ขั้นที่ 1 กิจกรรม
ครูเล่าเรื่องต่อไปนี้ให้ฟัง
ปกติธรรมดาพ่อแม่มักรักลูก แต่ต้องรักอย่างมีเหตุผล ไม่ใช่รักจนหลง ลูกทำอะไรดูดีไปเสียทั้งหมด ลูกก็จะเสียคนง่าย หรือเข้มงวดนัก ลูกก็ประสาทกิน ควรเดินสายกลางเป็นดีที่สุด ที่พูดเช่นนี้เพราะไม่อยากให้พ่อแม่แต่ละคนต้องเสียลูกสุดทีรักไปโดยไม่ตั้งใจ
ขอยกตัวอย่าง ป่อง (นามสมมุติ) เป็นลูกชายคนเล็กที่ฉลาด เรียนหนังสือเก่ง และมีหัวทาอิเล็กทรอนิกส์ ป่องจะเก่งมาก เป็นความเก่งตามธรรมชาติโดยไม่ต้องเรียนด้วยซ้ำไป
ป่องสามารถเปิดตู้เซฟทุกชนิดได้ แม้กระทั่งรถคันไหนถูกถอดชิ้นส่วน หรือไม่มีกุญแจ ป่องสามารถขับรถคันนั้นออกไปได้ ทั้ง ๆ ที่ป่องอายุแค่ 13 ขวบ แม่และพี่ ๆ รักและเอ็นดูป่องมาก มีหลายครั้งที่ป่องแอบหยิบเงินแม่และพี่โดยไม่รู้ตัว แม่และพี่ก็ขำ……..มีการต่อว่ากันพอเหม็นปากเหม็นคอกันนิดหน่อย หลังจากนั้นก็รักกันเหมือนปาทองโก๋แบบเดิม ล่าสุดป่องเซ็นเช็คลายเซ็นเหมือนพ่อเปี๊ยบ ไปเบิกเงินธนาคารไปใช้ ธนาคารเห็นเป็นลูกชายเลยจ่ายให้ ป่องเลยเอาเงินไปซื้อรถขับชนเล่นอย่างสบาย ตอนหลังพ่อรู้ว่าป่องแอบปลอมลายเซ็น พ่อเลยโกรธขาดใจ ป่องจึงหนีออกจากบ้านไปอยู่กับเพื่อนทีไม่เอาไหน ในที่สุดป่องก็ถูกจับฐานเป็นขโมย พี่สาวจึงชวนผู้เขียนไปด้วย ภาพที่เห็นก็คือถูกจับทั้งแก๊ง มีทั้งเด็กและผู้ใหญ่ และมีป่องเป็นเด็กเพียงคนเดียวในแก๊ง เล่นเอาพี่สาวสงสารเข้าไส้ แล้วหันมาบอกผู้เขียนว่า “ดูซิ ผู้ใหญ่มันทำได้ ชักชวนเด็กให้เสียคน” ตำรวจกลับบอกว่า “ผู้ใหญ่ทั้งสี่คนบอกว่าเด็กคนนี้เป็นหัวหน้าชักชวนให้เขาเป็นโจรจนหมดอนาคตต่างหากล่ะ”
คำพังเพยโบราณจึงใช้กับกรณีนี้ไม่ได้ เพราะแทนที่จะเป็น “คบเด็กสร้างบ้าน” กลายเป็น “คบเด็กเข้าคุก” ไปเสียฉิบ (โดย สุพัตรา สุภาพ จาก หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ)
ขั้นที่ 2 กิจกรรม
ครูถามความรู้สึกของผู้เรียน
- รู้สึกอย่างไรเมื่อได้ฟังเรื่องนี้ ?
- ป่องเป็นคนอย่างไรในตอนแรก ? ต่อมากลายเป็นคนอย่างไร ?
- อะไรเป็นสาเหตุให้ป่องเสียคน ?
มีสองสิ่งที่เป็นจุดเด่นของเรื่องนี้คือ
- การขโมย ซึ่งเริ่มตั้งแต่สิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ จนกลายเป็นสิ่งใหญ่โตในภายหลัง
- การปล่อยปละละเลยของผู้ใหญ่โดยคิดว่าเป็นสิ่งเล็กน้อย ยิ่งกว่านั้นยังสนับสนุนกลาย ๆ หรือให้ท้ายอีกด้วย
สรุป “ใครที่ซื่อสัตย์ในสิ่งเล็กน้อย จะซื่อสัตย์ในสิ่งใหญ่โตด้วย และใครที่ไม่ซื่อสัตย์ในสิ่งเล็กน้อย ก็จะไม่ซื่อสัตย์ในสิ่งใหญ่โตเช่นกัน” (ลก 16,10)
ขั้นที่ 3 คำสอน
1. มนุษย์ทุกคนมีสิทธิเหนือทรัพย์สิ่งของของตน สิทธินี้เกิดมาจากธรรมชาติ เพื่อให้มนุษย์สามารถมีสิ่งที่จำเป็นสำหรับการดำรงชีวิตอยู่ได้ จึงไม่มีใครบังอาจล่วงละเมิดสิทธิประการนี้ พระเจ้าผู้ทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมาก็ได้ประทานพระบัญญัติประการที่ 7 เพื่อคุ้มครองสิทธิของมนุษย์คือ “อย่าลักขโมย” การลักขโมยก็คือการยึดเอาทรัพย์สิ่งของของผู้อื่นมาเป็นของตน โดยที่เจ้าของไม่ยินยอมเต็มใจ ไม่ว่าจะโดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม ต่อไปนี้ก็อยู่ในข่ายลักขโมยทั้งสิ้น เช่น การไม่คืนสิ่งของที่ยืมมา การเก็บสิ่งได้แล้วไม่คืนเจ้าของ การฉ้อโกง การไม่จ่ายเงินเดือนหรือค่าจ้างตามความยุติธรรม การค้ากำไรเกินควร การฉ้อราษฎร์บังหลวง การเบียดบังเวลาทำงานไปทำอย่างอื่น การเก็บภาษีดอกเบี้ยเกินควร การปลอมแปลงเช็คตั๋วแลกเงิน และเอกสารการเงินอื่น ๆ การทำลายทรัพย์สินส่วนบุคคลและส่วนรวม ที่ว่าอยู่ในข่ายลักขโมยก็เพราะว่า การกระทำดังกล่าวล้วนเป็นการล่วงละเมิดสิทธิของผู้คนไม่ว่าจะเป็นส่วนตัวหรือส่วนรวมก็ตาสม
2. ภายใต้พระบัญญัติประการที่ 7 ที่ห้ามการลวงละเมิดสิทธิของผู้อื่น โดยการลักขโมยนี้ ยังกินความถึงการห้ามทำลายทรัพยากรในธรรมชาติด้วย เช่น สัตว์ ต้นไม้ อากาศ น้ำ สิ่งของอื่นๆ ทั้งนี้ก็เพราะพระเจ้าทรงสร้างสิ่งเหล่านี้มาเพื่อประโยชน์ของมนุษยชาติโดยส่วนรวม ไม่มีใครมีสิทธิที่จะยึดหรือกระทำต่อสิ่งเหล่านี้เพื่อประโยชน์ของตนฝ่ายเดียว โดยไม่คำนึงถึงผลเสียหายต่อผู้อื่น หรือเหมือนกับว่าตนเป็นเจ้าของสิ่งเหล่านี้แต่เพียงผู้เดียว ตัวอย่างเช่น การทำลายป่า ซึ่งส่งผลร้ายคือ ทำให้เกิดความแห้งแล้ง เพราะป่าเป็นแหล่งต้นน้ำลำธารของแม่น้ำสายต่าง ๆ ทั้งยังทำลายพงษ์พันธุ์สัตว์นานาชนิด เพราะป่าเป็นที่พักพิงและเป็นแหล่งอาหารเลี้ยงสัตว์เหล่านี้ให้ดำรงชีวิตอยู่ได้ พระเจ้าทรงสร้างสัตว์ขึ้นมาเพื่อเป็นเพื่อนร่วมโลกกับมนุษย์ และเป็นประโยชน์ให้มนุษย์ได้ใช้สอยในการยังชีพ มนุษย์สามารถใช้ประโยชน์จากสัตวได้ แต่มนุษย์ไม่มีสิทธิที่จะทำลายสัตว์เหล่านั้น นอกจากนั้นการทำให้เกิดมลภาวะทางน้ำก็ดี ทางอากาศก็ดี ล้วนเป็นการลาวงละเมิดสิทธิของส่วนรวมทั้งนั้น
3. เพียงแต่ไม่ลักขโมย คือไม่ล่วงละเมิดสิทธิในทรัพย์สิ่งของของผู้อื่น หรือของส่วนรวม ยังไม่พอ พระบัญญัติประการที่ 7 ยังสั่งให้เราแบ่งปันทรัพย์สิ่งของที่เรามีแก่ผู้ที่ต้องการและขัดสนด้วย สังคายนาวาติกันที่ 2 กล่าวกำชับไว้ว่า “มนุษย์จะต้องเอาใจใส่ใช้สิ่งของที่ตนมีมิใช่เพื่อประโยชน์สุขของตนเพียงฝ่ายเดียว แต่จะต้องเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แก่คนอื่น ๆ ด้วย….เพราะทุกคนมีสิทธิที่จะได้รับปัน ส่วนทรัพย์สิ่งของของโลกนี้ตามควรแก่สถานะ บรรดาปิตารย์และนักปราชญ์ของพระศาสนจักรจึงยืนยันเป็นเสียงเดียงกันว่า มนุษย์มิใช่เพียงต้องแบ่งปันทรัพย์สิ่งของที่ตนมีอย่างฟุ่มเฟือยให้แก่คนยากจนขัดสนเท่านั้น แต่มีหน้าที่ต้องแบ่งปันแม้กระทั่งทรัพย์สิ่งของที่ตนจำเป็นต้องมีต้องใช้ให้แก่เขาอีกด้วย….” จงเลี้ยงคนที่กำลังจะหิวตายเพราะถ้าท่านไม่เลี้ยงเขา ก็เท่ากับท่านฆ่าเขา” (พระสาสนจักรในโลกปัจจุบัน ข้อ 69)
4. พระบัญญัติประการที่ 7 ยังสั่งให้ซื่อสัตย์ต่อสัญญา ข้อตกลงเกี่ยวกับการซื้อขาย เช่า จ้าง แลกเปลี่ยน หนี้สิน เพราะการไม่ซื่อสัตย์ คือไม่ถือตามสัญญาหรือข้อตกลงนั้นจะก่อให้เกิดผลเสียหายต่อสิทธิอันพึงมีของคู่กรณี ในกรณีที่มีการบิดพลิ้วไม่ซื่อสัตย์ฝ่ายที่ผิดสัญญาหรือข้อตกลงมีหน้าที่ที่จะต้องชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นอยางไม่มีทางหลีกเลี่ยง ศักเคียสกล่าวกับพระเยซูคริสต์อย่างกล้าหาญว่า “ข้าพเจ้าขอยกทรัพย์สิ่งของของข้าพเจ้าครึ่งหนึ่งให้แก่คนยากจน และหากข้าพเจ้าได้ฉ้อโกงใครเขามา ข้าพเจ้าจะชดใช้ให้สี่เท่า” และพระเยซูคริสต์ก็ตรัสว่า “วันนี้ความรอดมาถึงบ้านนี้แล้ว….” (ลก 19, 8-9)
ขั้นที่ 4 ปฏิบัติ
ก. ข้อควรจำ
1. อย่าลักขโมย
2. “ใครที่ซื่อสัตย์ในสิ่งเล็กน้อย จะซื่อสัตย์ในสิ่งใหญ่โตด้วย และใครที่ไม่ซื่อสัตย์ในสิ่งเล็กน้อย ก็จะไม่ซื่อสัตย์ในสิ่งใหญ่โตเช่นกัน” (ลก 16,10)
3. พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมา และประทานสิทธิแก่มนุษย์ที่จะมีทรัพย์สิ่งของที่จำเป็น หรือเป็นประโยชน์แก่การดำรงชีวิตเป็นของตนเอง ซึ่งใครจะล่วงละเมิดมิได้
4. ทรัพยากรธรรมชาติเป็นของส่วนรวม ใครทำลายทรัพยากรธรรมชาติก็ล่วงละเมิดสิทธิของส่วนรวม
5. มนุษย์มิใช่เพียงต้องแบ่งปันทรัพย์สิ่งของที่ตนมีอย่างฟุ่มเหือยให้แก่คนยากจนขัดสนเท่านั้น แต่มีหน้าที่ต้องแบ่งปันแม้กระทั่งทรัพย์สิ่งของตนที่จำเป็นต้องมีต้องใช้ให้แก่เขาอีกด้วย
ข. กิจกรรม
ประดิษฐ์อักษร “ซื่อกินไม่หมด คดกินไม่นาน” ลงในกรอบ ตกแต่งระบายสีให้สวยงาม เสร็จแล้วนำมาติดแสดงหน้าชั้น
ร้องเพลงพร้อมท่าทางประกอบ
ความซื่อสัตย์
ความซื่อสัตย์เป็นสมบัติของผู้ดี หากว่าใครไม่มี
ชาตินี้เอาดีไม่ได้ มีความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอดถมไป
คดโกงแล้ว ใครจะรับไว้ให้ร่วมการงาน