ถ้าจะถามว่าวันใดที่สำคัญที่สุดของคริสต์ศาสนา ก็ต้องตอบว่า “ทุกวัน” เป็นวันที่ดีสำหรับเราคริสตชน แต่ “วันนี้” เป็นวันพิเศษสุดเพราะเป็นวันที่เราทำการฉลองวันที่พระเยซูเจ้าเสด็จกลับฟื้นคืนชีพจากความตาย เราเรียกวันนี้ว่า “วันปัสกา” (หรือ “วันอิสเตอร์” ในภาษาอังกฤษ)
ขออ้างอิงถ้อยคำของนักบุญเปาโล บุคคลหนึ่งที่เคยรังเกียจพระเยซูเจ้าอย่างรุนแรง แต่ต่อมาได้มีประสบการณ์โดยตรงกับพระเจ้า จนกลายมาเป็นสาวกผู้เข้มแข็งของพระองค์ และได้สารภาพถึงความจริงประการนี้ว่า “ถ้าพระคริสตเจ้ามิได้ทรงกลับคืนพระชนมชีพ การเทศน์สอนของเราก็ไร้ประโยชน์ และความเชื่อของท่านก็ไร้ประโยชน์เช่นเดียวกัน ยิ่งกว่านั้น เรากลายเป็นพยานเท็จถึงพระเจ้าเพราะเรายืนยันว่าพระเจ้าทรงปลุกพระคริสตเจ้าให้ทรงกลับคืนพระชนมชีพ”(1คร. 15:14-15)
เราจะเชื่อเรื่องการกลับฟื้นคืนชีพของพระเยซูเจ้าว่าเป็นความจริงได้อย่างไร เราอาจจะมีคำถามในใจว่า เรื่องนี้อาจจะเป็นเรื่องที่สานุศิษย์ของพระองค์แต่งขึ้นหรือมีการขโมยศพไปซ่อนแล้วมาอ้างว่าพระองค์กลับฟื้นคืนชีพ เราสามารถพิสูจน์ได้ดังนี้
1. พระศพของพระเยซูเจ้าไม่ได้อยู่ในพระคูหา
เรื่องนี้มีหลายทฤษฎีที่ถูกหยิบยกขึ้นมาอธิบายว่าพระศพหายไป เช่น
หนึ่ง พระเยซูเจ้าไม่ได้สิ้นพระชนม์จริง แค่สลบไปแต่เมื่อถูกนำลงมาจากกางเขนก็ฟื้นขึ้นมา เรื่องนี้เราสามารถพูดได้ว่าการถูกทารุณ ถูกเฆี่ยนตีแบบโรมันแค่นี้ถ้าไม่ตายก็เลี้ยงไม่โตแล้ว ยิ่งถูกตรึงบนไม้กางเขน และยังถูกเอาหอกแทงสีข้างอีกด้วย (เทียบ ยน.19:34)
สอง สาวกขโมยพระศพไป บางคนบอกว่าพวกสาวกของพระเยซูเจ้านั้นแหละขโมยไปแล้วมาปล่อยข่าวว่าพระเยซูเจ้ากลับฟื้นคืนชีพ ความคิดนี้ทางจิตวิทยาก็เป็นไปไม่ได้ เพราะถ้าพวกเขาสมรู้ร่วมคิดกันขโมยพระศพไปแล้วมาโกหกประชาชน แล้วทำไมพวกเขาจึงยอมมอบกายถวายชีวิตเพื่อพระเยซูเจ้า บุคคลที่ไม่ได้เป็นจริงตามที่กล่าวอ้างไว้ แต่ตรงกันข้ามเพราะเรื่องนี้ต้องเป็นเรื่องจริง พวกเขาจึงยอมถูกทรมานและยอมรับตายเพื่อบุคคลคนนี้ที่ทุกอย่างที่เขาสอนกลับเป็นความจริง ตรงกันข้ามถ้าเป็นเรื่องโกหกมดเท็จ
สาม มีบางคนบอกว่าเจ้าหน้าที่ขโมยพระศพไป เรื่องนี้เป็นไปได้ยากมาก เพราะถ้ามีเจ้าหน้าที่หรือผู้ที่อยู่ตรงกันข้ามกับพระเยซูเจ้าอ้างเช่นนี้ ทำไมจึงไม่นำพระศพมาเปิดเผยเพื่อทำลายข่าวลือเรื่องการกลับคืนชีพของพระเยซูเจ้า
2. การปรากฏพระองค์ให้สานุศิษย์และคนทั่วไปได้เห็น
เรื่องนี้มีบางคนพูดว่า พวกสาวกมีอาการประสาทหลอน หรือเป็นโรคจิตหมู่ หรือเป็นเพียงจินตนาการเท่านั้น
เราสามารถพูดได้ว่าบรรดาสาวกนั้นไม่ได้เป็นคนประเภทดังที่กล่าวไว้ เราคงจำเรื่องของโทมัสได้ คนอย่างโทมัสไม่น่าจะมีอาการประสาทหลอนอย่างแน่นอน พระเยซูเจ้าทรงปรากฏพระองค์ให้สาวกได้เห็น 11 ครั้งภายในเวลา 6 สัปดาห์ ยิ่งกว่านั้น คนมากกว่า 500 คนเห็นพระเยซูเจ้าฟื้นจากความตาย
นอกจากนั้นการปรากฏพระองค์ให้สานุศิษย์ได้เห็นนั้น พระองค์ยังได้ทรงให้พวกเขาได้สัมผัสใกล้ชิดกับพระองค์ด้วย เช่น ทานปลาย่างด้วยกัน(ลก.24:42-43) เปโตรพูดว่าพวกเขาได้กินและดื่มพร้อมกับพระเยซูเจ้า(กิจการฯ 10:41)
3. ผลที่เกิดขึ้นจากการกลับฟื้นชีพของพระเยซูเจ้า
การที่พระเยซูเจ้าทรงฟื้นขึ้นมาจากความตายมีผลกระทบอย่างมากต่อความเชื่อศรัทธาของสาวกและผู้คนในสมัยนั้น การกลับฟื้นคืนชีพของพระเยซูเจ้า ทำให้คนที่สงสัยได้กลับมามีความเชื่อ และเมื่อพวกเขาต้องแยกย้ายกันไป พวกเขาต่างนำเอาความจริงเรื่องนี้ไปประกาศต่อเพื่อนพี่น้องที่พวกเขารู้จัก ไปไหนก็พูดแต่เรื่องนี้
4. ประสบการณ์ของคริสตชนเอง
ปัจจุบันมีคนจำนวนเป็นล้านๆคนได้สัมผัสและเชื่อในความจริงประการนี้ เราจะเห็นได้ว่ามีคนทุกชาติ ทุกภาษา ทุกผิว ทวีป ไม่ว่ายากดีมีจน ต่างเข้ามาศึกษาและเชื่อศรัทธาในพระเยซูเจ้า
ดังนั้น ขอให้เรามั่นใจและจงชื่นชมยินดีเถิด เพราะพระเยซูเจ้าที่เรานับถือนั้นทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าที่แท้จริง ทรงกลับฟื้นคืนชีพจริง และสิ่งนี้เป็นความหวังสำหรับชีวิตของเราทุกคนว่า เราที่เชื่อศรัทธาในพระองค์จะได้รับการกลับฟื้นคืนชีพเพื่อมารับความสุขอันยิ่งใหญ่เช่นเดียวกับพระองค์ด้วย