บทที่ 1  : ข้าพเจ้าเชื่อถึงพระเจ้าพระผู้สร้าง

เป้าหมาย
สำนึกถึงความดีและความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าที่ทรงสร้างสิ่งที่ดีงามต่างๆให้แก่เรา

จุดมุ่งหมาย : เมื่อสิ้นสุดบทเรียนแล้วนักเรียนสามารถ
1. อธิบายได้ว่าพระเจ้าทรงสร้างทุกสิ่ง ทั้งสิ่งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต
2. บอกถึงผลของความเชื่อในพระเจ้าได้
3. ขอบพระคุณพระเจ้าและดูแลรักษาธรรมชาติต่างๆอย่างดี

ขั้นที่ 1  กิจกรรม
ครูนำสิ่งของต่อไปนี้มาแสดงให้ผู้เรียนดู คือ นาฬิกา ปากกา แว่นตา เครื่องเล่นCD รองเท้าเสื้อผ้า ฯลฯ ครูถามผู้เรียนว่า
• นาฬิกามาจากไหน ?  ใครเป็นคนทำ ?   เราเรียนคนทำนาฬิกาว่าอย่างไร ?
• ปากกามาจากไหน ?  ใครเป็นคนทำ ?   เราเรียกคนทำปากกาว่าอย่างไร ?
• เครื่องเล่น CD ?  ใครเป็นคนทำ ?  เราเรียกคนทำเครื่องเล่น CD ว่าอย่างไร ? ฯลฯ
• (ครูถามต่อไปจนหมดสิ่งของที่นำมาแสดง)

ขั้นที่ 2  วิเคราะห์
ครูถามผู้เรียนว่า
• นาฬิกา ปากกา เครื่องเล่น CD แว่นตา รองเท้า เสื้อผ้า ฯลฯ เกิดขึ้นเองได้หรือไม่ ?
• ทำนองเดียวกัน สิ่งต่างๆในโลก เช่น แผ่นดิน ทะเล ท้องฟ้า ดาว อากาศ น้ำ สัตว์ ต้นไม้ ฯลฯ เกิดขึ้นเองได้หรือไม่ ? ทำไม ?
• ใครเป็นคนทำหรือสร้างสิ่งต่างๆในโลกนี้ขึ้นมา ?
สรุป          สิ่งต่างๆ ในโลกนี้เกิดขึ้นเองไม่ได้ ต้องมีคนทำหรือสร้างมันขึ้นมา เราเรียกคนทำหรือสร้างสิ่งต่างๆนี้ว่าพระเจ้า

ขั้นที่ 3 : คำสอน
                   1.  เราสามารถรู้จักพระเจ้าได้ด้วยสติปัญญาของเราเองโดยสังเกตจากสิ่งต่างๆในโลกจักรวาล ซึ่งมีอยู่มากมายและลึกลับซับซ้อนเกินที่มนุษย์คนไหนจะสามารถทำหรือสร้างมันขึ้นมาได้ ทั้งนี้รวมทั้งตัวมนุษย์เองด้วย มนุษย์สามารถสร้างเครื่องยนต์กลไก หรือสร้างหุ่นยนตร์มนุษย์ขึ้นมา แต่มนุษย์ไม่สามารถสร้างมนุษย์จริงๆ ขึ้นมาได้ ผู้ที่สร้างได้นั้นต้องสูงและเลิศกว่ามนุษย์มากนัก ผู้นั้นคือพระเจ้า

                   2.  เรายังสามารถรู้จักพระเจ้าได้จากหลายหนทางด้วยกัน แต่ที่สำคัญคือการเผยแสดงของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์เราโดยผ่านทางพระคัมภีร์ไบเบิ้ลซึ่งเป็นหนังสือศักดิ์สิทธิ์ที่บันทึกเรื่องราวของพระเป็นเจ้าผู้ทรงสร้างโลกจักรวาล สัตว์ ต้นไม้ และมนุษย์ พระคัมภีร์เล่าว่า “ในปฐมกาลพระเจ้าทรงสร้างฟ้าและแผ่นดิน” ( ปฐก 1, - 2,3 ) ให้เราฟังพระวาจาของพระเจ้า(ครูอาจจะอ่านหรือเล่าประกอบรูปภาพก็ได้)

                   วันที่ 1  พระองค์ทรงสร้างความสว่าง ทรงแยกความสว่างจากความมืด ทรงเรียกความสว่างว่า “ วัน “ และทรงเรียกความมืดว่า “ คืน “
                   วันที่ 2 พระองค์ทรงแยกน้ำเบื้องบนกับน้ำเบื้องล่างออกจากกัน โดยทรงสร้างพื้นอากาศมาคั่นกลาง ทรงเรียกพื้นอากาศนั้นว่า “ ฟ้า “
                   วันที่ 3 พระองค์ทรงรวมน้ำเบื้องล่างมาไว้ในที่แห่งเดียวเรียกว่า “ ทะเล “ ให้มีที่แห้งเกิดขึ้นเรียกว่า “ แผ่นดิน “ และทรงให้มีต้นไม้นานาพันธุ์เกิดขึ้นบนแผ่นดินนั้น
                   วันที่ 4 พระองค์ทรงสร้างดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดาวต่างๆบนฟ้า
                   วันที่ 5 พระองค์ทรงสร้างปลาในทะเล และนกในพื้นอากาศ
                   วันที่ 6 พระองค์ทรงสร้างสัตว์ต่างๆ บนแผ่นดิน และสุดท้ายทรงสร้างมนุษย์ให้เป็นเจ้าปกครองดูแลสิ่งทั้งหลายที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นมา
                   วันที่ 7
พระองค์ทรงเสร็จสิ้นงานสร้างสิ่งต่างๆ จึงทรงหยุดงานทุกอย่าง และทรงกำหนดให้วันที่ 7 นี้เป็นวันศักดิ์สิทธิ์

           3.  พระคัมภีร์ไม่ใช่หนังสือภูมิศาสตร์หรือวิทยาศาสตร์ แต่เป็นหนังสือสำหรับสอนความจริงเกี่ยวกับพระเจ้า โดยอาศัยภูมิปัญญาความรู้  ความเข้าใจของคนในยุคนั้น ซึ่งแตกต่างจากคนในยุคของเรา แต่ความจริงก็ยังคงเป็นความจริงเดียวกันที่ไม่เปลี่ยนแปลง คือ “มีพระเจ้าแท้แต่องค์เดียว คือพระผู้สร้างสรรพสิ่ง ไม่มีพระเจ้าอื่นใดอีก สิ่งต่างๆ ในธรรมชาติ ไม่ใช่พระเจ้า พระเจ้าทรงเป็นอยู่ก่อนสิ่งใดๆทั้งหมด และพระองค์คือพระเจ้าสูงสุด” เราจึงต้องนมัสการพระเจ้าสูงสุดแต่องค์เดียวนี้  (CCC 290-291)

           4.  พระเจ้าทรงสร้างสรรพสิ่งโดยตรัสแต่เพียงคำเดียว และสรรพสิ่งก็เกิดขึ้นมา มนุษย์เราจะสร้างสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ต้องอาศัยวัตถุปัจจัยต่างๆ แต่พระเจ้าไม่ได้ทรงใช้สิ่งใด แสดงให้เห็นว่าพระองค์ทรงฤทธิ์ทุกประการ ไม่มีสิ่งใดมีฤทธิ์เท่าพระองค์ ในบทภาวนา “ข้าพเจ้าเชื่อถึงพระเจ้า” จึงกล่าวสรรเสริญพระองค์ว่า “ข้าพเจ้าเชื่อถึงพระเจ้า พระบิดาทรงสรรพานุภาพสร้างฟ้าดิน” เพื่อสอนเราว่า ต่อหน้าพระเจ้าผู้ทรงสรรพานุภาพนี้ เราต้องเคารพและนอบน้อมเชื่อฟังพระองค์เหนือสิ่งอื่นใด

          5.  ความเชื่อถึงพระเจ้าเที่ยงแท้แต่พระองค์เดียว ทรงสรรพานุภาพสร้างฟ้าดินนี้เป็นหลักเบื้องต้นและสำคัญที่สุดในคริสตศาสนาและในชีวิตคริสตชนของเรา ความเชื่อถึงสิ่งอื่น ๆ ทั้งหมดล้วนมีพื้นฐานอยู่บนความเชื่อถึงพระเจ้านี้ทั้งสิ้น(CCC 325)  และเมื่อเราเชื่อถึงพระเจ้าแล้ว ความเชื่อนี้จะส่งผลถึงชีวิตของเรามนุษย์ดังต่อไปนี้
                   ก. เราจะยึดพระเจ้าเป็นหลักในชีวิต ซึ่งจะมั่นคงปลอดภัยและถูกต้องเที่ยงธรรมเสมอ ผิดจากพระองค์ไปก็จะมีแต่ความปรวนแปรเปลี่ยนแปลงไม่แน่นอน หาความถูกต้องเสมอไปมิได้
                   ข. เราจะสำนึกถึงพระคุณอันยิ่งใหญ่ที่พระองค์ทรงมีต่อเรา คือทุกสิ่งที่เรามีล้วนมาจากพระองค์ เราก็จะเฝ้าขอบพระคุณพระองค์อยู่มิรู้วาย และชีวิตคริสตชนก็คือการดำรงชีวิตแต่ละวันขอบพระคุณพระเจ้านี้เอง  (CCC 347)
                  ค. เราจะรักและเคารพเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เพราะทุกคนล้วนถูกสร้างมาจากพระเจ้า และตามพระฉายาของพระองค์ด้วย (CCC 355)
                  ง. เราจะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับสิ่งสร้างทั้งหลาย คือ สัตว์ ต้นไม้ ดิน ฟ้า อากาศ น้ำ ฯลฯ จะอยู่กันอย่างสันติและถ้อยที่ถ้อยอาศัยกัน เพราะพระองค์ทรงสร้างมนุษย์มาให้เป็นผู้ปกครองดูแลสรรพสิ่ง มิใช่ให้มาทำลาย (CCC 377)

ขั้นที่ 4  : ปฏิบัติ
ก. ข้อควรจำ
1. สรรพสิ่งเกิดขึ้นเองไม่ได้ ต้องมีผู้สร้างขึ้นมา ผู้สร้างสรรพสิ่งคือพระเจ้า  ( CCC 279)
2. มนุษย์เป็นสุดยอดแห่งกิจการสร้างสรรค์ของพระเจ้า(CCC 343)
3. มีพระเจ้าเที่ยงแท้แต่เพียงองค์เดียว ทรงสรรพานุภาพสร้างฟ้าดิน ทรงเป็นอยู่ก่อนสิ่งอื่นใด และทรงเป็นพระเจ้าสูงสุด  ( CCC 291)
4. เรารู้จักและเข้าใกล้ชิดพระเจ้าได้โดยอาศัยการอ่านพระคัมภีร์(CCC 104)
5. พื้นฐานของการเป็นคริสตชนคือความเชื่อถึงพระเจ้า ซึ่งแสดงออกด้วยการนมัสการพระองค์ ขอบพระคุณพระองค์ เคารพพระองค์ในเพื่อนมนุษย์และในสิ่งสร้างทั้งหลาย ( CCC345 )
6. ผลของความเชื่อ คือ เราจะยึดพระเจ้าเป็นหลักในการดำเนินชีวิต เราจะสำนึกถึงพระคุณอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าที่ทรงมีต่อเรา เราจะรักและเคารพเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เราจะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับสิ่งสร้างทั้งหลาย

ข. กิจกรรมสรุปบทเรียน 
ร้องเพลง “ สรรเสริญพระผู้สร้าง”   เพลงคำสอน จากชุดพระเยซูใจดี

            (รับ)  เชิญมาสรรเสริญพระเจ้า  ผู้ทรงสร้างเราและสรรพสิ่ง
                    เชิญมาขอบคุณพระองค์   และรักพระองค์เหนือสิ่งอื่นใด
            1. แยกความสว่างออกจากความมืด        ดั่งที่เราเรียกวันและคืนเรื่อยมา
                สร้างฟ้าที่กว้างใหญ่นักหนา               สุดสายตาแสนโสภาเหลือเกิน  (รับ)
            2. ให้น้ำรวมกันแล้วเรียกว่าทะเล            ส่วนพื้นที่แห้งนั้นเรียกว่าแผ่นดิน
                มีพืชผลต้นไม้มากมายสิ้น                ให้ได้เก็บกินอิ่มหนำสำราญใจ (รับ)
            3. สร้างดวงอาทิตย์ให้อยู่บนฟากฟ้า       ส่องสว่างทั่วหล้าในเวลากลางวัน
                มีดวงจันทราและดวงดาราพร้อมสรร    ส่องสว่างทั่วกันในยามค่ำคืน (รับ)
            4. สร้างนกให้บินไปมาในฟากฟ้า            และยังทรงสร้างปลาให้ว่ายไปมาในนที
                สัตว์บกและน้ำอีกมากมายที่เห็นว่าดี     และยังทำให้มีลูกดกเต็มแผ่นดิน (รับ)
            5. สุดท้ายเป็นวันที่สำคัญ                      วันที่หกนั้นทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมา
                สร้างเธอและฉันเป็นเหมือนพระฉายา    ดูแลรักษาสรรพสิ่งมากมาย (รับ)

กิจกรรมที่บ้าน     ให้นักเรียนหาข้อตั้งใจเพื่อจะได้นำคำสอนหรือข่าวดีที่ได้รับไปปฏิบัติในชีวิต (เช่น ช่วยคุณแม่ทำความสะอาดบ้าน   ช่วยรดน้ำต้นไม้ให้คุณพ่อ สวดภาวนาขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับครอบครัว สวดให้คุณพ่อคุณแม่ สวดให้เพื่อนๆ ดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม แล้วให้มารายงานในครั้งต่อไปว่าได้ทำอะไรมาบ้าง)

กิจกรรมต่อเนื่อง ให้นักเรียนท่องบทภาวนาข้าพเจ้าเชื่อ(สัญลักษณ์ของอัครสาวก)ให้ได้ในปีนี้ ถ้าได้แล้วให้ฝึกหัดสวดบทข้าพเจ้าเชื่อในพิธีมิสซา(จากสังคายนานิเช-คอนสแตนติโนเปิล) และบทภาวนาทางการของพระศาสนจักรอื่นๆ

 บทเสริมในบทที่ 1

กิจกรรมทางเลือก
กิจกรรมประดิษฐ์สิ่งของ
         ครูให้เด็กได้ประดิษฐ์สิ่งของง่ายๆด้วยตนเอง เช่น อาจจะเป็นการปั้นดินน้ำมัน หรือพับกระดาษ ให้เป็นลูกบอล สุนัข แมว ตุ๊กตา ฯลฯ หลังจากที่เด็กทำเสร็จแล้ว ให้ตั้งคำถาม
• เธอได้ปั้น/พับอะไร
• ทำไมจึงเลือกทำสิ่งนั้น
• เธอใช้อุปกรณ์อะไรในการทำ
• เธอใช้เวลานานเท่าไร
• เธอรู้สึกอย่างไรเมื่อทำเสร็จแล้ว
          เมื่อเด็กตอบเสร็จแล้วครูพูดเพิ่มเติมว่า เรารู้ดีถึงสิ่งที่เราได้ประดิษฐ์หรือสร้างขึ้นมา เราดีใจ เราภูมิใจ ต่อไปนี้ลองฟังซิว่าโลกที่เราอาศัยอยู่นี้เกิดขึ้นได้อย่างไร
          ให้อ่านหรือเล่าพระคัมภีร์ปฐมกาล 1:1-31;2:1-2 โดยใช้ภาพประกอบการเล่า
จากนั้นให้อธิบายคำสอนในแนวทางที่ให้ไว้โดยปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับผู้เรียน
    

คำสอนเพิ่มเติมในบทที่ 1
ความเชื่อเรื่องพระเจ้า

1. ทำไมจิตใจของมนุษย์เราจึงเรียกหาพระเจ้า(หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุด)อยู่เสมอ
      • เพราะพระเจ้าทรงประทานความปรารถนาที่จะรู้จักพระเจ้าไว้ในหัวใจของมนุษย์ทุกคน และพระองค์ทรงดึงดูดมนุษย์ทุกคนให้เข้ามารู้จักพระองค์ ดังนั้นมนุษย์จึงได้ชื่อว่า “สิ่งมีชีวิตที่มีศาสนาในหัวใจ” (สัตศาสนา : Religious being) ( คำสอนฯข้อ 27-28)

2. มนุษย์เรารับรู้เรื่องพระเจ้าได้อย่างไร
        • เราจะเข้าถึงพระเจ้ามนุษย์สามารถเข้าถึงหรือรับรู้หรือใกล้ชิดพระเจ้าได้ ใน 3 หนทางด้วยกัน คือ
          1) จากโลกจักรวาลที่มีระเบียบและความงดงามสะท้อนให้เห็นความชาญฉลาดและความยิ่งใหญ่ของพระผู้สร้าง 
          2) ตัวของมนุษย์เอง โดยอาศัยการเปิดใจยอมรับความจริงและความงามของสิ่งต่างๆ การสำนึกในความดี เสรีภาพ ความสงบสุข เป็นต้นจากการฟังเสียงแห่งมโนธรรม(เสียงภายในใจ) มนุษย์เองจะพบคำตอบถึงต้นเหตุแห่งความดีงามต่างๆเหล่านั้น และอาศัยเหตุผลถึงหลักการต้นกำเนิดและจุดหมายปลายทางของชีวิตและสิ่งต่างๆมนุษย์จะรับรู้ว่าพระเจ้าทรงเป็นต้นกำเนิดและจุดหมายปลายทางของทุกสิ่ง และ 
         3) จากการเผยแสดงของพระเจ้าเองที่ทรงเปิดเผยให้มนุษย์รู้จักพระองค์โดยผ่านทางพระคัมภีร์ และการเปิดเผยที่ผ่านทางเหตุการณ์ต่างๆในชีวิตของเรา(คำสอนฯ ข้อ 31-38)

3. เราจะพูดถึงพระเจ้าได้อย่างไร
• เราสามารถพูดถึงพระเจ้าได้ด้วยเหตุผลและความมั่นใจของเรา ได้ดังนี้
       1)  พูดโดยยึดสิ่งสร้างเป็นหลัก เพราะสิ่งสร้างมีอะไรบางอย่างที่คล้ายคลึงกับพระองค์ โดยเฉพาะตัวของมนุษย์ที่พระเจ้าทรงสร้างให้ตามพระฉายาลักษณ์(ภาพลักษณ์)ของพระองค์
       2)  เนื่องจากพระเจ้าทรงยิ่งใหญ่เกินกว่าสติปัญญาหรือความเข้าใจของมนุษย์ และภาษาที่ใช้เพื่อแสดงออกถึงความเชื่อนั้นก็มีความจำกัด ดังนั้นเราต้องชำระภาษาของเรา และแสวงหาความรู้เกี่ยวกับพระเจ้าอยู่ตลอดเวลาไม่มีวันจบ(คำสอนฯข้อ 39-43)