ข้อคิดวันอาทิตย์ที่ 8 พฤษภาคม 2011
(กิจการฯ2:14, 22-28; 1 เปโตร 1:17-21; ลูกา 24:13-35)
"พระเจ้าทรงไถ่บาปเราแล้ว"

1. พี่น้องที่รักในพระคริสตเจ้า “องค์พระคริสตเจ้าทรงกลับคืนชีพแล้วจริงๆ” (ลก.24:34) ใช่แล้วครับพี่น้อง พระองค์ทรงกลับฟื้นคืนชีพ เพราะ “ถ้าพระคริสตเจ้ามิได้ทรงกลับคืนพระชนมชีพ การเทศน์สอนของเราก็ไร้ประโยชน์ และความเชื่อของท่านก็ไร้ประโยชน์เช่นเดียวกัน ยิ่งกว่านั้นเรากลายเป็นพยานเท็จถึงพระเจ้าเพราะเรายืนยันว่าพระเจ้าทรงปลุกพระคริสตเจ้าให้ทรงกลับคืนพระชนมชีพซึ่งพระองค์มิได้ทรงกระทำถ้าบรรดาผู้ตายไม่กลับคืนชีพ ถ้าผู้ตายไม่กลับคืนชีพพระคริสตเจ้าก็มิได้ทรงกลับคืนชีพด้วย ถ้าพระคริสตเจ้ามิได้ทรงกลับคืนพระชนมชีพความเชื่อของท่านก็ไร้ความหมายและท่านก็ยังคงอยู่ในบาป  เมื่อเป็นเช่นนี้ผู้ล่วงหลับไปในพระคริสตเจ้าก็พินาศไปด้วย ถ้าเรามีความหวังในพระคริสตเจ้าเพียงเพื่อชีวิตนี้เท่านั้นเราก็เป็นมนุษย์ที่น่าสงสารที่สุด ความจริงพระคริสตเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตายเป็นผลแรกของบรรดาผู้ล่วงหลับไปแล้ว” (1คร.15:12-20)

2. ในบทอ่านที่หนึ่งซึ่งนำมาจากหนังสือกิจการอัครสาวก เราได้เห็นว่านักบุญเปโตรได้ยืนขึ้นพร้อมกับบรรดาอัครสาวกสิบเอ็ดคนและประกาศยืนยันกับประชาชนด้วยความกล้าหาญว่า “พระเยซูเจ้าทรงถูกมอบในเงื้อมมือของท่านตามที่พระเจ้ามีพระประสงค์และทรงทราบล่วงหน้าแล้ว ท่านได้ใช้มือของบรรดาคนอธรรมประหารพระองค์โดยตรึงบนไม้กางเขน แต่พระเจ้าทรงบันดาลให้พระองค์กลับคืนชีพ พ้นจากอำนาจแห่งความตาย เพราะความตายยึดพระองค์ไว้ใต้อำนาจอีกต่อไปไม่ได้”(กจ.2:24-25) นักบุญเปโตรพูดในฐานะที่เป็นหัวหน้าหรือผู้มีอำนาจสูงสุดของพระศาสนจักร หรือฐานะที่เป็นพระสันตะปาปาพระองค์แรกของเรา

3. ในการพูดปราศรัยกับชาวยูเดียและผู้ที่อาศัยอยู่ในกรุงเยรูซาเล็มนั้น นักบุญเปโตรได้ใช้คำพูดของกษัตริย์ดาวิดในบทสดุดีที่ 16 ความว่า “ข้าพเจ้าเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่ต่อหน้าข้าพเจ้าเสมอ พระองค์ประทับอยู่เบื้องขวา ข้าพเจ้าจะไม่หวั่นไหว ดังนั้นจิตใจของข้าพเจ้าจึงยินดี ปากของข้าพเจ้ากล่าวถ้อยคำแสดงความเกษมเปรมปรีดิ์ ร่างกายที่ตายได้ของข้าพเจ้าพำนักอยู่ในความหวัง เพราะพระองค์จะไม่ทรงละทิ้งข้าพเจ้าไว้ในแดนผู้ตาย และจะไม่ทรงปล่อยให้ผู้ศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ให้เน่าเปื่อย พระองค์ทรงสอนข้าพเจ้าให้รู้จักทางแห่งชีวิต พระองค์จะทรงทำให้ข้าพเจ้าเปี่ยมด้วยความยินดีเฉพาะพระพักตร์ของพระองค์”(กจ.2:25-8; สดด.16:8-11)

4. เรื่องที่นักบุญเปโตรกล่าวนี้ท่านต้องการบอกอะไรแก่เรา ....ท่านประสงค์ที่จะให้เราแต่ละคนทำการใช้โทษบาปและกลับใจเสียใหม่ ในพระนามของพระเจ้า จึงเป็นข่าวดีแห่งความรัก ความเมตตากรุณาและการให้อภัย เป็นต้นกับบุคคลที่สมรู้ร่วมคิดกันฆ่าพระเยซูเจ้า ซึ่งเป็นพระบุตรแต่พระองค์เดียวขององค์พระผู้เป็นเจ้า นักบุญเปโตรอธิบายว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงยกโทษบาปผิดต่างๆให้เพียงแต่ขอให้เราเปลี่ยนแปลงจิตใจเสียใหม่ องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงต้อนรับเราทุกคนในฐานะที่เป็นบุตรของพระองค์ และเป็นผู้ที่เชื่อว่าพระเยซูเจ้าทรงเป็นพระผู้ไถ่และผู้นำความรอดมาให้ การพูดปราศรัยต่อหน้าสาธารณะชนครั้งแรกของพระสันตะปาปาพระองค์แรกนี้เป็นสารแห่งความรักซึ่งเรียกร้องให้คนบาปได้เปลี่ยนแปลงตนเองอย่างถึงรากถึงโคนทั้งนี้โดยอาศัยพระหรรษทานของพระเจ้าที่จะช่วยดึงดูดจิตใจของเขาให้เข้ามารับความรอดโดยพึ่งพระบารมีขององค์พระเยซูเจ้า

5. สำหรับบทอ่านที่สองในวันนี้มาจากบทจดหมายของนักบุญเปโตรฉบับที่หนึ่งซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความรู้ความเข้าใจและปรีชาญาณฝ่ายจิตที่ท่านได้รับจากพระหรรษทานขององค์พระผู้เป็นเจ้า สำหรับท่านซึ่งเป็นแต่เพียงชาวประมงธรรมดาๆคนหนึ่งแต่กลับมีความเข้าใจที่ลึกซึ้งถึงแผนการไถ่บาปขององค์พระผู้เป็นเจ้า ท่านได้เขียนจดหมายถึงคริสตชนใหม่ที่อาศัยอยู่ทางภาคเหนือและภาคตะวันออกของเอเซียน้อยโดยกระตุ้นให้พวกเขาถือซื่อสัตย์ต่อกระแสเรียกการเป็นคริสตชน และเตือนใจพวกเขาถึงสถานะใหม่ที่พวกเขาได้รับคือ “ท่านทั้งหลายเป็นชาติที่ทรงเลือกสรรไว้ เป็นสมณราชตระกูล เป็นชนชาติศักดิ์สิทธิ์ เป็นประชากรที่เป็นกรรมสิทธิ์พิเศษของพระเจ้า”(1ปต. 2:9)
6. ผู้กลับใจใหม่ได้รับการเตือนว่า ถ้าท่านเรียกพระองค์ผู้ทรงพิพากษาตามการกระทำของแต่ละคนโดยไม่ลำเอียงว่า พระบิดา ก็จงดำเนินชีวิตขณะที่อยู่ต่างแดนนี้ด้วยความเคารพยำเกรงพระองค์ และแต่ละคนได้รับการไถ่บาปให้หลุดพ้นจากวิถีชีวิตไร้ค่าที่สืบเนื่องมาจากบรรพบุรุษ เป็นการไถ่บาปที่ไม่ได้กระทำโดยการให้เงินหรือทองเป็นสินไถ่ แต่ด้วยโลหิตอันประเสริฐของพระเยซูคริสตเจ้าเอง เป็นเลือดของบุคคลที่ไร้มลทินหรือจุดด่างพร้อยใดๆ “แล้วทุกคนก็ได้รับความชอบธรรมเป็นของประทานโดยทางพระหรรษทานอาศัยการไถ่กู้เราให้เป็นอิสระในพระคริสตเยซู”(รม.3:24)

7. ชีวิตของสิ่งสร้างทุกชนิดอยู่ในเลือดของพระองค์ สิ่งสร้างใดที่ไม่มีเลือดย่อมเป็นสิ่งที่ไม่มีชีวิต “พระเยซูเจ้าเสด็จเข้าสู่สถานที่ศักดิ์สิทธิ์อย่างยิ่งเพียงครั้งเดียวตลอดไป สิ่งที่พระองค์ทรงนำไปด้วยมิใช่เลือดแพะและเลือดลูกโค แต่ทรงนำพระโลหิตของพระองค์เข้าไปและทรงกระทำให้การไถ่กู้นิรันดรสำเร็จ”(ฮบ.9:12) พระองค์ทรงมอบเลือดอันประเสริฐทุกหยดและชีวิตของพระองค์ทั้งหมดเพื่อให้เราจะได้รับชีวิตโดยผ่านทางชีวิตของพระองค์นั้น “ในองค์พระคริสตเจ้า เราได้รับการไถ่กู้เดชะพระโลหิต คือได้รับการอภัยบาป นี้คือพระหรรษทานอันอุดมซึ่งพระเจ้าประทานให้แก่เราอย่างล้นเหลือ”(อฟ. 1:7)

8. ก่อนที่พระเจ้าจะทรงสร้างสรรพสิ่งนั้น พระองค์ทรงรู้ล่วงหน้าแล้วว่าบาปจะเข้ามาในโลก และพระองค์ทรงทราบแล้วเช่นกันว่าพระเยซูคริสตเจ้าจะทรงเสด็จมาเพื่อไถ่บาปมวลมนุษยชาติ ความรู้นี้ได้รับการเผยแสดงตั้งแต่แรกอย่างเป็นขั้นเป็นตอน และจะเผยแสดงต่อไปจนสุดสิ้นยุคสมัย ท่านอาจจะถามว่าสิ้นสุดยุคสมัยหมายความว่าอย่างไร ยุคสมัยเป็นตัวแทนของกรอบเวลา ในยุคแรกนั้นเป็นยุคก่อนที่พระเจ้าจะทรงสร้างสิ่งต่างๆ ยุคที่สองคือยุคที่พระเจ้าสรงสร้างทุกสิ่งยกเว้นมนุษย์ ยุคที่สามเป็นในช่วงเวลาของอาดัมถึงอับราฮัม ยุคที่สี่เป็นกรอบเวลาระหว่างชีวิตของอับราฮัมจนถึงสมัยของพระเยซูเจ้า เป็นยุคของพันธสัญญาใหม่ ยุคสุดท้ายก็คือยุคปัจจุบัน เป็นเวลาแห่งพันธสัญญาใหม่และพันธสัญญาสุดท้ายแห่งพระหรรษทานขององค์พระผู้เป็นเจ้า หลังจากยุคนี้แล้วจะเป็นยุคแห่งการเสด็จกลับมาอย่างรุ่งโรจน์ของพระเยซูเจ้าเพื่อทรงพิพากษาเราทั้งผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่และผู้ที่ตายไปก่อนนั้นแล้วด้วย
9. โดยอาศัยองค์พระเยซูเจ้า เราได้เข้ามารับความเชื่อและความหวังในองค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะเรารู้ว่าองค์พระผู้ทรงสรรพานุภาพได้ยกพระเยซูเจ้าขึ้นมาจากความตายและประทานพระสิริรุ่งโรจน์อันสูงสุดให้กับพระองค์ เราเองก็เช่นกัน เราจะได้รับการยกขึ้นมาจากความตายและจะได้รับสิริรุ่งโรจน์ตามการกระทำของเราแต่ละคน

10. บทอ่านจากพระวรสารมาจากนักบุญลูกา(24:13-35) เราได้รับฟังเรื่องของสานุศิษย์สองคนที่เดินทางพร้อมกับพระเยซูเจ้าไปยังหมู่บ้านเอมมาอูส เราได้เห็นว่าระหว่างการเดินทางนั้น ดวงตาของพวกเขาเหมือนถูกปิดบังจนทำให้พวกเขาจำพระองค์ไม่ได้(24:16) แต่หลังจากนั้นในขณะที่พวกเขาได้ร่วมโต๊ะอาหารกับพระองค์ เห็นพระองค์ทรงหยิบขนมปัง ถวายพระพร ทรงปิออกและยื่นให้พวกเขา นี้แหละจึงทำให้พวกเขาจำพระองค์ได้(24:30) แต่พระองค์ทรงแสดงองค์ให้พวกเขาเห็นเพียงสั้นแล้วก็หายไปจากสายตาของเขา(24:31) จากเหตุการณ์นี้เองทำให้เราเข้าใจได้ว่าในขณะที่ในพิธีมิสซาฯ บรรดาสนุศิษย์อย่างลึกซึ้งถึงการเผยแสดงขององค์พระผู้เป็นเจ้า

11. พระพรจากสวรรค์นี้เป็นของขวัญที่พระเจ้าทรงมอบให้กับผู้ที่เข้าร่วมในพิธีมิสซาบูชาขอบพระคุณอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งเป็นการหล่อเลี้ยงชีวิตจิตวิญญาณหรือการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างตัวของเรากับพระเจ้าได้อย่างดีที่สุด

12. พี่น้องที่รักในพระคริสตเจ้า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพแล้วจริงๆ”(ลก.24:34) คำๆนี้มีความหมายยิ่งนัก เมื่อเราได้รับรู้ถึงความหมายของการกลับฟื้นคืนชีพอย่างรุ่งโรจน์ขององค์พระเยซูเจ้าแล้ว เราคงไม่สามารถจะกระทำอย่างอื่นอีกได้ นอกจากจะให้ตัวของเราเข้าใกล้ชิดกับพระหฤทัยของพระเยซูเจ้าให้มากที่สุด ให้ทุกๆวันเป็นวันที่เราได้ใกล้ชิดสนิทกับพระองค์ โดยการภาวนา การอ่านพระคัมภีร์ และเป็นต้นการเข้ารับศีลมหาสนิทอย่างดี ซึ่งเป็นการสัมผัสกับพระองค์โดยตรง

13. พี่น้อง สัปดาห์นี้จากบทอ่านทั้งสาม ทำให้เราต้องทบทวนตนเองอย่างหนัก ถึงศักดิ์ศรีของเราที่ได้รับการไถ่กู้ให้พ้นจากบาปต่างๆด้วยพระโลหิตของพระเยซูเจ้าเอง เราได้กลับกลายเป็นคนศักดิ์สิทธิ์ก็ด้วยโลหิตของพระองค์ เราทุกคนจะต้องประพฤติปฏิบัติตนให้เหมาะสมเพื่อรับการพิพากษาจากพระองค์เมื่อพระองค์จะเสด็จกลับมาอีกครั้งหนึ่ง การเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับวันนั้นก็คือการมีชีวิตที่สนิทสัมพันธ์กับพระเจ้า ไม่เหินห่างจากพระองค์ เป็นต้นจากการเข้าร่วมพิธีมิสซาฯและการรับศีลมหาสนิทอย่างสม่ำเสมอ