เวลาต่อมาไม่ถึงชั่วโมง มีโทรศัพท์เข้ามาในบ้าน และแทบไม่น่าเชื่อ มีคนมาขอซื้อบ้านของท่านโดยเสนอราคา 5,000,000 บาท ท่านกระโดดตัวลอยแล้วตอบตกลงทันที
วันต่อมาท่านรู้ว่าบ้านของคนอื่นๆที่เหลือต่างได้รับการเสนอให้ขายในราคา 5,000,000 บาทเช่นเดียวกับบ้านของเขา ท่านรู้สึกโกรธมาก ทันทีท่านได้โทรฯไปหาคนซื้อบ้านคนนั้น และต่อว่าเขาไปด้วยความโกรธ ผู้ซื้อบ้านตอบเขาว่า “ผมหลอกลวงคุณ หรือคุณอิจฉา เพราะผมใจดี”
เรื่องสมมุตินี้คงช่วยเราให้เข้าใจเรื่องเปรียบเทียบที่พระเยซูเจ้าทรงสอนเราในวันอาทิตย์นี้
-----------------------------------------------------------------------------------------
เพื่อที่เราจะได้เข้าใจเรื่องเปรียบเทียบของพระเยซูเจ้าได้อย่างดี เราควรรู้ว่าคนงานที่มาทีหลังแล้วได้ค่าจ้างแรงงานเท่ากับคนที่มาทำงานแต่ เช่นนั้นไม่ได้เป็นคนที่ไม่เอาถ่านหรือเป็นคนที่ไม่ดี ไม่รับผิดชอบ อะไรทำนองนั้น เขาพยายามหางานทำทั้งวัน แต่ไม่สามารถ นี้เป็นสาเหตุว่าทำไมเขาจะต้องรอถึงห้าโมงเย็น เขาบอกว่าไม่มีใครจ้างเขา หรือรับเขาเข้าทำงานด้วย
ในสมัยของพระเยซูเจ้านั้น ถ้าผู้ชายไม่มีงานทำ ก็จะไม่มีเงินไปเลี้ยงดูครอบครัวของเขาด้วย ส่วนคนที่ได้งานแต่เช้า ก็จะมีความยินดี เพราะแน่ใจว่าวันนี้และพรุ่งนี้เขาและครอบครัวมีอะไรกินกันอย่างแน่นอน ไม่ต้องอดอยากแล้ว
เมื่อเราคิดถึงความจริงเรื่องนี้แล้ว คนที่หางานทำไม่ได้ หรือไม่มีงานทำ เขาจะต้องมีความกังวลใจ กลุ้มใจมากแค่ไหน เพราะหลายคนไม่เพียงแต่ตัวคนเดียวเท่านั้น แต่เขายังมีภาระรับผิดชอบ อีกหลายปากหลายท้อง
ประเด็นสำคัญอยู่ที่ว่า ทำไมพระเยซูเจ้าจึงทรงเล่าเรื่องนี้ พระองค์ต้องการบอกอะไรแก่พวกเราในวันอาทิตย์นี้
คนงานที่มาก่อนและคนงานที่มาทีหลังหมายถึงใคร
คนที่มาทีหลังหมายถึงคนบาปในสมัยของพระเยซู คนบาปในสายตาของคนในสมัยนั้นที่ได้รับฟังคำเทศนาสั่งสอนของพระองค์และได้ กลับใจใช้โทษบาปของตนเอง ความรอดจึงมาสู่ตัวของเขา ส่วนคนงานที่มาแต่แรกๆนั้นได้แก่บรรดาชาวยิวฟารีสีทั้งหลายที่มักจะโกรธ เคืองบรรดาคนบาปที่กลับใจใช้โทษบาป คนพวกนี้จะได้เข้าพระอาณาจักรของพระเจ้าเป็นพวกสุดท้าย ซึ่งจะเป็นรางวัลสำหรับทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน(ได้ค่าจ้างเท่ากัน)
ความคิดเช่นนี้คล้ายๆกับความคิดของหลายคนที่วิจารณ์เรื่องการที่พระเยซูเจ้า ทรงให้อภัยบาปแก่โจรที่ถูกตรึงกางเขนเคียงข้างพระองค์ โดยกล่าวกับเขาว่า “วันนี้ท่านจะอยู่กับเราในสวรรค์” (ลูกา 23:43)
สิ่งที่น่าสังเกตจากเรื่องเล่าของพระเยซูในวันนี้ก็คือ ถ้าคนงานที่มาทำงานแต่แรกนั้น ไม่ทราบเรื่องค่าจ้างที่นายจ้างจะให้แก่คนงานที่มาทีหลัง เขาคงจะกลับบ้านด้วยความยินดี และรู้สึกถึงบุญคุณของนายจ้างที่ให้เขาได้งานทำและมีเงินเลี้ยงดูตนเองและ ครอบครัว แต่เมื่อเขารู้และเปรียบเทียบ เขาจึงเกิดความรู้สึกโกรธและอิจฉา แน่นอนเขาคงกลับไปบ้านพร้อมกับอารมณ์เช่นนี้ และเราคงเดาถูกว่าเมื่อเขากลับไปถึงบ้านเขาจะพูดและปฏิบัติอย่างไรกับคนใน ครอบครัวของเรา
-----------------------------------------------------------------
ประเด็นคำถามที่น่าคิดก็คือ ทำไมคนงานที่มาทำงานก่อนใครเพื่อนจึงหัวเสียกับความโชคดีของคนงานที่มาทำ งานทีหลัง ทำไมเขาจึงหัวเสียกับเพื่อนบ้านที่ขายบ้านในราคา 5,000,000 บาทเท่ากับราคาที่เขาได้รับ คนเราจะสุขหรือทุกข์ ขึ้นอยู่กับอะไร ความคิดหรือความเป็นจริง ยอมรับได้หรือไม่ได้ เราพอใจในสิ่งที่ตนเองมีหรือเราชอบเปรียบเทียบกับคนอื่น หรือเราโกรธพระเจ้า
----------------------------------------------------------------
คำตอบของพระเยซูเจ้าในคำสอนเชิงเปรียบเทียบนี้เป็นคำตอบสำหรับคนที่มีความคิดเช่นนั้น “ฉันไม่ได้โกงท่านเลย...ท่านอิจฉาริษยาเพราะฉันใจดีหรือ”(มัทธิว 20:13,15)
ในชีวิตของเรา เรามักจะหัวเสียเมื่อเห็นคนอื่นๆโชคดีกว่าตัวท่าน คิดให้ดีๆแล้วยอมรับความจริง นี้คือสิ่งที่เรียกว่า “อิจฉาริษยา” ใช่ไหม แต่ทำไมจึงทำให้เราเกิดความอิจฉาคนอื่นเล่า
เหตุผลหนึ่งก็คือ เรามักจะคิดว่าตัวเรานี้ “ดีกว่า” คนอื่น หรือ ยิ่งกว่านั้น เราเองมักจะคิดว่าเราดีกว่าสิ่งที่ตัวเราเองเป็นหรือมีด้วยซ้ำไป เช่น เก่งกว่า รวยกว่า ทำอะไรได้มากกว่า ทั้งๆทีเราทำไม่ได้ถึงขั้นนั้น
นี่แหละที่ทำให้เราวิจารณ์คนอื่น ว่าคนอื่น ดูถูกคนอื่น ทั้งนี้เพราะเราไม่ได้ใช้มาตรฐานของพระเจ้าในการตัดสินคนอื่น เราใช้มาตรฐานของเราเอง เราเอาตัวเองเป็นตาชั่งสำหรับคนอื่น
ใครจะไปรู้ถึงแผนการของพระเจ้า ความสามารถที่เราคิดว่าเรามีมากกว่าคนอื่นนั้น อาจจะไม่มีราคาค่างวดอะไรเลย ถ้าเราไม่ได้ใช้ตามพระประสงค์ของพระเจ้า นักบุญเปาโลเตือนใจเราได้อย่างตรงประเด็นที่สุด เมื่อท่านกล่าวว่า “แต่ พระเจ้าทรงเลือกสรรคนโง่เขลาในสายตาของโลกเพื่อให้คนฉลาดต้องอับอาย และพระเจ้าทรงเลือกสรรสิ่งต่ำช้าน่าดูหมิ่นไร้คุณค่าในสายตาของชาวโลกเพื่อ ทำลายสิ่งที่โลกคิดว่าสำคัญ” (1โครินธ์ 1:27-28)
----------------------------------------------------
ดังนั้น ข่าวดีของพระเจ้าประจำอาทิตย์นี้จึงเตือนใจเราให้หยุดการเปรียบคนเองกับผู้ อื่น แต่ให้เรายอมรับตนเองอย่างที่เป็น และปฏิบัติตามแนวทางที่นักบุญเปาโลสอนเราไว้คือ “แต่ละคนจงพิจารณาการกระทำของตน แล้วจะภูมิใจในตนเอง โดยไม่ต้องเปรียบเทียบกับผู้อื่น” (กาละเทีย 6:4)