สัปดาห์ที่ 2 ในเทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้า
วันอาทิตย์นี้เป็นอาทิตย์ที่สองในเทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้า พระคัมภีร์จากพระวรสารที่เราได้รับฟังประจำอาทิตย์นี้มาจากนักบุญมาระโก โดยท่านเริ่มเล่าเรื่องของพระเยซูเจ้าในขณะที่ทรงเติบโตแล้ว โดยมียอห์น บัปติสเป็นผู้ประกาศเตรียมจิตใจประชาชนในสมัยนั้น นักบุญมาระโกไม่ได้ให้รายละเอียดในเรื่องเหตุการณ์การกำเนิดของพระเยซูเจ้า โดยท่านมีจุดประสงค์ในการนำเสนอเช่นนี้ เพื่อแสดงให้เราเห็นว่าบทบาทที่สำคัญของพระเยซูเจ้า คือ ทรงเป็นพระผู้ไถ่บาป ที่ทรงเป็นทั้งพระเจ้าแท้และมนุษย์แท้ ในการนำมวลมนุษย์ชาติกลับไปหาพระบิดาเจ้าในสรวงสวรรค์
การลำดับการนำเสนอที่แตกต่างกันนี้ มีข้อน่าคิดที่เป็นประโยชน์สำหรับเราในการทำการเฉลิมฉลองวันคริสต์มาสอย่างมาก เพราะภาพลักษณ์ของการฉลองวันคริสต์มาสคือความสนุกสนานที่เต็มไปด้วยเสียงเพลง ของขวัญ การอวยพร การทานเลี้ยง เกม ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี เป็นการแสดงออกถึงความสุขตามประสามนุษย์ แต่สิ่งที่เตือนสติเราก็คือ ความหมายที่แท้จริงของการบังเกิดของพระเยซูเจ้าคืออะไร สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เราต้องไปให้ถึง ซึ่งพระวรสารในวันนี้พยายามบอกเราโดยผ่านทางประกาศก ยอห์น บัสติส นั้นคือ ให้เราทุกคนเตรียมจิตใจให้พร้อมเพื่อรับเสด็จองค์พระเยซูเจ้า ผู้ทรงเป็นพระผู้ไถ่บาป ผู้ที่จะทรงนำเรากลับไปหาพระบิดาเจ้าสวรรค์
เพื่อความเข้าใจว่าทำไมพระเยซูเจ้าจึงต้องเสด็จลงมาเพื่อไถ่บาปเรามนุษย์ จึงขอนำความจริง 4 ประการดังนี้
หนึ่ง “พระเจ้าทรงรักโลกมาก” ความรักของพระเจ้าแสดงออกโดย “การสร้าง” ซึ่งเราได้เรียนรู้จากหนังสือปฐมกาลมาแล้วทุกคนมาพระเจ้าทรงสร้างสรรพสิ่งในโลก สิ่งสร้างที่สำคัญที่สุดคือมนุษย์ เพราะพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ให้มีความคล้ายกับพระองค์มากที่สุด มนุษย์คู่แรกหรือบิดามารดาคู่แรกของมนุษย์นั้นเป็นที่รักของพระเจ้ามาก พระเจ้าทรงมอบหมายหน้าที่ให้ปกครองดูแลสิ่งสร้างอื่นๆที่พระเจ้าประทานให้ พระเจ้าประทานพระพรให้มนุษย์คู่แรกนี้ให้สามารถรู้จักพระเจ้า รักพระเจ้า และปฏิบัติรับใช้พระเจ้า ความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้าในฐานะ “พระผู้สร้าง” กับมนุษย์ในฐานะ “สิ่งสร้าง” เป็นไปด้วยดี มีมิตรภาพที่ดีต่อกัน มนุษย์เชื่อฟังพระเจ้า พระเจ้าประทานพระพรให้มนุษย์ ทุกฝ่ายต่างอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข เราเรียกสภาพเช่นนี้ว่าอยู่ใน “สวนสวรรค์” หรือสวดเอเดน(ตามภาษาแบบมนุษย์)
สอง “มนุษย์ทำบาป” ความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างมนุษย์กับพระเจ้าถูกทำลายลงไป ด้วยการที่มนุษย์ได้ละเมิดต่อคำสัญญาที่ให้ไว้กับพระเจ้า มนุษย์ไม่ยอมอยู่ใต้การปกครองของพระเจ้า แต่อยากจะเป็นใหญ่เสมอเท่าพระเจ้า ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับพระเจ้าจึงขาดสะบั้นลง ความสุขที่เคยมีก็หมดไป พระคัมภีร์ใช้คำว่ามนุษย์ถูกขับไล่ออกจากสวนสวรรค์ มนุษย์ต้องทำงานหนัก ต้องมีความทุกข์ยากลำบากต่างๆ ต้องมีความเจ็บป่วย การฆาตกรรม ความตาย ความเกลียดชัง ฯลฯ ซึ่งสิ่งที่ไม่ดีต่างๆที่เกิดขึ้นนี้ เราเรียกว่า “บาป” เป็นต้น บาปที่มนุษย์คู่แรกกระทำถือว่าเป็นบาปต้นกำเนิดของบาปต่างๆในปัจจุบัน เราจึงเรียกบาปแรกนี้ว่า “บาปกำเนิด” ผลของบาปกำเนิดนี้ติดตัวมนุษย์ทุกคน (เว้นแต่เพียงพระแม่มารีย์ พระมารดาของพระเยซูเจ้าคนเดียวเท่านั้นที่เกิดมาโดยปราศจากบาปกำเนิด ทั้งนี้พระแม่ได้รับเลือกให้เป็นผู้ที่เหมาะสมกับการเป็นมารดาของพระผู้ไถ่) ผลร้ายแรงที่สุดของบาปกำเนิดนี้คือ มนุษย์ไม่สามารถกลับไปยังสวนสวรรค์ได้อีกต่อไป สวรรค์ปิดแล้ว เราถูกไล่ออกมาจากสวนสวรรค์แล้ว...น่าเศร้าจริงๆสำหรับมนุษย์..แล้วเราจะทำอย่างไรเพื่อจะได้สิทธิการกลับเป็นยังเมืองสวรรค์คืนมา...โชคดีสำหรับมนุษย์ เพราะพระเจ้าทรงเปี่ยมด้วยความรักและเมตตาสงสาร..พระเจ้า “ทรงสัญญา” ว่าจะส่งพระผู้ไถ่ลงมาชำระล้างบาปของมวลมนุษย์ชาติให้สิ้นไป พระผู้ไถ่นี้จะเอาเลือดของพระองค์ชำระล้างผลร้ายของบาปต่างๆให้หมดสิ้นไป ให้มนุษยชาติบริสุทธิ์ผุดผ่อง และเมื่อได้รับการชดใช้โทษบาปแล้ว มนุษย์จะได้เป็นอิสระ และสามารถกลับเข้าไปอยู่ในสวนสวรรค์ได้อีกครั้งหนึ่ง (หลังจากที่ต้องจากมาเนื่องจากบาปของมนุษย์คู่แรกนั้น)
สาม “พระเยซูเจ้าบังเกิดมา” ในที่สุด หลังจากที่มนุษย์ชาติได้รอคอยพระผู้ไถ่มาเป็นเวลานาน(เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับชนชาติยิวซึ่งถือว่าเป็นประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร) พระเยซูเจ้าจึงได้บังเกิดมา อย่างที่เราทราบกันดีว่าพระองค์ได้ทรงปฏิบัติหน้าที่ของพระองค์อย่างไร ตลอดพระชนมายุ 33 ปีนั้น พระองค์ทรงประกาศข่าวดีแห่งความรอด นำมนุษย์ให้มาให้รู้จักพระเจ้าที่ทรงเป็นบิดาที่แท้จริงของพวกเขา ทรงชักชวนให้มนุษย์ทำความดี หันมานบนอบเชื่อฟังพระเจ้า และปฏิบัติตามพระบัญญัติของพระเจ้า ที่สุดพระเยซูเจ้าทรงถูกจับกุม ถูกตรึงกางเขน รับทรมาน และสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนหลั่งเลือดเพื่อลบล้างบาปของโลกและของเราแต่คนละ ทรงทำเช่นนี้เพื่อชดใช้โทษบาปแทนเรา พระเยซูไม่ได้ทำความผิดอะไร แต่ยอมรับโทษแทนเรา ชีวิตและความตายของพระองค์จึงเป็นเครื่องบูชาชดเชยบาปเหมือนกับการนำเอาแกะหรือแพะไปฆ่าบูชายัญ (ในบทสวดจึงบอกว่าพระเยซูเจ้าเป็นลูกแกะของพระเจ้า) พันธกิจการไถ่บาปของพระเยซูเจ้าสิ้นสุดลงไปแล้ว เรามนุษย์จึงมีสิทธิที่จะกลับเข้าไปในเมืองสวรรค์ได้แล้ว แต่ใครจะเข้าสวรรค์หรือไม่เข้านั้น ขึ้นอยู่กับเสรีภาพของเรา ว่าเราจะเลือกเอาหรือไม่เท่านั้นเอง
สี่ “ทางเลือกของเรา” จากสามประการที่กล่าวมาข้างต้น สุดท้ายแล้ว ก็ขึ้นอยู่กับเราแต่ละคน ว่าเราจะ “ตอบรับ” หรือ “เฉยๆ” หรือ “ปฏิเสธ” คำเชิญเชิญนี้ การที่ใครคนใดคนหนึ่งจะได้กลับไปสวรรค์ได้หรือไม่นั้น เป็นสิทธิของแต่ละบุคคล พระเยซูเจ้าเชิญชวนทุกคน ให้กลับไปหาพระบิดาซึ่งเป็นต้นกำเนิดชีวิตของเรา เราจะยอมกลับใจใข้โทษบาปของเราหรือไม่
พระศาสนจักรจัดให้เรามีเทศกาลเตรียมรับเสด็จพระเยซูคริสตเจ้านี้ก็เพื่อให้เราได้คิดพิจารณาถึงความจริงของชีวิตนี้ “จงเตรียมทางขององค์พระผู้เป็นเจ้า จงทำทางเดินของพระองค์ให้ตรงเถิด” หมายถึง การเตรียมจิตใจของเราแต่ละคน เปิดใจของเราออกต้อนรับพระเยซูเจ้า ให้พระองค์ช่วยชำระจิตใจของเรา ประพฤติตนให้เป็นคนดีในแต่ละวัน ตามที่นักบุญเปโตรสอนเราในบทอ่านที่สองว่า “จงพยายามให้พระเจ้าพบท่านดำเนินชีวิตอย่างสันติปราศจากมลทินและไร้ข้อตำหนิ”
ข้อตั้งใจ : ตลอดสัปดาห์นี้จะลดพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมกับนามคริสตชนออกไป 1 ประการ