ข้อคิดวันอาทิตย์ที่ 26 มิถุนายน 2011
สมโภชพระวรกายและพระโลหิตพระคริสตเจ้า
(พลังชีวิต)
       สถานที่หนึ่งในกรุงโรมที่นักแสวงบุญจากทั่วโลกมักจะแวะเวียนไปเยี่ยมอย่างไม่ขาดสาย นอกจากพระมหาวิหารนักบุญเปโตรและมหาวิหารอื่นๆแล้ว ก็คือ “คาตากอม” หรืออุโมงค์ใต้ดินที่บรรดาคริสตชนในยุคแรกๆได้พากันไปหลบซ่อนตัวและเป็นสถานที่ฝังศพของพี่น้องคริสตชนไว้เป็นจำนวนมากมายไว้ที่นั้น ในสถานที่นี้ยังถูกใช้เพื่อเป็นที่พี่น้องคริสตชนมาชุมนุมกันเพื่อร่วมพิธีมิสซาฯ ถ้าใครได้ไปที่นั้นจะเห็นห้องเล็ก ๆ ที่มีพระแท่นสำหรับประกอบพิธีอยู่หลายห้องด้วยกัน บรรดาพี่น้องคริสตชนในสมัยนั้นในยามที่ถูกเบียดเบียนและตามล่านั้น พิธีมิสซาฯและการรับศีลมหาสนิทเป็นพลังภายในที่ช่วยหล่อเลี้ยงความเชื่อศรัทธาให้พวกเขาสามารถสู้ทนจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต  


       ได้ฟังประสบการณ์ชีวิตของผู้ใหญ่คนหนึ่งที่ในอดีตเคยทิ้งวัดไปและใช้ชีวิตตามประสาคนทั่วไป ที่สุดเมื่อได้กลับมาเป็นผู้นำในกลุ่มฆราวาสช่วยเหลือกิจการของวัดในรูปแบบต่างๆ คำหนึ่งที่ได้ฟังแล้วรู้สึกดีมากๆก็คือ เขาได้ทิ้งของมีค่ามากที่สุดในชีวิตไปเป็นเวลานาน คือ ไม่ได้มาร่วมพิธีมิสซาฯ ไม่ได้รับศีลฯมาเป็นเวลานานหลายสิบปี มิสซาฯสามารถช่วยเหลือวิญญาณของวิญญาณในไฟชำระ ช่วยวิญญาณของญาติพี่น้องของเรา และช่วยตัวของเราเองด้วยพระหรรษทานจากต่างๆจากศีลมหาสนิท เวลานี้เขามาร่วมพิธีมิสซาฯอย่างสม่ำเสมอเพื่อชดเชยเวลาที่หายไป

       คณะของคุณแม่เทเรซา แห่งกัลกัตตา เมื่อมีพระสังฆราชจากประเทศใดเชิญให้สมาชิกของคณะฯไปทำงานด้วย เงื่อนไขแต่ประการเดียวที่คุณแม่เทเรซาขอต่อพระสังฆราชคือขอให้มีพระสงฆ์มาถวายมิสซาฯและตั้งศีลมหาสนิทไว้เพื่อสมาชิกจะได้มีโอกาสอยู่ใกล้ชิดกับพระเยซูเจ้าในศีลมหาสนิทตลอดทั้งวัน ศีลมหาสนิทจึงเป็นพลังในการทำงานของสมาชิกทุกคนในคณะฯ

       วันอาทิตย์นี้เราฉลองพระกายและพระโลหิตของพระเยซูเจ้า จึงเป็นโอกาสที่ดีที่เราจะได้ทบทวนถึงศรัทธาของเราแต่ละคนที่มีต่อศีลมหาสนิท เรามีโอกาสรับศีลมหาสนิทอยู่เสมอ แต่การรับศีลฯของเรานั้นมีความหมายอย่างไรต่อชีวิตของเรา

       “พลังชีวิต” ที่เราได้รับจากศีลมหาสนิทนั้นมาจาก “พลังรัก” ที่พระเยซูเจ้าทรงมีต่อเรามนุษย์ ตัวอย่างเช่น ในบทอ่านที่หนึ่ง เราได้เห็นถึงพลังรักขององค์พระผู้เป็นเจ้าที่ได้เลี้ยงดูประชาชนขณะเดินทางอยู่ในถิ่นทุรกันดาร พระองค์ประทาน “มานนา” อาหารจากสวรรค์ให้พวกเขายามที่พวกเขาหิวโหย พระองค์ทรงเลี้ยงดูเพราะพระองค์ทรงรักและห่วงใยเรามนุษย์ทุกคน มาในปัจจุบันนี้ “ศีลมหาสนิท” คือ “มานนาใหม่” ที่พระองค์ทรงมอบให้เรามนุษย์ ศีลมหาสนิทไม่ได้เป็นแค่ขนมปังธรรมดา แต่เป็นเลือดเป็นเนื้อของพระพระเยซูเจ้าเอง ขนมปังเป็นเพียงอาหารฝ่ายร่างกาย แต่ศีลมหาสนิทเป็นอาหารฝ่ายจิต พระองค์ปรารถนาที่จะอยู่ใกล้ชิดสนิทกับเรามนุษย์แต่ละคน พระองค์จึงประทับอยู่ในตัวของเรา ทำให้ตัวของเรามีส่วนร่วมในชีวิตของพระองค์ เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ พระองค์ประทับอยู่ในตัวของเรา เราอยู่ในตัวของพระองค์ เราจึงมีชีวิตที่เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ นี้แหละเป็นบุญอันสูงสุดในชีวิตของคนธรรมดาๆอย่างเรา ที่พระเจ้าทรงมาประทับอยู่ด้วย พระองค์ไม่ทรงรักเกียรติเราแม้แต่น้อย ไม่ว่าเราจะเป็นใคร รวยหรือจน ฉลาดหรือโง่ ฯลฯ

        ในพระวรสาร นักบุญยอห์นทำให้เรามีความมั่นใจเพราะพระสัญญาที่พระเยซูเจ้าทรงมอบให้เรามนุษย์ “เราเป็นปังทรงชีวิตที่ลงมาจากสวรรค์ ใครที่กินปังนี้จะมีชีวิตอยู่ตลอดไป” ในความจริงที่พระเยซูเจ้าทรงสอนเรานี้ เป็นหลักประกันแก่เราว่า ทุกครั้งที่เราเข้ามารับศีลมหาสนิทก็เป็นการตอกย้ำถึงบุญของเราที่จะได้รับชีวิตนิรันดร คือ การได้เข้าไปอยู่ในเมืองสวรรค์ อยู่กับพระองค์ตลอดไป

        วันนี้เราจะมีโอกาสได้เข้าไปรับศีลมหาสนิท พระสงฆ์จะเตือนเราก่อนที่จะมอบศีลมหาสนิทให้เรา โดยบอกกับเราว่า “นี่คือพระกายพระคริสตเจ้า” เราก็ตอบพระสงฆ์ว่า “อาแมน” สิ่งนี้เป็นการย้ำเตือนให้เรารู้ตัวว่า เรากำลังทำอะไร มือของเรา ลิ้นของเรา ตัวของเรากำลังสัมผัสกับผู้ที่ศักดิ์สิทธิ์สูงสุด เรากำลังอัญเชิญพระเยซูเจ้าเข้ามาอยู่ในตัวของเรา เรากลับกลายเป็นวิหารของพระจิต สิ่งที่ตามมาก็คือ เมื่อเราออกจากวัดไปดำเนินชีวิต เราจะต้องนำพระเยซูเจ้าไปกับเราด้วย เมื่อขณะที่พระเยซูทรงมีชีวิตอยู่ พระองค์เสด็จไปที่ใด พระองค์ก็ทรงกระทำแต่ความดีที่นั้น เราก็เช่นกัน เมื่อรับศีลมหาสนิทแล้ว เราไปไหน เราต้องทำความดีที่นั้น ขอให้เราตอบคำว่า “อาแมน” ดังๆก่อนที่จะรับศีลมหาสนิทจากมือของพระสงฆ์ เพราะนี้แหละคือ “พลังชีวิต” ของเราอย่างแท้จริง