนว่า “คำว่า "วิญญาณ" (soul) ในพระคัมภีร์หมายถึงชีวิตมนุษย์ หรือตัวบุคคลผู้เป็นมนุษย์ทั้งตัวตน (เทียบ มธ.16:25-26; ยน.15:13; กจ.2:41) และยังหมายถึงสิ่งที่เร้นอยู่อย่างลึกซึ้งที่สุดในตัวมนุษย์ (เทียบ มธ.10:28;26:38; ยน.12:27; 2มคบ.6:30) และทรงคุณค่าอย่างยิ่งในตัวมนุษย์อีกด้วย อาศัยเหตุนี้ มนุษย์จึงเป็นพระฉายาลักษณ์ของพระเจ้าอย่างพิเศษยิ่งขึ้น คำว่า "วิญญาณ" หมายถึงหลักฝ่ายจิตในตัวมนุษย์”(คำสอนพระศาสนจักรคาทอลิกข้อ 363)

          ดังนั้นเราทุกคนมีความเสมอเท่าเทียมกัน คือ มีทั้งร่างกายและวิญญาณ พระเจ้าไม่ทรงลำเอียงแต่ประการใด พระเจ้าไม่ทรงลำเอียง เราก็จะต้องไม่มีนิสัยชอบลำเอียงด้วย

           ประการที่ 3 มาจากคำพูดของนักบุญเปโตรที่ว่า “ใครเล่าจะห้ามมิให้คนเหล่านี้รับศีลล้างบาปด้วยน้ำ ในเมื่อเขาได้รับพระจิตเจ้าเหมือนกับพวกเราแล้ว” เปโตรจึงสั่งให้คนเหล่านั้นรับศีลล้างบาปเดชะพระนามของพระเยซูคริสตเจ้า”

          นักบุญเปโตรบอกเราว่าศีลล้างบาปไม่ได้สงวนไว้สำหรับลูกหลานคริสตังเท่านั้น เพราะพระเยซูเจ้ายอมตายบนไม้กางเขนเพื่อไถ่บาปเรามนุษย์ทุกคน ไม่เว้นใครเลย และข้อพิสูจน์ความจริงประการนี้คือพระจิตเจ้าเสด็จลงมาประทับอยู่กับทุกคน ที่ได้รับศีลล้างบาปนั้นเท่ากับคนอื่นๆ พระจิตของพระเจ้าไม่ได้มีความลำเอียงหรือเลือกที่รักมักที่ชัง

         นี่เป็นข่าวดีที่เราจะต้องนำไปประกาศและช่วยผู้อื่นให้มารู้จักข่าวดีแห่งความรอดนี้
         ดังนั้นข้อแนะนำฝ่ายจิตที่เราได้รับจากพระวาจาของพระเจ้าในสัปดาห์นี้ก็คือ ความรักขององค์พระผู้เป็นเจ้าที่ทรงมีต่อเรามีมากมหาศาล พระองค์ทรงให้เราอย่างไม่มีสิ้นสุด พระองค์ไม่ทรงมีความลำเอียงใดๆ ทรงสร้างมนุษย์มาให้มีทั้งร่างกายและจิตวิญญาณ เราต้องนมัสการบูชาพระองค์แต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น เราต้องไม่มีความลำเอียงต่อผู้ใด และเราจะต้องช่วยกันนำข่าวดีของพระเจ้าไปมอบให้กับทุกคนทั้งด้วยตัวอย่างที่ ดีและการประกาศด้วยคำพูดของเรา