ข้อคิดวันอาทิตย์ที่ 12 มิถุนายน 2011
วันสมโภชพระจิตเจ้า
               พี่น้องที่รักในพระคริสตเจ้า ความเชื่อเรื่องพระจิตเจ้าอยู่ในบทสัญลักษณ์ของอัครสาวกที่ว่า “ข้าพเจ้าเชื่อในพระจิต” และมีคำอธิบายอยู่ในคำสอนของพระศาสนจักรคาทอลิกเล่มที่ 1 สีเขียวในข้อที่ 687-747


             พระเยซูเจ้าทรงประกาศและสัญญาว่าจะประทานพระจิตเจ้าให้เสด็จลงมานั้น พระองค์ทรงเรียกพระจิตว่า “Paraclete” แปลตามศัพท์ว่า “พระผู้ได้รับการเรียกมาให้อยู่ใกล้” ซึ่งมาอยู่ใกล้เพื่ออะไร ความหมายแรกคือ มาเพื่อเป็น “ผู้ปลอบใจ” โดยที่พระเยซูเจ้า คือ องค์พระผู้ปลอบใจพระองค์แรก(เทียบ 1ยน. 2:1) เมื่อทราบเช่นนี้แล้ว ขณะนี้ใครที่กำลังประสบปัญหาต้องการการปลอบใจ ก็ขอให้นั่งนิ่งๆอธิษฐานในใจอัญเชิญพระจิตเจ้ามาเป็นกำลังใจให้ได้เลย

             ความหมายอื่นๆของคำว่า Paraclete คือ “เป็นทนายแก้ต่าง” ในเมื่อมีการกล่าวหาในข้อหาที่รุนแรง ดังนั้นพระจิตเจ้ายังทรงเป็นทนายแก้ต่างให้กับเราเมื่อเราต้องเผชิญหน้ากับความเข้าใจผิดหรือโดนกล่าวหาในเรื่องต่างๆ นอกจากนั้นยังหมายถึง “ผู้เชี่ยวชาญ” ที่สามารถให้คำปรึกษาในสถานการณ์ที่ยุ่งยาก คิดไม่ออกบอกไม่ถูก เราสามารถพึ่งพระจิตเจ้าได้ และอีกความหมายหนึ่งที่มีประโยชน์ต่อชีวิตของเราคือ “ผู้ให้ความช่วยเหลือ” ในยามลำบากขัดสน เมื่อเราต้องตกอยู่ในสภาพการณ์เช่นนี้อย่าลืมคิดถึงพระจิตเจ้า

             ในการประชุม PMS ที่กรุงโรมเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ในกลุ่มของประเทศที่มาจากทวีปเอเชียได้แบ่งปันถึงสถานการณ์ของแต่ละประเทศ มีเพื่อนจากประเทศมาเลเซียได้พูดถึงสถานการณ์ความขัดแย้งในประเทศของเขาระหว่างพี่น้องมุสลิมกับคาทอลิกในเรื่องการใช้คำศัพท์ที่ใช้เรียกพระเจ้า เพื่อนบอกว่าพระศาสนจักรคาทอลิกในประเทศมาเลเชียได้ใช้โอกาสนี้รณรงค์ให้สัตบุรุษให้ใช้พระวาจาของพระเจ้าเป็นหลักในการแก้ปัญหาความขัดแย้งนี้ โดยเชิญชวนให้พี่น้องคาทอลิกได้ไตร่ตรองและปฏิบัติตนตามพระวาจาพระเจ้าใน กาลาเทีย 5:22-26 ความว่า “ส่วนผลของพระจิตเจ้าก็คือ ความรัก ความชื่นชม ความสงบ ความอดทน ความเมตตา ความใจดี ความซื่อสัตย์ ความอ่อนโยน และการรู้จักควบคุมตนเอง...ถ้าเรามีชีวิตเดชะพระจิตแล้ว เราจงดำเนินชีวิตตามพระจิตเจ้าด้วย อย่าอวดดียั่วยุผู้อื่น หรืออิจฉากันและกัน”

             ในคำสอนของพระศาสนจักรคาทอลิกได้พูดถึงแหล่งความรู้เรื่องพระจิตเจ้าไว้ในข้อ 688 ซึ่งพอสรุปได้ว่า เราไม่สามารถมองเห็นพระจิตเจ้าด้วยตาของเรา แต่เราสามารถสัมผัสพระจิตเจ้าได้ด้วยผลของพระองค์ ซึ่งเปรียบเหมือนกับที่เรามองลมไม้เห็น แต่เรารู้ว่ามีลมเพราะเรารู้สึกเย็นหรือเราเห็นกิ่งไม่ไหวเอน เป็นต้น

             พระศาสนจักรสอนว่า เราสามารถเห็นผลของพระจิตเจ้าได้จากชีวิตที่เป็นประจักษ์พยานของบรรดานักบุญ ชีวิตของบรรดาธรรมทูต ผู้แพร่ธรรมทั้งหลาย ในพระพรพิเศษที่แต่ละคนมี เราลองมองไปรอบๆตัวของเรา เราจะเห็นคนดีที่สามารถกระทำความดีได้โดยที่ไม่ย่อท้อ แม้ว่าจะมีอุปสรรคใดๆก็ตาม นี้เป็นผลของพระจิตเจ้าประการหนึ่ง

            พระจิตทรงมีคุณต่อชีวิตมหาศาล แต่เราอาจจะไม่ได้เข้ามาพึ่งพาอาศัยพระองค์ เพียงเราหยุดนิ่งอธิษฐานวอนขอพระองค์ พระองค์พร้อมที่จะยืนมือเข้ามาช่วยเหลือเรา นี้คือข่าวดีที่ผมอยากจะบอกกับทุกคน