ข้อคิดวันอาทิตย์ที่ 6 กุมภาพันธ์ 2011
(อสย.58:7-10; 1คร 2:1-5; มธ.5:13-16)
"แสงสว่างของท่านต้องส่องสว่างต่อหน้ามนุษย์"

“ในทำนองเดียวกัน แสงสว่างของท่านต้องส่องสว่างต่อหน้ามนุษย์
เพื่อคนทั้งหลายจะได้เห็นกิจการดีชองท่าน และสรรเสริญพระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์”
(มธ. 5:16)
1. ขอต้อนรับพี่น้องที่รักในพระคริสตเจ้าทุกคนในพิธีมิสซาบูชาขอบพระคุณพระเจ้าในวันนี้ การมาวัดของท่านเป็นแบบอย่างที่เป็นประจักษ์พยานให้คนอื่นๆให้เห็นถึงแสงสว่างในตัวของท่าน
2. บทอ่านที่ 1 จากหนังสือประกาศกอิสยาห์ช่วยเสริมบทอ่านจากพระวรสารให้ชัดเจนยิ่งขึ้น และสาระสำคัญจากบทอ่านนี้เป็น “คำสั่ง” ให้เราต้องส่องสว่างแก่ผู้อื่น องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบอกเราโดยผ่านทางประกาศอิสยาห์ (800 ปีก่อนศริสตศักราช) ว่าการกระทำต่างๆของเราจะเป็นการตัดสินถึงชีวิตของเราว่าจะรุ่งโรจน์หรือมืดมน
3. ในอดีต องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับประชากรที่ได้รับการเลือกสรรของพระองค์โดยผ่านทางประกาศกอิสยาห์ว่า พระองค์จะทรงพวกเขาให้เป็นแสงสว่างของโลกเพื่อช่วยประชากรของพระองค์และคนต่างๆชาติต่างศาสนาให้ได้รับความรอด “เราจะมอบให้เจ้าเป็นความสว่างแก่บรรดาประชาชาติ เพื่อความรอดของเราจะถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก” (อสย.49:6)

4. พระวาจาของพระเจ้าจากพระวรสารของนักบุญยอห์นเผยแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าแสงสว่างที่แท้นั้นก็คือ “องค์พระเยซูเจ้า” เอง ”เราเป็นแสงสว่างส่องโลก”(ยน.8:12) และในพระวรสารของนักบุญลูกาได้ยืนยันให้เราแน่ใจอีกว่าเป็นเช่นนี้จริง “พระจิตของพระเจ้าทรงอยู่เหนือข้าพเจ้า เพราะพระองค์ทรงเจิมข้าพเจ้าไว้ให้ประกาศข่าวดีแก่คนยากจน ทรงส่งข้าพเจ้าไปประกาศการปลดปล่อยแก่ผู้ถูกจองจำ คืนสายตาให้แก่คนตาบอด ปลดปล่อยผู้ถูกกดขี่ให้เป็นอิสระ ประกาศปีแห่งความโปรดปรานจากพระเจ้า ” (ลูกา 4:18-19) และทรงสัญญาว่า ”ผู้ที่ตามเรามา จะไม่เดินในความมืดแต่จะมีแสงสว่างส่องชีวิต” (ยน 8:12)

5. เวลาแห่งความสำเร็จตามที่ประกาศกอิสยาห์ได้ทำนายไว้ถึงการแสดงมาของพระผู้ไถ่นั้นขึ้นอยู่กับพระพรขององค์พระผู้เป็นเจ้าที่ทรงมีต่อประชากรของพระองค์หรือจะทรงถอดถอนพระพรนั้นจากพวกเขาไป ประชาชนได้รับการร้องขอให้ทำการอดอาหารเพื่อเป็นเครื่องหมายถึงการให้ความยุติธรรมต่อกันและกันที่พวกเขาได้ละเลยไป โดยการอดอาหารนี้จะทำให้พวกเขาได้รับอิสระ(อสย 58:6)

6. เรื่องที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ประชาชนได้รับการร้องขอให้แบ่งปันขนมปัง(อาหาร)ให้กับคนที่หิวโหย ให้ที่พักพิงแก่คนที่ไร้ที่อยู่อาศัย เสื้อผ้ากับคนที่ไม่ และให้ช่วยเหลือญาติพี่น้องที่มีความยากลำบาก(อสย.58:7)

7. โดยอาศัยกิจการดีต่างๆเหล่านี้ แสงสว่างของประชากรจะฉายแสงเหนือความมืดเหมือนดวงอาทิตย์ขึ้นในยามเช้า ความเศร้าจะกลับกลายเป็นความชื่นชมยินดี คนที่กดขี่ข่มเหงผู้อื่นจะได้ถอนตัวออกไป แล้วนั้นพระสิริรุ่งโรจน์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะเป็นเหมือนผู้ปกป้องคุ้มครองให้พ้นจากภยันตรายที่จะเข้ามาโดยที่เราไม่ได้คาดคิด(เทียบ อสย.58:8)

8. หลังจากที่พวกเขาได้กระทำกิจการที่ดีงามต่างๆเหล่านี้แล้ว เมื่อถึงเวลาที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเรียกไปหา พระองค์จะทรงบอกพวกเขาว่า “เราอยู่นี่..เชิญมาอยู่ด้วยกันเถิด” แต่ก่อนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเขาจะต้องกำจัดสิ่งเลวร้ายในตัวและรอบๆตัวของพวกเขาออกไปเสียก่อน เช่น การชี้หน้าด่าว่าผู้อื่น การนินทาว่าร้าย การใส่ความเท็จ การพูดเพื่อให้ผู้อื่นเสียหาย และการกระทำอื่นๆที่ทำให้พระเจ้าต้องเศร้าเสียใจ(เทียบ อสย. 58:9)

9. เมื่อพวกเขาได้แบ่งปันอาหารให้กับผู้ที่หิวโหยและคืนความยุติธรรมให้กับผู้ที่ถูกกดขี่ แล้วนั้นแสงสว่างของพวกเขาจะส่องสว่างในความมืดและความมืดมนของชีวิตจะกลับกาลายเป็นเหมือนช่วงเวลาเที่ยงวัน( เทียบ อสย 58:10) กลางคืนจะกลับกลายเป็นกลางวัน ที่ใดมีความสิ้นหวัง ที่นั้นก็จะมีความหวัง ที่ใดมีความตาย ที่นั้นก็จะกลับมีชีวิต ที่ใดมีความเศร้าโศกที่นั้นก็จะมีความชื่นชมยินดี

10. การอดอาหารหมายความว่าอะไร คนยากจนจะอดอาหารได้อย่างไรเมื่อเขาเองไม่มีอะไรจะกิน การอดอาหารเป็นข้อเรียกร้องสำหรับทุกคน อดอาหารทำให้เกิดความหิว ความหิวทำให้เราเข้าใจถึงหัวอกของคนที่ไม่มีอะไรจะกิน อดอาหารจึงไม่ใช่เป็นการเก็บอาหาร แต่หมายถึงการแบ่งปัน การเห็นอกเห็นใจ การร่วมทุกข์ร่วมสุขกับคนที่มีความยากลำบากกว่าตนเอง ความหิวกระหายไม่ได้หมายถึงอาหารการกินเท่านั้น แน่นอนเราต้องช่วยเหลือกันในเรื่องของปากท้องก่อน แต่สิ่งที่เหนือกว่าอาหาร และทุกคนจะต้องหิวก็คือความหิวกระหายฝ่ายจิตใจ สิ่งนี้ไม่ว่าคนรวยหรือคนจนต่างมีด้วยกันทั้งนั้น ทุกคนจะต้องคิดถึงคำสัญญาเรื่องชีวิตนิรันดรไว้

11. พระวรสารในวันนี้สอนให้เราประพฤติตนเป็นเช่น 2 สิ่งนี้ คือ เป็นดุจเกลือ และแสงสว่าง เรื่องแรก “ถ้าเกลือจืดไปแล้ว จะเอาอะไรมาทำให้เค็มอีกเล่า เกลือนั้นย่อมไม่มีประโยชน์อะไร นอกจากจะถูกทิ้งให้คนเหยียบย้ำ”(มธ.5:13) พูดอีกความหมายหนึ่ง ถ้าเราหยุดกระทำความดี จิตวิญญาณของเราก็ไร้ค่าต่อหน้าพระเจ้า ตัวของเราไม่มีคุณค่าเพียงพอที่จะได้ชื่อว่าเป็นบุตรของพระเจ้า เป็นพี่เป็นน้องในพระคริสตเจ้า เราไม่มีค่าเพียงพอที่จะเข้ารับมรดกสวรรค์ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้สำหรับเราทุกคนที่เชื่อในพระองค์

12. ส่วนเรื่องที่สอง พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ท่านทั้งหลายเป็นแสงสว่างส่องโลก เมืองที่ตั้งอยู่บนภูเขาจะไม่ถูกปิดบัง ไม่มีใครจุดตะเกียงแล้วเอามาวางไว้ใต้ถังแต่ย่อมตั้งไว้บนเชิงตะเกียง จะได้ส่งสว่างแก่ทุกคนในบ้าน ในทำนองเดียวกัน แสงสว่างของท่านต้องส่องแสงต่อหน้ามนุษย์ เพื่อคนทั้งหลายจะได้เห็นกิจการดีของท่าน และสรรเสริญพระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์”(มธ.5:14-16)

13. ในชีวิตของเรา มี 2 ทางเลือก คือ ในการเป็นเหมือนพระคริสตเจ้า เราจะทำตามหรือไม่ยอมทำตามคำสั่งสอนที่เราได้รับ เราสามารถเลือกได้ทั้งสองทาง แต่เราไม่สามารถรับใช้นายสองคนในเวลาเดียวกัน เราไม่สามารถได้รับโลกและสวรรค์ ชีวิตนิรันดร์เป็นผลจากการเลือกของเราในวันนี้ ไม่มีใครรู้ว่าพระเจ้าจะทรงเรียกเราไปปรากฏตัวต่อหน้าพระองค์ในวันใด จงเตรียมให้พร้อมไว้

14. พี่น้องที่รักในพระคริสตเจ้า เมื่อเราเข้ารับศีลกำลัง พระสังฆราชได้ส่งเราออกไปประกาศและป้องกันความเชื่อ นั้นก็คือการเรียกให้เราออกไปเป็นแสงสว่างส่องโลก เช่นเดียวกับพระคริสตเจ้าผู้ทรงเป็นบ่อเกิดแห่งความสว่างทั้งหลาย ดังนั้นตลอดสัปดาห์นี้ ให้เราใช้เวลาอันมีค่าของเรานี้ประเมินตนเองว่าเราได้ประพฤติปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์หรือยัง เราได้ตอบรับคำสั่งของพระองค์ที่ว่า “แสงสว่างของท่านต้องส่องแสงต่อหน้ามนุษย์” (มธ.5:16) หรือยัง ถ้ายังจงลงมือกระทำเช่นตั้งแต่นาทีนี้เป็นต้นไป
ข้อคิดจาก Catholic doors ministry