ข้อคิดวันอาทิตย์ที่ 29 พฤษภาคม 2011
เราจะไม่ทิ้งท่านทั้งหลายให้เป็นกำพร้า
(กิจการฯ 8:5-8, 14-17; 1 ปต. 3:15-18; ยน. 14:15-21)
            1. พี่น้องที่รักในพระคริสตเจ้า ข่าวดีของพระเจ้าประจำสัปดาห์นี้ เป็นข่าวดีที่พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาสาวในเวลาที่พระองค์กำลังจะเสด็จขึ้นสวรรค์ว่า “เราจะไม่ทิ้งท่านทั้งหลายให้เป็นกำพร้า” (ยน.14:18) พวกศิษย์จะเข้าใจพระสัญญาของพระองค์ตอนนี้อย่างไร พระวาจาของพระองค์นี้มีความหมายว่าอย่างไร


           2. คำสัญญาของพระเจ้าเรื่องการส่งพระจิตลงมานี้ไม่ใช่เรื่องที่บรรดาสาวกของพระเยซูเจ้าหรือบรรดาชาวยิวจะไม่รู้มาก่อน เพราะว่าพวกเขาต่างมีความรู้ในพระคัมภีร์มาอย่างดีกันแล้ว พูดได้ว่าคำสัญญานี้เราพบมาตั้งแต่พันธสัญญาเดิมจากหนังสือของเยเรมีย์และเอเซเคียล ในยุคสมัยของบรรดาประกาศก พระเจ้าทรงสัญญาจะทำพันธสัญญาใหม่กับประชากรของพระองค์(ยรม.31:31) พระองค์ทรงสัญญาว่า “เราจะใส่ธรรมบัญญัติของเราไว้ภายในเขา เราจะเขียนธรรมบัญญัติไว้ในใจของเขา เราจะเป็นพระเจ้าของเขา และเขาจะเป็นประชากรของเรา” (ยรม.31:33) พระองค์ทรงสัญญาจะให้ใจใหม่แก่เขา พระองค์จะใส่จิตใหม่ไว้ในเขา จะนำใจหินออกไปจากร่างกายของเขา และจะให้ใจเนื้อแก่เขา(อสค. 11:19, 18:31, 36:26) และที่สุด พระเจ้าได้ทรงสัญญาที่จะใส่จิตของพระองค์เองภายในเรา ซึ่งจะทำให้เราดำเนินชีวิตตามข้อกำหนดของพระองค์ เราจะรักษาและปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของพระองค์(อสค. 36:27) และจากพระคัมภีร์นี้เองที่ทำให้เราทราบว่าคำสัญญาของพระเจ้านั้นได้เกิดขึ้นจริง เป็นความจริง ดั่งความจากบทจดหมายของนักบุญเปาโลถึงโครินธ์ฉบับที่ 1 ที่ว่า "ท่านทั้งหลายไม่รู้หรือว่าท่านเป็นพระวิหารของพระเจ้า พระจิตของพระเจ้าทรงพำนักอยู่ในท่าน”  [1 คร. 3:16]

          3. เมื่อพระเยซูเจ้าตรัสว่า "ถ้าท่านทั้งหลายรักเรา ท่านจะปฏิบัติตามบทบัญญัติของเรา”(ยน.14:15) พระองค์ทรงยินยันอีกครั้งหนึ่งถึงพระวาจาอันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ที่ว่า "ถ้าท่านทั้งหลายยึดมั่นในวาจาของเรา ท่านก็เป็นศิษย์ของเราอย่างแท้จริง ท่านจะรู้ความจริง และความจริงจะทำให้ท่านเป็นอิสระ” (ยน. 8:31-32)

            4. พระเยซูเจ้ายังทรงตรัสต่อไปว่า "และเราจะวอนขอพระบิดา แล้วพระองค์จะประทานผู้ช่วยเหลืออีกองค์หนึ่งให้ท่าน เพื่อจะอยู่กับท่านตลอดไป" (ยน.14:16) ทำไมพระองค์จึงตรัสถึง “พระผู้ช่วยเหลือ”  อีกองค์หนึ่ง ในบทจดหมายของนักบุญยอห์นฉบับที่ 1 กล่าวว่า "ลูกที่รักทั้งหลาย ข้าพเจ้าเขียนเรื่องนี้ถึงท่าน เพื่อท่านจะได้ไม่ทำบาป ถ้าใครทำบาป เรายังมีทนายแก้ต่างให้เฉพาะพระพักตร์ของพระบิดา คือ พระเยซูคริสตเจ้า ผู้ทรงเที่ยงธรรม"(1 ยน.2:1) ดังนั้นพระเยซูเจ้าจึงทรงเป็น “พระผู้ช่วยเหลือพระองค์แรก” พระจิตเจ้าทรงเป็นพระผู้ช่วยเหลือพระองค์ที่สอง คำว่าพระผู้ช่วยเหลือ มีความหมายถึง “การเป็นผู้ช่วย” หรือ “การเป็นคนกลาง”

           5. พระเจ้าทรงส่งพระจิตเจ้ามาเพื่ออะไร ในพระวรสารของนักบุญยอห์น 14:26 เราได้เรียนรู้ว่าพระจิตเจ้าถูกส่งลงมาเพื่อสอนความจริงทุกสิ่งทุกอย่างแก่เรา และทรงทำให้เราเข้าใจคำสอนของพระเยซูเจ้าที่ทรงให้กับบรรดาสานุศิษย์ ในยอห์น 15:26 เราทราบว่าพระจิตเจ้าเสด็จมาเพื่อเป็นพยานให้แก่เรา และใน ยอห์น 16:7-14 เราได้เรียนรู้ว่าจุดประสงค์ของการเสด็จมาของพระจิตก็คือ พระองค์จะทรงพิสูจน์ให้โลกเห็นความหมายของบาป ของความถูกต้องและของการตัดสิน เพราะบาปของโลกคือการไม่ได้เชื่อในพระองค์ 

           6. พระเยซูเจ้าทรงสอนสานุศิษย์หลายสิ่งหลายอย่าง แต่ในขณะนั้นพวกเขายังไม่สามารถเข้าใจได้หมด จนกระทั่งพระจิตแห่งความจริงถูกส่งลงมาเพื่อนำทางพวกเขาให้เข้าใจทุกสิ่งที่พระเยซูเจ้าได้ทรงสอนและได้ทรงกระทำ ทั้งนี้เพราะพระจิตเจ้าทรงบอกทุกสิ่งที่พระองค์ได้รับมา พระองค์ทรงถวายเกียรติพระเยซู เพราะพระองค์ทรงนำทุกสิ่งของพระเยซูเจ้ามาเปิดเผยให้แก่เรามนุษย์

          7. เมื่อเราพูดว่าพระจิตเจ้าทรงเป็น “พระจิตแห่งความจริง” ทำให้เรารับรู้ถึงบทบาทของพระองค์อีกด้านหนึ่งก็คือ การเป็นทนาย หรือผู้รับรอง ในบทบาทของการเป็น “พระจิตแห่งความจริง” พระองค์ทรงนำพระศาสนจักรให้สามารถดำเนินไปในความจริง เมื่อเราพูดว่า พระจิตเจ้าทรง “พำนัก” อยู่กับเรา จึงหมายความว่า พระจิตเจ้าทรงพำนักอยู่ในพระศาสนจักรและพำนักอยู่ในตัวของเราแต่ละคนด้วย พระจิตเจ้าทรงพำนักอยู่ในพระศาสนจักรที่พระเยซูเจ้าทรงก่อตั้งขึ้น พระจิตเองทรงพำนักอยู่กับเราแต่ละคนผู้ซึ่งเป็นวิหารของพระจิตเจ้า(1คร.3:16) เพราะว่าสมาชิกของพระศาสนจักรทุกคนต่างเป็นศิลาที่มีชีวิตที่กำลังถูกสร้างขึ้นเป็นวิหารของพระจิตเจ้า”(1ปต. 2:5) ซึ่งมีพระเยซูเจ้าทรงเป็น “ศิลาหัวมุม” และ “ทุกคนที่มีความเชื่อในศิลานี้จะไม่ต้องอับอายเลย” (1ปต. 2:6)

           8. พระเยซูเจ้าทรงสัญญาว่าพระองค์จะไม่ทิ้งเราให้เป็นกำพร้า(ยน.14:18) หมายความว่าพระองค์จะเสด็จมาหาเราอีก แต่บางคนอาจจะถามว่า “แล้วจะมาอย่างไร” เราจะมองเห็นพระองค์ได้อย่างไร การเสด็จมาของพระจิตเจ้าในโลกนี้ก็เป็นการเสด็จมาของพระเยซูเจ้าและพระบิดาเจ้า เพราะทุกพระองค์ต่างร่วมส่วนกันในพระตรีเอกภาพ เพราะพระบิดาพำนักอยู่ในพระเยซูและพระเยซูทรงพำนักอยู่กับพระบิดา(ยน. 14:20)

           9. พระเยซูเจ้าตรัสกับสานุศิษย์ของพระองค์ว่า "ในไม่ช้า โลกจะไม่เห็นเรา แต่ท่านทั้งหลายจะเห็นเรา เพราะเรามีชีวิต และท่านก็จะมีชีวิตด้วย” (ยน. 14:19) หมายความว่าอย่างไร ...หมายความว่าบุคคลที่เดินอยู่ในความมืด บุคคลที่ขาดความเชื่อ บุคคลที่ปฏิเสธความเป็นพระเจ้าของพระเยซูเจ้า จะไม่มีชีวิตของพระเจ้าในตัวของเขาเหล่านั้น แต่ผู้ที่เชื่อว่าพระเยซูเจ้าทรงเป็นพระเจ้าจะมีชีวิตที่สนิทอยู่ในพระตรีเอกภาพ

         10. พระวาจาของพระเจ้าที่เราได้รับฟังในวันนี้ที่ว่า "ผู้ที่มีบทบัญญัติของเราและปฏิบัติตาม ผู้นั้นรักเรา และผู้ที่รักเรา พระบิดาของเราก็จะรักเขา และเราเองก็จะรักเขา และจะแสดงตนแก่เขา” (ยน. 14:21) ทำให้เราเรียนรู้เงื่อนไขของการมีส่วนในชีวิตของพระเจ้า นั้นก็คือเราต้องมีส่วนในความรักและการนอบน้อมต่อพระเยซูเจ้า มีความรักต่อพระเจ้าและต่อเพื่อนมนุษย์ นั้นคือการปฏิบัติตามบทบัญญัติที่พระองค์ทรงสั่งสอนอย่างดีนั้นเอง

        11. พี่น้องที่รัก ไม่มีใครจะเข้ารับสมบัติสวรรค์ได้โดยอาศัยเพียงแต่ความรู้เท่านั้น ใครก็ตามที่จะได้รับสมบัติสวรรค์ คนๆนั้นจะต้องนำเอาความรู้มาสู่ชีวิต คำพูดจะบินหายไป แต่การกระทำจะคงอยู่ตลอดไป

       12. บทอ่านที่หนึ่งซึ่งมาจากกิจการอัครสาวกได้พูดถึงเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ที่บรรดาอัครสาวกได้ประทานพระจิตเจ้าให้กับชาวสะมาเรีย การยอมรับพระเยซูเจ้าว่าทรงเป็นพระผู้ไถ่ที่เสด็จมาตามพระสัญญา ทำให้ชาวสะมาเรียได้รับพระจิตเจ้าโดยผ่านทางการปกมือของบรรดาอัครสาวกเปโตรและยอห์น

        13. ทุกๆครั้งที่เรามีพิธีโปรดศีลล้างบาปและศีลกำลัง ในพิธีนั้นเป็นช่วงเวลาสำคัญของชีวิต เพราะเราได้รับพระจิตเจ้า ซึ่งทำให้เราไม่โดดเดียวหรือเป็นกำพร้าอีกต่อไป แต่เรามีพระจิตเจ้าพำนักอยู่ในเรา ทรงเป็นผู้นำทางเรา ชี้แนะเรา ปลอบโยนเรา และประทานพลังกำลังให้แก่เราในยามที่เรามีปัญหาหรือมีอุปสรรคต่างๆในชีวิต

        14. พระเยซูเจ้าทรงสัญญากับเราแล้วว่า พระองค์จะไม่ทรงทิ้งเราให้เป็นกำพร้า นี้เป็นความอบอุ่นใจสำหรับเราคริสตชนทุกคน ที่พระองค์ทรงรักเรา ห่วงใยเราทุกคน พระองค์ทรงเปิดประตูต้อนรับเราทุกคนให้เป็นบุตรของพระเจ้า และเพราะเราเป็นบุตรนี้เองจึงทำให้เราได้รับพระจิตเจ้าเป็นของประทานที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตของเรา เราสามารถเรียกพระเจ้าว่าเป็น “พ่อ” ได้อย่างเต็มปากและเต็มศักดิ์ศรี เราไม่ได้เป็นคนอื่นคนไกล ไม่ได้เป็นทาสหรือคนรับใช้ แต่เราเป็นทายาทแห่งเมืองสวรรค์(กท.4:6) ดังนี้จึงขอให้พระหรรษทานของพระเจ้าประทับอยู่กับเราทุกคนตลอดไป เป็นต้นในสัปดาห์นี้ ขอพระจิตเจ้าประทานความสว่างให้กับสติปัญญาของเรา เพื่อให้เราเข้าใจคำสอนของพระองค์ได้อย่างถ่องแท้และคำเอาคำสอนของพระองค์นั้นไปใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวันได้อย่างดี สมกับการเป็นทายาทของพระองค์