ข้อคิดวันอาทิตย์ที่ 13 มีนาคม 2011
(ปฐมกาล. 2:7-9; 16-18, 3:1-7; โรม. 5:12-19; มัทธิว. 4:1-11)
"เจ้าซาตาน จงไปให้พ้น"
1. วันนี้เราฉลองวันพระเจ้าซึ่งเป็นวันอาทิตย์ที่ 1 ในเทศกาลมหาพรต มหาพรตเป็นช่วงเวลาพิเศษพระศาสนจักรกำหนดขึ้นเพื่อให้เราคริสชนได้ระลึกถึงการที่พระเยซูเจ้าทรงใช้เวลา 40 วัน 40 คืนในที่ทุรกันดาร และทำให้ตัวของเราแต่ละคนให้เป็นคริสตชนที่ศักดิ์สิทธิ์ขึ้น
2. เทศกาลมหาพรตเป็นช่วงเวลาที่เราจะต้องทำการจำศีลอดอาหารเป็นพิเศษเพื่อจะได้เสริมสร้างพละกำลังฝ่ายจิต หรือทำจิตใจให้เข้มแข็งเพื่อจะได้สามารถต่อสู้กับการประจญของปีศาจ มหาพรตจึงเป็นเวลาที่เราต้องกล่าวแก่ตนเองว่า “เจ้าซาตาน จงไปให้พ้น” (มธ.4:10)
3. มหาพรตเป็นเวลาที่เราแต่ละคนในฐานะที่เป็นบุตรของพระเจ้า จะต้องถามตนเองว่า ชีวิตของเราจะเดินหน้าไปทางใด เรามีความหวังแน่วแน่ในการที่จะได้รับชีวิตนิรันดร์หรือไม่ ชีวิตทางศาสนาของเราได้มีความเจริญเติบโตหรือก้าวหน้าขึ้นบ้างไหม เราได้บำรุงจิตใจของเราด้วยการภาวนา อ่านพระคัมภีร์และรำพึงไตร่ตรองบ้างไหม และเข้ารับศีลศักดิ์สิทธิ์หรือแก้บาปรับศีลฯบ่อยไหม...เราได้ควบคุมพยศชั่วหรือนิสัยที่ไม่ดีในตัวของเราบ้างไหม...เราเพลินเพลินกับเรื่องการกินการดื่มที่เกินขนาดหรือความสนุกสนานที่ผิดๆหรือไม่...เราหยิ่งยโส การอิจฉา การอวดโม้ การคิดว่าตนเองดีกว่าผู้อื่น...หรือไม่
4. ดังนั้น 40 วัน 40 คืนจึงเป็นช่วงเวลาแห่งการยกระดับจิตใจของเราให้สูงขึ้นอย่างแท้จริง กิจการที่เราจะต้องกระทำอย่างเข้มข้นมากขึ้นในช่วงเวลานี้ คือ การจำศีลอดอาหาร การใช้โทษบาป การทำกิจการบุญ และการภาวนา
5. บทอ่านที่หนึ่งที่เราได้รับฟังในวันนี้ เตือนใจเราให้คิดถึงเรื่องของการสร้างบิดามารดาคู่แรกของมนุษย์ และสาเหตุที่ทำให้ “บาปกำเนิด” ให้เข้ามาสู่โลก
6. เราได้เห็นความรักของพระเจ้า และการตอบสนองของมนุษย์ เราได้เรียนรู้ถึงการทำงานของ “ปีศาจ” ที่มาล่อลวงมนุษย์ให้เอาใจออกห่างจากพระเจ้า เรียนรู้ถึงผลร้ายของบาปกำเนิด
7. “ปีศาจ” คือใคร พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ท่านมาจากปีศาจซึ่งเป็นบิดาของท่าน ท่านต้องการทำตามความปรารถนาของบิดาของท่าน บิดาของท่านเป็นฆาตกรมาตั้งแต่แรกเริ่ม เขาไม่ยืนหยัดอยู่ในความจริง เพราะความจริงไม่อยู่ในเขา เมื่อเขาพูดเท็จ เขาก็พูดตามธรรมชาติของเขา เพราะเขาเป็นผู้พูดเท็จ และเป็นบิดาของการพูดเท็จ”(ยน.8:44) นี้แหละคือตังตนของปีศาจ มันคือ “เจ้านายแห่งโลก” เป็น “เจ้านายแห่งความตาย”
8. บทอ่านที่สองมาจากบทจดหมายของนักบุญเปาโลถึงชาวโรม บทอ่านนี้สอนให้เราเข้าใจถึงเรื่องธรรมชาติของบาปและพระเมตตาของพระเจ้า เปาโลเริ่มคำสอนของท่านโดยการพูดถึงสภาพของมนุษย์ก่อนที่พระเยซูเจ้าจะเสด็จมากับหลังจากการที่พระองค์เสด็จมา ท่านเปรียบเทียบผลของการกระทำของอาดัมกับชีวิตของพระเยซูคริสตเจ้า อาดัมนำ “บาป” มาสู่มนุษย์ชาติ แต่พระเยซูนำ “บุญ” ซึ่งเป็น “ความรอดพ้น” มาสู่มวลมนุษย์ อาดัมนำ “ความตาย” ส่วนพระเยซูเจ้าทรง “นำชีวิต” มาให้เราทุกคน บาปเข้ามาในโลกด้วยคนเพียงคนเดียว และความรอดพ้นก็มาจากคนเพียงคนเดียวคือพระเยซูเจ้า พระเยซูเจ้าจึงทรงอาดัมใหม่สำหรับมนุษย์ชาติ เป็นศีรษะของมวลมนุษย์ชาติ เป็นบุคคลที่จะมานำพาเราให้ได้รับพระพรที่ได้สูญเสียไปเพราะการกระทำของอาดัมในครั้งกระโน้น
9. “บาปเข้ามาในโลกเพราะมนุษย์คนเดียว และความตายเข้ามาเพราะบาปฉันใด ความตายก็แพร่กระจายไปถึงมนุษย์ทุกคนเพราะทุกคนทำบาปฉันนั้น” (รม.5:12) สังคายนาเตรนได้อ้างถึงประโยคที่ว่า “ความตายก็แพร่กระจายไปถึงมนุษย์ทุกคน” มาเพื่อยืนยันว่าการโปรดศีลล้างบาปให้แก่เด็กๆเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับความรอดของเขา แม้ว่าเขาจะไม่ยังสามารถใช้เหตุผลหรือยังแยกแยะผิดถูกได้ ทั้งนี้เนื่องมาจากผลของบาปกำเนิดนั้นเอง แต่สำหรับผู้ใหญ่ที่รู้จักใช้เหตุผลแล้วนั้น ตามคำสอนของเปาโล ความตายแพร่กระจายไปถึงมนุษย์ทุกคน เพราะว่าทุกคนมีบาปและยินยอมที่จะกระทำบาป
10. เปาโลได้สอนต่อว่า “ก่อนที่จะมีธรรมบัญญัติ บาปมีอยู่ในโลกแล้ว แต่เมื่อยังไม่มีธรรมบัญญัติก็ไม่นับว่าเป็นบาป” ประโยคนี้หมายความว่าบาปเข้ามาในโลกตั้งแต่สมัยของอาดัมจนกระทั่งถึงวันที่พระเจ้าประทานพระบัญญัติ 10 ประการให้แก่มนุษย์โดยผ่านทางโมเสส บาปที่ว่านี้ก็คือ “บาปกำเนิด” ที่เราได้รับตกทอดมาจากอาดัมและเอวานั้นเอง
11. การกระทำผิดของอาดัมนำมาซึ่งความตายต่อมนุษย์ชาติทั้งมวล แต่พระพรแห่งพระหรรษทานหรือความช่วยเหลือจากพระเจ้าเป็นของขวัญที่พระเจ้าประทานให้แก่มวลมนุษย์อย่างไม่คิดมูลค่าใดๆ พระเมตตาของพระเจ้ายิ่งใหญ่เกินความผิดบาปใดๆ “แต่เมื่อมนุษย์ทำบาปมากแล้ว ของประทานที่ให้เปล่านั้นกลับนำความชอบธรรมมาให้” “ด้วยเหตุนี้ การล่วงละเมิดของมนุษย์คนเดียวเป็นเหตุให้มนุษย์ทุกคนถูกลงโทษฉันใด กิจการชอบธรรมของมนุษย์คนเดียวก็นำความชอบธรรมที่บันดาลชีวิตมาให้มนุษย์ทุกคนฉันนั้น”(รม.5:19)
12. “ความตายมาจากมนุษย์คนหนึ่งฉันใด การกลับคืนชีพของบรรดาผู้ตายก็มาจากมนุษย์คนหนึ่งฉันนั้น มนุษย์ทุกคนตายเพราะอาดัมฉันใด มนุษย์ทุกคนก็จะกลับมีชีวิตเพราะพระคริสตเจ้าฉันนั้น”(1คร.15:21-22)
13. นี้แหละคือเหตุผลที่ว่าทำไมเราจึงต้องเข้ามาพึ่งพระเยซู
14. วันนี้เราได้รับฟังพระวรสารเรื่องที่พระเยซูเจ้าทรงถูกทดลองในขณะที่ไปจำศีลภาวนาในถิ่นทุรกันดาร หลังจาการทดลองต่างๆแล้ว ปีศาจก็ไม่อาจเอาชนะพระเยซูเจ้า ในตอนท้ายของพระวรสารบอกเราว่า “ปีศาจได้ละพระองค์ไป” เรื่องนี้ทำให้เราทราบแน่ชัดว่า ปีศาจยังคงทำงานของมันอย่างต่อเนื่อง อาดัมก็ถูกปีศาจ(งู)มาล่อลวง แล้วอาดัมก็แพ้การประจญนั้น พระเยซูเจ้าซื่งเป็นอาดัมใหม่ก็ถูกปีศาจล่อลวงเหมือนกัน แต่พระเยซูเจ้าทรงเอาชนะได้
15. เราก็เช่นกัน ระหว่างเทศกาลมหาพรตนี้ เราจะต้องถูกมารประจญต่างๆนาๆ ดังนั้นเราจึงต้องภาวนามากขึ้นเพื่อจะได้ไม่พ่ายแพ้ต่อการประจญ
16. การประจญทั้งสามสามารถสรุปได้ว่า ปีศาจใช้ “อำนาจ” เป็นตัวล่อมนุษย์ให้ทำบาป การประจญครั้งแรกมันเรียกร้องให้ใช้อำนาจเพื่อจะได้ตอบสนองความต้องการด้านวัตถุสิ่งของ ครั้งที่สอง มันต้องการให้พระเยซูเจ้าใช้อำนาจเพื่อให้คนเห็นเครื่องหมายอัศจรรย์เพื่อเรียกร้องให้คนมาเชื่อ และครั้งที่สามมันต้องการให้พระเยซูใช้อำนาจเพื่อจัดตั้งพระอาณาจักรของพระเจ้าตามประสาโลก คำตอบของพระเยซูเจ้าทำให้เราเข้าใจได้ว่า ไม่ใช่ “อำนาจ” ที่ทำให้คนรอดไปสวรรค์แต่เป็น “ความรัก” ที่มาจากการทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า
17. อาทิตย์นี้เราเข้าสู่เทศกาลมหาพรตแล้ว ดังนั้นขอให้เราใช้เวลา 40 วัน 40 คืนเพื่อตรวจสอบความเชื่อและความคาดหวังของเรา เราต้องการให้พระเจ้าประทานสิ่งต่างๆเพื่อสนองตอบต่อความต้องการฝ่ายร่างกายของเราเท่านั้นโดยเมินเฉยต่อความจำเป็นทางด้านจิตวิญญาณหรือไม่ เมื่อเราภาวนา เราวอนขอสิ่งต่างๆโดยไม่ได้คิดถึงความรอดพ้นฝ่ายวิญญาณหรือเปล่า หรือไม่ได้คิดถึงพระประสงค์ของพระเจ้าในชีวิตของเราเลย เพราะเรามักจะคิดถึงแต่ใจของเราเอง
18. สัปดาห์นี้ ขอให้เราทบทวนชีวิตฝ่ายจิตของเราให้เข้มข้นขึ้น และวอนขอต่อพระจิตเจ้าได้ทรงนำทางชีวิตของเราให้ดำเนินไปอย่างถูกต้อง ไม่หลงทิศหลงทางไปจากเมืองสวรรค์ และเมื่อเราถูกปีศาจประจญให้ประพฤติปฏิบัติในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับคำสอนของพระเจ้าและพระศาสนจักร ขอให้เราได้ส่งเสียงตะโกนขับไล่ดังๆว่า “เจ้าซาตาน จงไปให้พ้น”(มธ.4:10)
พระคัมภีร์
รม 5:12-21 อาดัมและพระเยซูคริสตเจ้า
(12)บาปเข้ามาในโลกเพราะมนุษย์คนเดียว และความตายเข้ามาเพราะบาปฉันใด ความตายก็แพร่กระจายไปถึงมนุษย์ทุกคนเพราะทุกคนทำบาปฉันนั้น (13)ก่อนที่จะมีธรรมบัญญัติ บาปมีอยู่ในโลกแล้ว แต่เมื่อยังไม่มีธรรมบัญญัติก็ไม่นับว่าเป็นบาป (14)ถึงกระนั้น ความตายก็มีอานุภาพเหนือมนุษยชาติตั้งแต่อาดัมมาจนถึงโมเสส มีอานุภาพเหนือแม้คนที่ไม่ได้ทำบาปเหมือนกับอาดัมที่ได้ล่วงละเมิด อาดัมเป็นรูปแบบล่วงหน้าของผู้ที่จะมาในภายหลัง (15)แต่การล่วงละเมิดต่างกับของประทานให้เปล่าถ้ามวลมนุษย์ ต้องตายเพราะการล่วงละเมิดของมนุษย์คนเดียว พระหรรษทานของพระเจ้าและของประทานโดยทางพระหรรษทานจากมนุษย์คนเดียว คือพระเยซูคริสตเจ้า ก็ยิ่งสมบูรณ์ขึ้นสำหรับมวลมนุษย์ (16)ของประทานต่างกับการล่วงละเมิดของมนุษย์คนเดียวที่ทำบาป บาปของมนุษย์คนเดียวเป็นเหตุให้มนุษยชาติถูกพระเจ้าลงโทษ แต่เมื่อมนุษย์ทำบาปมากแล้ว ของประทานที่ให้เปล่านั้นกลับนำความชอบธรรมมาให้ (17)ถ้ามนุษย์คนเดียวล่วงละเมิด ทำให้ความตายมีอำนาจปกครองเหนือมนุษยชาติเพราะการล่วงละเมิดของมนุษย์คนเดียวนั้น เดชะพระเยซูคริสตเจ้าพระองค์เดียว ทุกคนที่ได้รับพระหรรษทานอย่างสมบูรณ์และความชอบธรรมเป็นของประทาน ก็ยิ่งจะมีชีวิตและมีอำนาจปกครองมากขึ้น (18)ด้วยเหตุนี้ การล่วงละเมิดของมนุษย์คนเดียวเป็นเหตุให้มนุษย์ทุกคนถูกลงโทษฉันใด กิจการชอบธรรมของมนุษย์คนเดียวก็นำความชอบธรรมที่บันดาลชีวิตมาให้มนุษย์ทุกคนฉันนั้น (19)มวลมนุษย์กลายเป็นคนบาปเพราะความไม่เชื่อฟังของมนุษย์คนเดียวฉันใด มวลมนุษย์ก็จะเป็นผู้ชอบธรรมเพราะความเชื่อฟังของมนุษย์คนเดียวฉันนั้น
พระวรสาร
มธ 4:1-11 พระเยซูเจ้าทรงถูกทดลองในถิ่นทุรกันดาร
(1)เวลานั้น พระจิตเจ้าทรงนำพระเยซูเจ้าไปในถิ่นทุรกันดาร เพื่อให้ปีศาจมาผจญพระองค์ (2)เมื่อทรงอดอาหารสี่สิบวันสี่สิบคืนแล้ว ทรงหิว (3)ปีศาจผู้ผจญจึงเข้ามาใกล้ ทูลว่า “ถ้าท่านเป็นบุตรพระเจ้า จงสั่งก้อนหินเหล่านี้ให้กลายเป็นขนมปังเถิด” (4)แต่พระองค์ตรัสตอบว่า “มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า มนุษย์มิได้ดำรงชีวิตด้วยอาหารเท่านั้น แต่ดำรงชีวิตด้วยพระวาจาทุกคำที่ออกจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า” (5)ต่อจากนั้น ปีศาจอุ้มพระองค์ไปยังนครศักดิ์สิทธิ์ วางพระองค์ลงที่ยอดพระวิหาร แล้วทูลว่า (6)”ถ้าท่านเป็นบุตรพระเจ้า จงกระโดดลงไปเบื้องล่างเถิด เพราะมีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า พระเจ้าทรงสั่งทูตสวรรค์เกี่ยวกับท่าน ให้คอยพยุงท่านไว้
มิให้เท้ากระทบหิน” (7)พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “ในพระคัมภีร์ยังมีเขียนไว้ด้วยว่า อย่าทดลององค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านเลย” (8)อีกครั้งหนึ่งปีศาจนำพระองค์ไปบนยอดเขาสูงมาก ชี้ให้พระองค์ทอด พระเนตรอาณาจักรรุ่งเรืองต่าง ๆ ของโลก (9)แล้วทูลว่า “เราจะให้ทุกสิ่งนี้แก่ท่าน ถ้าท่านกราบนมัสการเรา” (10)พระเยซูเจ้าจึงตรัสว่า “เจ้าซาตาน จงไปให้พ้น ยังมีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า จงกราบนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน และรับใช้พระองค์แต่ผู้เดียวเท่านั้น” (11)ปีศาจจึงได้ละพระองค์ไป แล้วทูตสวรรค์ก็เข้ามาปรนนิบัติรับใช้พระองค์