ขั้นที่ 1 กิจกรรม
ให้ผู้เรียนแสดงละครใบ้ประกอบคำบรรยายต่อไปนี้
ฉากที่ 1
บรรยาย ณ เมืองแห่งหนึ่ง มีคนมั่งมีคนหนึ่ง เขามีแกะมากมายหลายตัว ยังมีคนจนอีกคนหนึ่ง เขามีแกะอยู่เพียงตัวเดียวที่เขารักมาก เขาเลี้ยงดูมันเหมือนเป็นลูก เขาและแกะกินข้าวด้วยกัน ดื่มน้ำถ้วยเดียวกัน นอนด้วยกัน แกะตัวอ้วนพี สะอาด สวยงามดี คนมั่งมีเห็นก็อิจฉาอยากจะได้
วันหนึ่งคนมั่งมีมีแขกมาเยี่ยม คนมั่งมีนั้นก็จัดการเลี้ยงต้อนรับ เขาเสียดายที่จะเอาแกะของเขาเองมาฆ่าเลี้ยงแขก เขาจึงไปเอาแกะของคนจนมาฆ่าเลี้ยงแขกแทน เขารู้สึกสะใจที่ได้กินแกะของคนจน เขาและแขกต่างก็ยินดีปรีดากินแกะตัวนั้นกันอย่างอิ่มเอมใจ
ส่วนคนจนได้แต่ร่ำไห้เสียดายและอาวรณ์แกะของตน จนไม่เป็นอันกินอันนอน
ขั้นที่ 2 วิเคราะห์
ครูถามผู้เรียนว่า
- รู้สึกอย่างไรต่อคนจน ? ทำไม ?
- รู้สึกอย่างไรต่อคนมั่งมี ? ทำไม ?
- เรื่องนี้มีบทสอนอะไร ?
สรุป การมักได้ของคนอื่น ทั้ง ๆ ที่ตนก็มีแล้ว สื่อแสดงให้เห็นความไม่รู้จักพอในหัวใจ จนเกิดมีเจตนาที่จะได้ของของคนอื่นนั้นมาเป็นของตัวโดยใช้วิธีที่ไม่ถูกต้อง
ขั้นที่ 3 คำสอน
1.พระเป็นเจ้าทรงสร้างหัวใจมนุษย์เรามาให้ปรารถนาสิ่งที่ดีที่งาม และยอดของสิ่งที่ดีที่งามทั้งหลายก็คือ พระเป็นเจ้า นักบุญเอากุสตินจึงกล่าวว่า “พระองค์ทรงสร้างข้าพเจ้ามาเพื่อพระองค์ และหัวใจของข้าพเจ้าจะไมีมีวันพบความสงบสุข เว้นแต่ในพระองค์” ความปรารถนาของหัวใจมนุษย์จึงจะถูกต้องชอบธรรม เมื่อมุ่งไปสู่ความดีหรือพระเป็นเจ้า ถ้าผิดเพี้ยนหรือเฉไฉไปจากนั้นก็ไม่ถูกต้องชอบธรรม ถ้าเจ้าตัวตกลงปลงใจตามความปรารถนานั้นก็ทำผิด หรือทำบาป
2.คนมั่งมีในตัวอย่างข้างต้นปรารถนาอยากจะได้แกะของคนจนโดยไม่ยอมชักทุนตนเอง ซึงผิดต่อความยุติธรรมเพราะละเมิดสิทธิเป็นเจ้าของของคน จน เท่ากับเป็นบาปผิดต่อพระบัญญัติประการที่ 10 ที่ระบุไว้ว่า “อย่ามักได้ทรัพย์ของเขา” ซึ่งความผิดหรือบาปดังกล่าวอาจจะเป็นได้ในหลายลักษณะ เช่น
ก.ความมักได้ ซึ่งอาจหมายได้สองอย่าง คือ ปรารถนาถูกต้องชอบธรรมแต่เกินขอบเขต แสดงให้เห็นถึงใจที่ผูกพันกับทรัพย์สิ่งของจนลดความสำคัญของพระเป็นเจ้าลง และปรารถนาที่ไม่ถูกต้องชอบธรรมซึ่งผิดต่อความยุติธรรม
ข.ความอิจฉา ซึ่งแสดงออกได้สองอย่าง คือ เสียใจเมื่อคนอื่นได้ดี และดีใจเมื่อคนอื่นได้ร้าย ซึ่งเป็นสิ่งที่ผิดต่อความรักต่อเพื่อนมนุษย์
ค.ความตระหนี่ ซึ่งหมายถึงความยึดติดกับทรัพย์สิ่งของจ่นไม่เห็นพระเป็นเจ้าและเพื่อนมนุษย์อยู่ในสายตา เป็นความเห็นแก่ตัวอย่างสุด ๆ ซึ่งผิดต่อทั้งความรักต่อเพื่อนมนุษย์และผิดต่อความยุติธรรมด้วยเพราะทรัพย์สิ่งของนั้นพระเป็นเจ้าทรงสร้างมาสำหรับมนุษย์ทุกคน
3.พระบัญญัติประการที่ 10 นี้ได้ตราขึ้นคู่กับพระบัญญัติประการที่ 7 ซึ่งเกี่ยวข้องกับทรัพย์สิ่งของต่าง ๆ นั่นก็คือพระบัญญัติประการที่ 10 เกี่ยวข้องกับ “ความปรารถนา” คือความรู้สึกของหัวใจซึ่งอยู่ภายในตัวมนุษย์ ส่วนพระบัญญัติประการที่ 7 เกี่ยวข้องกับ “การกระทำ” คือ การลักขโมย ซึ่งปรากฎออกมาในการกระทำภายนอก ตามธรรมชาติของมนุษย์แล้ว ความปรารถนาของหัวใจเป็นจุดเริ่มต้นของการกระทำ ฉะนั้นถ้าสามารถควบคุมความปรารถนาของหัวใจได้ก็จะสามารถควบคุมการกระทำได้ด้วย
แต่ในทางปฏิบัติ ความปรารถนาของหัวใจอาจไม่นำไปถึงการกระทำก็เป็นได้ เพราะมีอุปสรรคบางอย่างมาขัดขวางไว้ เช่น เพราะไม่สบโอกาส เพราะความกลัว ฯลฯ ในกรณีเช่นนี้ ถ้ามีการปลงใจในความปรารถนานั้นก็เป็นบาปผิดต่อพระบัญญัติประการที่ 10 แต่เพียงอย่างเดียว
4.จุดมุ่งหมายสำคัญของพระบัญญัติประการที่ 10 ต้องการจะสอนเรามนุษย์ให้ปรับความปรารถนาของหัวใจไปสู่ความดีความงาม ไปสู่พระเป็นเจ้า โดย
ก.ไม่มีใจยึดติดกับทรัพย์สิ่งของ ถือวามันเป็นเพียงสิ่งรับใช้ชีวิต ไม่ใช่เป็นนาย ซึ่งลักษณะดังกล่าวนี้เราเรียกว่า “ความมีใจยากจน” ตามพระวรสาร “บุญของผู้ที่มีใจยากจน เหตุว่าพระอาณาจักรสวรรค์เป็นของเขา” ( มธ 5,3 )
ข.ความมีใจกว้างขวาง เผื่อแผ่ทรัพย์สิ่งของที่ตนมีแก่ผู้อื่น เป็นต้น แก่คนที่ยากจน ขัดสน และมีความต้องการ
ขั้นที่ 4 ปฏิบัติ
ก.ข้อควรจำ
1.อย่ามักได้ทรัพย์ของเขา
2.”ทัรพย์สมบัติของท่านอยู่ที่ใด ใจของท่านก็อยู่ที่นั่น” ( มธ 6,21 )
3.พระเป็นเจ้าทรงสร้างหัวใจมนุษย์มาให้ปรารถนาสิ่งที่ดีงามและยอดของความดีงามทั้งหลายคือ พระเป็นเจ้า
4.”พระองค์ทรงสร้างข้าพเจ้ามาเพื่อพระองค์ และหัวใจของข้าพเจ้าจะไม่มีวันพบความสงบสุขเว้นแต่ในพระองค์” ( นักบุญเอากุสติน )
5.ความผิดต่อพระบัญญัติประการที่ 10 มี เช่น ความมักได้ ความอิจฉา ความตระหนี่
ข.กิจกรรม
ให้ผู้เรียนช่วยกันเสนอวิธีแสดงความใจกว้าง ไม่ยึดติดกับทรัพย์สิ่งของมาหลาย ๆ วิธี เลือกเอาเพียง 2-3 วิธี แล้วนำไปปฏิบัติจริง ๆ