ข้อคิดวันอาทิตย์ที่ 10 เมษายน 2011
(อสค. 37:12-4; รม. :8-11; ยน. 11:1-45)
"เราจะกลับคืนชีพและมีชีวิตนิรันดร"

        1. พี่น้องที่เคารพ ข่าวดีของพระเจ้าที่มอบให้แก่เราประจำสัปดาห์นี้ เป็นข่าวดีที่แสดงความจริงของชีวิตในลำดับสูงสุดของคริสตศาสนา คือ “การกลับคืนชีพ และการมีชีวิตนิรันดร”  ตามที่พระเยซูเจ้าตรัสว่า “เราเป็นการกลับคืนชีพและเป็นชีวิต ใครเชื่อในเรา แม้ตายไปแล้วก็จะมีชีวิต ” (ยน.11:25) หมายความว่าเราจะไม่ได้มีชีวิตแค่อยู่ในโลกนี้เท่านั้น โลกนี้ชั่วคราว แต่เราจะมีชีวิตใหม่ เป็นชีวิตอันนิรันดร ถาวร ไม่เปลี่ยนแปลง คือการมีชีวิตอยู่กับพระเจ้าตลอดไป
2. ทุกครั้งที่เราสวดบท “ข้าพเจ้าเชื่อ” ในตอนท้ายๆของบทสวดนี้เราสวดว่า “ข้าพเจ้าเชื่อในพระจิตเจ้า......การกลับคืนชีพของร่างกาย และชีวิตนิรันดร ” นี้เป็นการยืนยันถึงความเชื่อของเราคริสตชนถึงความจริงแท้ของชีวิต เมื่อเราต้องจากโลกนี้ไป ร่างกายของเราตาย จิตวิญญาณของเราจะขึ้นไปสวรรค์เพื่อรอคอยวันสุดท้ายของโลกนี้ และในวันนั้นเราทุกคนจะกลับฟื้นคืนชีพขึ้นมา(อ่าน 1คร. 15:42-55) และรับการพิพากษาครั้งสุดท้าย(มธ. 25:31-46) ให้เราได้พิจารณาคำสอนนี้จากบทพระคัมภีร์ในวันนี้

บทอ่านที่ 1 : เอเสเคียล 37:12-14
12เพราะฉะนั้น จงประกาศพระวาจาและบอกเขาว่า พระยาห์เวห์องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ ดูซิ ประชากรของเราเอ๋ย เรากำลังจะเปิดหลุมฝังศพของท่านและยกท่านขึ้นมาจากหลุมศพ นำท่านกลับมายังแผ่นดินอิสราเอล 13ประชากรของเราเอ๋ย ท่านจะรู้ว่าเราเป็นพระยาห์เวห์ เมื่อเราเปิดหลุมศพของท่าน และยกท่านขึ้นมาจากหลุมศพ 14เราจะให้จิตของเราเข้าไปในท่าน และท่านจะมีชีวิต เราจะให้ท่านตั้งหลักแหล่งในแผ่นดินของท่าน แล้วท่านจะรู้ว่าเราเป็นพระยาห์เวห์ เราได้พูดและได้ทำแล้ว – พระยาห์เวห์ตรัส”

3. บทอ่านที่หนึ่ง ประกาศกเอเสเคียลได้รับพระบัญชาจากพระเจ้าให้ประกาศแก่ชาวอิสราเอลว่า “ท่านจะรู้ว่าเราเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า เมื่อเราเปิดหลุมศพของท่านและยกท่านขึ้นจากหลุมศพ เราจะให้จิตของเราเข้าไปในท่าน และท่านจะมีชีวิต”(อสค.37:13-14)

4. ในคำสัญญาของพระเจ้าที่มีต่อชาวอิสราเอลในตอนนี้นั้น ก่อนอื่นหมด เป็นการเผยแสดงให้กับชาวอิสราเอลที่ต้องตกอยู่ในความทุกข์ในฐานะที่เป็นทาสซึ่งเปรียบเหมือนเป็นคนที่ตายไปแล้ว(ฝังในหลุมแล้ว) แต่พระเจ้าทรงนำพวกเขาออกมาให้พ้นจากการเป็นทาส คือ ให้มีชีวิตใหม่(ยกขึ้นมาจากหลุม) เป็นชีวิตใหม่ที่ครั้งหนึ่งเคยหมดหวัง ท้อแท้ แต่กลับมามีชีวิตอีกครั้งหนึ่ง เป็นชีวิตใหม่ที่จะได้เข้าไปอยู่ในดินแดนแห่งพันธสัญญา(อสค. 37:12)

5. ชีวิตประจำวันของเราก็เช่นกัน บางครั้งเรามีชีวิตเหมือนคนที่ตายแล้ว คือ หมดหวัง ท้อแท้ สิ้นหวัง มีแต่ความทุกข์ ขอให้เราอย่าลืมว่าเรายังมีพระเจ้าอยู่ ให้เราสวดภาวนาขอให้เราเปิดใจต้อนรับพระองค์ ให้พระองค์เสด็จมาประทานชีวิตใหม่ให้กับเรา

6. ข้อสังเกต เมื่อพระเจ้าทรงสัญญาจะประทานจิตใหม่ให้แก่ชาวอิสราเอลนั้น ในขณะนั้นยังไม่ได้อ้างอิงการกลับคืนชีพของวิญญาณทุกดวงในโลกนี้ เป็นเพียงคำสัญญาที่จะให้ชีวิตใหม่แก่ชาวอิสราเอล การเผยแสดงเรื่องความตาย การถูกฝังไว้ และการกลับคืนชีพของพระเยซูคริสตเจ้าได้รับการเปิดเผยในภายหลัง

7. ให้เราพิจารณาต่อไปในบทอ่านที่สอง

บทอ่านที่ 2 :โรม 8:8-11
(8)ผู้ที่ดำเนินชีวิตตามธรรมชาติไม่อาจเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าได้  (9)ส่วนท่านทั้งหลาย ท่านไม่ดำเนินชีวิตตามธรรมชาติ แต่ดำเนินชีวิตตามพระจิตเจ้า เพราะพระจิตของพระเจ้าสถิตอยู่ในตัวท่าน ถ้าผู้ใดไม่มีพระจิตของพระคริสตเจ้าผู้นั้นก็ไม่เป็นของพระองค์      (10)ถ้าพระคริสตเจ้าสถิตอยู่ในท่านแล้ว แม้ร่างกายของท่านตายเพราะบาป จิตของท่านก็มีชีวิตเพราะความชอบธรรม  (11)และถ้าพระจิตของพระผู้ทรงบันดาลให้พระเยซูเจ้ากลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตายนั้นสถิตอยู่ในท่าน พระผู้ทรงบันดาลให้พระคริสตเยซูทรงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตายก็จะทรงบันดาลให้ร่างกายที่ตายได้ของท่านกลับมีชีวิต เดชะพระจิตของพระองค์ ซึ่งสถิตอยู่ในท่านด้วย”

             8. บทอ่านที่ 2 นักบุญเปาโลพูดถึงการดำเนินชีวิต 2 รูปแบบ คือ “การดำเนินชีวิตตามธรรมชาติ” กับ “การดำเนินชีวิตตามพระจิตเจ้า” และได้เน้นถึงสิทธิประโยชน์ของบุคคลที่ดำเนินชีวิตตามพระจิตเจ้า คือ หนึ่งเป็นที่พอพระทัย สองเป็นของพระองค์ สามแม้ทำบาปก็ได้รับได้รับความชอบธรรมกลับคืนมา(รับการอภัยบาป) และสี่ที่สำคัญที่สุดคือ ร่างกายที่ตายได้ของท่านจะกลับมามีชีวิต

9. คุณลักษณะของบุคคลที่ดำเนินชีวิตตามพระจิตของพระเจ้า เป็นบุคคลที่มีจิตผูกติดอยู่กับพระจิตเจ้า จะทำอะไร หรือจะอยู่ที่ไหนจิตก็คิดถึงพระองค์อยู่ตลอดเวลา ซึ่งตรงกันข้ามกับผู้ที่ดำเนินชีวิตตามธรรมชาติ “ผู้ที่ยังดำเนินชีวิตตามธรรมชาติ ย่อมสนใจสิ่งที่เป็นของธรรมชาติ ส่วนผู้ที่ดำเนินชีวิตตามพระจิตเจ้า ก็สนใจสิ่งที่เป็นของพระจิตเจ้า” ผลที่เกิดขึ้นคือ    “ผู้ที่ดำเนินชีวิตตามธรรมชาติไม่อาจเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า” (รม. 8:8)  และสุดท้าย ความต้องการตามธรรมชาติมนุษย์นำไปสู่ความตาย แต่ความปรารถนาของพระจิตเจ้านำไปสู่ชีวิตและสันติ”(รม.8:5-6)

10. คนที่ดำเนินชีวิตตามพระจิตนั้น ชีวิตของเขาจะเป็นอย่างไร คำตอบก็คือ ใครที่มีชีวิตที่ผูกติดกับพระเจ้า คนนั้นจะได้พระพรจากพระบิดาเจ้าสวรรค์และได้รับความศักดิ์สิทธิ์จากองค์พระจิตเจ้า ซึ่งผลที่จะเกิดขึ้นกับชีวิตก็คือมี  “ความรัก ความชื่นชม ความสงบ ความอดทน ความเมตตา ความใจดี ความซื่อสัตย์ ความอ่อนโยน และการรู้จักควบคุมตนเอง”(กท.5:22-23)    

11. ที่กล่าวมาข้างต้นนี้เป็นสิทธิประโยชน์ที่เราจะได้รับในขณะที่เรายังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้ แต่คำสอนและความเชื่อที่สำคัญของเราก็คือ พระจิตของพระเจ้าที่ได้บันดาลชีวิตของพระเยซูเจ้าให้ฟื้นคืนชีพจากความตายเป็นพระจิตเจ้าองค์เดียวกับที่ประทับอยู่กับเราแต่ละคน เมื่อพระจิตทรงชุบชีวิตพระเยซูเจ้าจากความตาย พระจิตนี้แหละที่จะให้ชีวิตใหม่แก่เราได้ “และถ้าพระจิตของพระผู้ทรงบันดาลให้พระเยซูเจ้ากลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตายนั้นสถิตอยู่ในท่าน พระผู้ทรงบันดาลให้พระคริสตเยซูทรงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตายก็จะทรงบันดาลให้ร่างกายที่ตายได้ของท่านกลับมีชีวิต เดชะพระจิตของพระองค์ ซึ่งสถิตอยู่ในท่านด้วย”(กท. 5:11)

พระวรสาร
12. บทพระวรสารในวันนี้เป็นเรื่องที่พระเยซูเจ้าทรงปลุกลาซารัสขึ้นมาจากความตาย พระวาจาที่สำคัญน่าจดจำก็คือ “เราเป็นการกลับคืนชีพและเป็นชีวิต” คำสอนที่เกิดขึ้นในใจของเราก็คือ การมีชีวิตที่ “ผูกติด” กับพระเยซูเจ้าจะทำให้เรากลับคืนชีพและมีชีวิตเช่นเดียวกับพระองค์ นี้เป็นข่าวดี

13. ให้เราพิจารณาอัศจรรย์ที่พระเยซูเจ้าทรงกระทำเพื่อเป็นบทสอนและข้อปฏิบัติในชีวิตประจำวันของเรา

14. มารีย์และน้องสารแจ้งข่าวให้พระเยซูเจ้าทรงทราบว่าพี่ชายของเขาป่วย พวกเขาต้องการให้พระเยซูเจ้าไปรักษาพี่ชายของเขาให้หายจากความเจ็บป่วยนั้นโดยอาศัยพลังอำนาจจากองค์พระผู้เป็นเจ้าที่ผ่านมาทางพระเยซูเจ้า ปฏิกิริยาแรกที่เราได้รับทราบคือพระเยซูเจ้าทรงปฏิเสธคำขอร้องนี้ เช่นเดียวกับอัศจรรย์ที่เมืองคานา(ยน.2:4)

15. คำตอบของพระเยซูที่ให้กับสองพี่น้องนี้ก็คือ “โรคนี้มิได้เกิดขึ้นเพื่อความตาย แต่เพื่อพระสิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้า เพราะโรคนี้ พระบุตรของพระเจ้าจะได้รับพระสิริรุ่งโรจน์”(ยน.11:4) จากนั้นรอจนถึงสองวันพระองค์จึงเสด็จไปหาลาซารัส ที่พระองค์รอเช่นนี้ไม่ใช่ว่าพระองค์ไม่ทรงรักเขา แต่ทั้งนี้เพื่อให้อัศจรรย์นี้เป็นการแสดงพระสิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้า พูดง่ายๆว่าพระองค์จะทรงกระทำอัศจรรย์ช่วยเหลือใครเมื่อไรก็ได้ การรั้งรอเหมือนพระเจ้าไม่ทรงตามใจเรา มนุษย์เราเวลาวอนขออะไรจากพระเจ้ามักจะเอาใจของตนเองเป็นหลัก หรือเอาแต่ใจตนเอง ไม่คิดถึงใจของพระเจ้า แต่อย่างไรก็ตามการช่วยเหลือของพระเจ้ามาทันเวลาเสมอ ไม่ช้าและไม่สาย ดังนั้นเมื่อเราวอนขออะไรจากพระเจ้า เราต้องวอนขอให้เป็นไปตามพระประสงค์ของพระเจ้า ไม่ใช่ตามน้ำใจของเราเอง

16. คำพูดของพระเยซูเจ้าที่น่าคิดอีกประโยคหนึ่งก็คือ “วันหนึ่งมีสิบสองชั่วโมงมิใช่หรือ ถ้าใครเดินเวลากลางวันก็ไม่สะดุด เพราะเห็นแสงสว่างของโลกนี้ แต่ถ้าใครเดินเวลากลางคืนก็สะดุด เพราะเขาไม่มีแสงสว่างเพื่อนำทาง”(ยน.11:9-10) คำว่ากลางวันและกลางคืนเป็นคำสัญลักษณ์ที่หมายถึงความดีและความชั่ว ซึ่งพระเยซูเจ้าเองทรงเป็นแสงสว่างนั้น ชีวิตของเราคริสตชนจึงต้องดำเนินตามคำสั่งสอนและแบบฉบับของพระเยซูเจ้า

17. พระเยซูเจ้าทรงทำให้ความเชื่อของบรรดาอัครสาวกเข้มแข็งขึ้น โดยที่แรกพระองค์บอกพวกเขาว่า “ลาซารัสหลับอยู่ เรากำลังจะไปปลุกให้ตื่น” บรรดาศิษย์จึงคิดว่า “ถ้าเขาหลับ เขาก็จะหายจากโรคได้เอง” ที่สุดพระเยซูเจ้าตรัสอย่างชัดเจนว่าที่พูดว่าหลับนั้นหมายถึง “ตายแล้ว” และเผยแสดงว่าที่พระองค์ทรงกระทำเช่นเพื่อให้พวกเขาได้มีความเชื่อ - ข้อคิดที่ได้รับก็คือ อะไรที่ว่ายากหรือคิดว่าเป็นไปไม่ได้ แต่สำหรับพระเจ้า ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปได้ทั้งนั้น พระองค์สามารถทำให้สิ่งที่ยากกลับกลายเป็นสิ่งที่ง่าย ขอให้เราวางใจในพระองค์เถิด

18. มีเหตุการณ์เล็กๆเกิดขึ้นก่อนที่พระเยซูเจ้าจะเสด็จไปถึงบ้านของลาซารัส คือ คำพูดของโทมัสที่ว่า “พวกเราจงไปตายพร้อมกับพระองค์เถิด”(ยน.11:16) โทมัสและบรรดาสาวกรู้ว่าเมืองที่พระเยซูเจ้าจะเสด็จเข้าไปนั้นไม่ชอบพระองค์ พวกเขาเคยคิดจะเอาหินขว้างพระองค์(ยน.11:8) เขาพร้อมที่จะร่วมทางไปกับพระองค์ ในขณะนั้นโทมัสและสานุศิษย์คิดถึงเฉพาะเหตุการณ์เฉพาะหน้า พวกเขายังไม่ทราบเรื่องที่ว่าเรามนุษย์ทุกคนที่ตายพร้อมกับพระเยซูคริสตเจ้าจะได้รับการกลับคืนชีพพร้อมกับพระองค์ นี้เป็นสิทธิประโยชน์ของเราคริสตชนทุกคน และข้อคิดสำหรับเราก็คือ เรายินดีที่จะร่วมเป็นร่วมตายกับพระเยซูเจ้าหรือไม่

19. เมื่อพระเยซูเจ้ามาถึงบ้านของลาซารัส มารธาพูดกับพระองค์ว่า “ถ้าพระองค์อยู่ที่นี้ พี่ชายของดิฉันคงไม่ตาย แต่บัดนี้ ดิฉันรู้ดีว่า สิ่งใดที่พระองค์ทรงวอนขอจากพระเจ้า พระองค์จะประทานให้”(ยน.11:21-22) นี้เป็นการแสดงถึงความเชื่อของมารธาที่มีต่อพระเยซูเจ้า ความเชื่อนี้แหละที่พระเยซูเจ้าทรงปรารถนาให้เราทุกคนมี “ความเชื่อจะช่วยให้เร้ารอด”

20. นอกจากความเชื่อของมารธา มีอีกเหตุการณ์หนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงความเมตตาสงสารของพระองค์ในฐานะมนุษย์ คือ เมื่อพระองค์ทรงเห็นมารีย์และชาวยิวร้องไห้เพราะความตายของลาซารัส พระองค์ทรงสะเทือนพระทัยและเศร้าโศกมาก และ “พระองค์ทรงกันแสง”(ยน.11:35) นี้แหละคือพระเจ้าของเรา ผู้ทรงรับรู้ถึงความรู้สึกนึกคิดของเรา ทรงรับรู้ทุกข์สุขของเรา เราพึ่งพาอาศัยพระองค์ได้โดยไม่ต้องสงสัยเลย

21. ที่สุดพระเยซูเจ้าทรงทำอัศจรรย์ยิ่งใหญ่โดยทรงเปล่งเสียงดังว่า “ลาซารัส จงออกมาเถิด” แล้วผู้ตายก็ออกมา มีผ้าพันมือพันเท้า และผ้าคลุมใบหน้าด้วย พระเยซูเจ้าตรัสว่า “จงเอาผ้าออกและให้เขาหายเถิด”

22. คำพูดสำคัญของพระเยซูเจ้าในการทำอัศจรรย์ครั้งนี้ก็คือ “ถ้าท่านมีความเชื่อ ท่านจะเห็นพระสิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้า”(ยน.11:40) ดังนั้นสิ่งพระเจ้าทรงเรียกร้องจากท่านก็คือ “ความเชื่อ” ความเชื่อคือการยึดติด หรือเอาชีวิตของเราผูกติดกับชีวิตของพระองค์นั้นเอง ส่วนเป้าหมายในการทำอัศจรรย์ต่างๆของพระองค์นั้นก็กระทำเพื่อพระสิริรุ่โรจน์ของพระเจ้า

23. บทสรุปของข่าวดีจากพระวาจาประจำสัปดาห์นี้ก็คือ บุคคลที่ดำเนินชีวิตด้วยพระจิตเจ้า มีชีวิตที่ผูกมัดอยู่กับพระเจ้า จะได้รับการกลับคืนชีพ มีชีวิตนิรันดรร่วมสุขกับพระเจ้าในสรวงสวรรค์ และในขณะที่อยู่ในโลกนี้ ขอให้เราดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อศรัทธาในพระองค์ ดำเนินชีวิตในแสงสว่าง เป็นต้นให้พ้นจากบาปซึ่งทำให้ชีวิตฝ่ายจิตของเราต้องตาย แต่อาศัยพระจิตเจ้า พระองค์จะทรงชำระเราให้กลับมาเป็นคนชอบธรรมและคืนชีวิตฝ่ายจิตของเราด้วยศีลอภัยบาป